The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 206 ผู้ร้าย
“ทีแรกฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าร่วมเพราะฉันรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้แต่โชคร้ายที่ต้วนเผิงทำแบบฉันไม่ได้ เขาจำเป็นต้องเข้าร่วมเพราะเขาต้องติดต่อธุรกิจกับคนที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้หลายคน และประเด็นสำคัญที่ฉันเรียกนายมาวันนี้ เพราะมันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวของกับนาย” จี้ช่าวเหลยกล่าว
“เกี่ยวกับผม”จี้เฟิงสะดุ้ง “มันมาเกี่ยวกับผมได้ยังไง?”
“นายจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนได้ไหม”จี้ช่าวเหลยถาม
เดือนก่อน…มันเกิดอะไรขึ้น
เมื่อนึกอะไรบางอย่างได้จี้เฟิงก็ถึงกับสะดุ้งและสร่างเมาทันที“พี่รอง พี่กำลังจะบอกว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับไอ้หมอปลอมคนนั้นน่ะเหรอ” เมื่อตอนจี้เฟิงไปเยี่ยมอาคนที่สองของเขาเป็นครั้งแรกเขาก็ได้พบกับคนที่ถูกเรียกว่าหมออัจฉริยะสุดท้ายก็เป็นเพียงแค่หมอปลอมที่ลักลอบเข้ามา และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่รถของจี้ช่าวเหลยถูกงัดแงะด้วย อย่างไรก็ตามในตอนนั้นเรื่องได้ถูกส่งต่อไปยังจี้เจิ้นผิงและเมื่อจี้เจิ้นผิงอาสองของพวกเขาบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จี้เฟิงจึงไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาคงต้องสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้ว
“ใช่แล้วเรื่องนั้นแหละ!” แววตาของจี้ช่าวเหลยฉายแสงเย็นและกล่าวว่า “คนที่จัดงานเลี้ยงครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น!”
ใบหน้าของจี้เฟิงเคร่งเครียดขึ้นญาติและคนที่อยู่รอบตัวเขาล้วนมีความสำคัญ และไม่ว่าใครก็ตามหากกล้าที่จะจัดการกับญาติของเขา เขาจะต่อสู้จนกว่าอีกฝ่ายได้รู้จักกับคำว่าสิ้นหวัง!
“ผมจะไป!”จี้เฟิงพูดอย่างเด็ดขาด “ผมก็อยากจะเห็นหน้าคนที่มันหน้าด้านไร้ยางชอบลอบกัดผู้อื่นเหมือนกัน!”
จี้ช่าวเหลยยิ้ม“จริงๆแล้วเรื่องนี้มันอาจไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิดก็น่าจะอย่างที่อาสามบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่ที่อาสามไม่บอกเราทั้งหมดฉันคิดว่ามันอาจจะเพราะพวกผู้ใหญ่ลำบากใจที่จะพูดออกมามากกว่า แต่เราไม่เหมือนกัน”
จี้เฟิงพยักหน้าเห็นด้วยคนรุ่นเก่าไม่สามารถพูดอะไรได้มากเพราะห่วงหน้าตา แต่ก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อพวกเขาได้ บางทีการที่จะได้เห็นผู้อาวุโสในครอบครัวยังเป็นแบบนี้มันก็อาจจะทำให้เรามีความสุข
“งานเลี้ยงจะจัดขึ้นวันไหน”จี้เฟิงถาม
“น่าจะประมาณสิ้นเดือนนี้ที่เจียงโจวนี่แหละ” จี้ช่าวเหลยกล่าว “ที่ฉันโทรหานายตั้งแต่ตอนนี้เป็นเพราะว่าฉันอยากจะแจ้งให้นายรู้ล่วงหน้าเพื่อได้จะมีเวลาเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อม แล้วถ้าใกล้ถึงเวลาเดี๋ยวฉันจะโทรหานายอีกที!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยแต่ยังคงมีข้อสงสัยอยู่ในใจ เมื่อเห็นว่าคำพูดของจี้ช่าวเหลยยังไม่น่าจะมีเพียงเท่านี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่สะดวกที่จะพูดต่อหน้าต้วนเผิง หรืออาจจะด้วยเหตุผลอื่น
นอกจากนี้คนที่ริเริ่มจัดงานเลี้ยงครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหมออัจฉริยะจอมปลอมเมื่อเดือนก่อนทำไมเขาถึงยังกล้ามาจัดงานในเจียงโจวอีก รู้หรือไม่ว่าทั่วประเทศจีนมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าเล่นงานตระกูลจี้ลับหลังอย่างไร้ยางอาย เป็นไปได้ไหมว่าภูมิหลังของอีกฝ่ายจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มาก?
จี้เฟิงตัดสินใจที่จะหาโอกาสเพื่อถามคำถามนี้กับจี้ช่าวเหลยให้ได้ก่อนที่งานเลี้ยงจะถูกจัดขึ้นไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่หายคาใจ
อย่างไรก็ตามตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมเขาควรจะถามเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวัง เพราะจี้ช่าวเหลยอาจะมีข้อขัดข้องบางอย่างถึงยังไม่สามารถบอกเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะต้องถามจี้ช่าวเหลยได้เฉพาะเมื่อไม่มีคนนอก
ในขณะที่จี้เฟิงกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็ได้ยินจี้ช่าวเหลยพูดขึ้น“เลิกคุยเรื่องเครียดๆแล้วมาดื่มกันต่อดีกว่า!”
ต้วนเผิงยิ้ม“ใช่ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แต่วันนี้เรามีโอกาสได้ดื่มร่วมกันทั้งที งั้นก็ดื่มกันเถอะ!”
“ผมดื่มไม่ค่อยเก่งแล้วอีกอย่างดื่มมากกว่านี้คงไม่ดี!” จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขากับเซียวฉางเหอและคนอื่นๆได้ดื่มกันมาก่อนแล้วและนั่นมันยังเป็นเหล้า แต่ตอนนี้มาเจอกับไวน์ และเมื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สองชนิดถูกผสมเข้าด้วยกัน มันจึงทำให้จี้เฟิงแทบเสียอาการ
“ไม่ดื่มหรอนี่เป็นไวน์ลาฟิต (Lafite) มันมีราคามากกว่า 20,000 หยวนซะอีกนะ ถ้านายไม่ดื่มมันก็สูญเปล่าน่ะสิ” จี้ช่าวเหลยยิ้ม “ดื่มแค่นิดหน่อยก็พอ ถือว่าสร้างบรรยากาศ!”
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มสุดท้ายเขาก็รับแก้วที่จี้ช่าวเหลยรินให้อย่างช่วยไม่ได้ และร่วมดื่มไวน์กับพวกเขาสองคน
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่ได้มีพรสวรรค์ในการดื่มไวน์แดงเลยซักนิดหลังจากดื่มไปสักพักลิ้นของเขาก็ไม่สามารถลิ้มรสชาติอื่นๆได้นอกจากรสเผ็ดเล็กน้อยและกลิ่นแปลกๆ สำหรับไวน์แดงถ้าคุณจิบและชิมมันอย่างระมัดระวังนอกจากความเผ็ดเล็กน้อยแล้วยังมีกลิ่นหอมที่กลมกล่อมและยังมีรสชาติที่ค้างอยู่ในลำคอนานอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นานจี้เฟิงก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าเขาเมาไวน์
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและความรู้สึกเวียนหัวนี้มันทำให้เขาไม่ชอบเป็นอย่างมากแม้ว่าบรรยากาศจะดีแต่จี้เฟิงก็จำคำพูดของสมองหมายเลข 1 ได้อย่างชัดเจน “ในฐานะสายลับที่มีคุณสมบัติ คุณจะต้องตื่นตัวและมีสติตลอดเวลาเพราะคุณไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณจะถูกอีกฝ่ายค้นพบดังนั้นคุณควรที่จะมีการเตรียมพร้อมที่จะหลบหนีตลอดเวลา”
แต่ในสภาพปัจจุบันของจี้เฟิงนั้นเห็นได้ชัดว่าเขาล้มเลวกับข้อบังคับที่สำคัญในฐานะสายลับสติของจี้เฟิงในเวลานี้เกือบจะเป็นการเข้าสู่จิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว เขานั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าขัดสมาธิเหมือนกับการฝึกยิมนาสติกชุดที่ 2
ในเวลาเดียวกันก็มีกระแสไฟฟ้าชีวภาพไหลเวียนในร่างกายของเขาและพลังงานรอบข้างก็พุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านไปจี้เฟิงรู้สึกเพียงว่าร่างกายของเขาเริ่มร้อนขึ้นจากนั้นเขาก็เริ่มเหงื่อออกและก็ค่อยๆมีสติ
หลังจากนั้นไม่นานเสื้อผ้าของจี้เฟิงก็เปียกโชกและมีกลิ่นไวน์ฟุ้งออกมาจากเสื้อของเขาโชคดีที่ตอนนี้เขาอยู่ในห้องส่วนตัวของคลับเฮ้าส์ ส่วนจี้ช่าวเหลยและต้วนเผิงก็กำลังเพลิดเพลินกับการดื่มไวน์ชั้นเลิศ พวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าร่างกายของจี้เฟิงแปลกไปจากเดิม
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนเพราะหลังจากที่กระแสไฟฟ้าชีวภาพไหลเวียนในร่างกายของเขาสองรอบติดต่อกันเขาก็มีสติกลับมาอย่างสมบูรณ์และเขาก็ไม่คิดที่จะดื่มมันอีกต่อไป
“ไฟฟ้าชีวภาพมันช่วยทำให้สร่างเมาได้ด้วยเหรอเนี่ย”จี้เฟิงพึมพำด้วยความประหลาดใจแต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกดีใจมาก ด้วยวิธีนี้เขาก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะเมา
จี้เฟิงลองใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพระบายแอลกอฮอลล์ทั้งหมดในร่างกายของเขาออกมาอย่างต่อเนื่องทางรูขุมขนในขณะที่จี้ช่าวเหลยและต้วนเผิงยังคงดื่มกันอยู่
เขาแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจอยู่ในใจถ้าแบบนี้ต่อให้เขาดื่มเหล้าเป็นพันๆแก้วเขาก็จะไม่เมา ความสามารถนี้เหมือนกับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในทีวีหรือในนิยายที่มักจะใช้กำลังภายในเพื่อบังคับแอลกอฮอล์หรือสารพิษให้ออกจากร่างกาย ไอรีนโนเวล
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงแน่นอนว่าจี้ช่าวเหลยและต้วนเผิงที่ดื่มกันอยู่ก็เริ่มจะมีอาการมึนเมาแล้ว “พอๆถ้าดื่มมากกว่านี้ตับฉันได้พังแน่!” ต้วนเผิงโบกมือจากนั้นเขาก็มองไปที่จี้เฟิงและพูดยิ้มๆ “เสี่ยวเฟิงทำไมนายเป็นเด็กขี้โกหกแบบนี้ล่ะ ไหนบอกว่าดื่มไม่เก่ง แต่นายดูยังมีสติครบถ้วนสุดๆไปเลย!”
จี้เฟิงหัวเราะ“ไม่ใช่ว่าผมดื่มเก่ง แต่ไวน์ของพวกคุณสองคนมันแย่เกินไป!”
จี้ช่าวเหลยและต้วนเผิงต่างมองหน้ากันและพูดไม่ออกพวกเขาสามคนดื่มมามากกว่าสองขวดแล้ว และยังเป็นไวน์ที่ราคาแพงหูฉี่ นี่ยังเรียกว่าไม่ดีอีกหรือ
“เอาล่ะๆฉันต้องไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ยังมีธุระที่ต้องไปคุยอีก พวกนายสองคนรีบกลับไปกันได้แล้วอย่ามาทำเป็นเก่งข่มฉันที่นี่!” ต้วนเผิงหัวเราะและโบกมือไล่จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยออกไป
นอกจากจะเป็นห้องอาหารแล้วคลับเฮ้าส์แห่งนี้ห้องสวีทไว้เป็นที่พักอีกด้วยและต้วนเผิงก็อาศัยอยู่ที่นี่
หลังจากที่ถูกต้วนเผิงขับไล่ออกมาจี้เฟิงไม่ได้รู้สึกโกรธเลย แม้ว่าเขาเพิ่งจะรู้จักกับต้วนเผิงและใช้เวลาด้วยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่เขาก็พอจะมองนิสัยต้วนเผิงออกอยู่บ้าง
คนคนนี้เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาไม่เสแสร้งซึ่งเห็นได้จากการดื่มร่วมกันแม้ว่าจี้เฟิงจะไม่รู้ว่าต้วนเผิงจะกลายเป็นคนแบบไหนเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับคนอื่น แต่อย่างน้อยเวลาอยู่กับเขาและจี้ช่าวเหลยต้วนเผิงก็ไม่ได้อวดดีหรือหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อยและบุคคลเช่นนี้เองมักจะสามารถเอาชนะใจผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
ในตอนนี้จี้ช่าวเหลยและจี้เฟิงอยู่หน้าคลับเฮ้าส์เมื่อมีลมเย็นพัดมาอ่อนๆจี้ช่าวเหลยและจี้เฟิงก็เงียบลง จี้เฟิงยังคงมีอาการปกติดีเพราะเขาได้ทำการระบายแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายไปแล้ว
“วันนี้ฉันดื่มเยอะไปหน่อยเลยว่าจะไม่กลับบ้านฉันจะไปส่งนายก่อนแล้วกัน!” จี้ช่าวเหลยพูดขึ้นเมื่อพวกเขาขึ้นรถ
จี้เฟิงพยักหน้าแม้ว่าตอนนี้พวกเขาทั้งคู่จะไม่เมาเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็เมามากเกินกว่าที่จะกลับไปบ้านของอาสองในเวลานี้ พวกเขาอาจจะถูกดุ
“พี่รองเกี่ยวกับงานเลี้ยงที่กำลังจะเกิดขึ้นมันมีอะไรกันแน่” เมื่อตอนนี้ไม่มีต้วนเผิงแล้วจี้เฟิงจึงถามในสิ่งที่เขาสงสัยทันที
“หึ!มันไม่ใช่แค่มีคนเลวบางคนที่ต้องการจะจัดการกับตระกูลจี้ของเราเท่านั้น แต่มันยังโกงทรัพย์สินของต้วนเผิงด้วย ช่างไม่รู้จักพอจริงๆ!” จี้ช่าวเหลยตะคอกอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นจี้เฟิงมองเขาด้วยสายตางุนงงจี้ช่าวเหลยจึงอธิบายว่า “อันที่จริงเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณลุง ดังนั้นฉันจึงไม่อยากพูดอะไรมาก”
“คุณลุงพ่อของผมเหรอ? แล้วพ่อของผมไปเกี่ยวอะไร!” จี้เฟิงตกใจ
จี้ช่าวเหลยหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า“คนที่ริเริ่มงานเลี้ยงในครั้งนี้มีชื่อว่าเฉียวเจียไค… ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ แม่ของเฉียวเจียไคคือคนที่คุณปู่เคยจะให้มาแต่งงานกับคุณลุง สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดก็เกิดขึ้นจากฝีมือของสองแม่ลูกคู่นี้เช่นกัน!”
“เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง!”จี้เฟิงเริ่มจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น เขาจำได้ที่อาสามเคยบอกกับเขาว่า คุณปู่เคยจัดงานแต่งงานให้พ่อของเขากับผู้หญิงคนหนึ่ง และผู้หญิงคนนั้นคือผู้ร้ายที่ทำให้พ่อกับแม่ของเขาต้องแยกจากกันมานานกว่าสิบปี!
“เดิมทีครอบครัวของต้วนเผิงก็เหมือนกับพวกเราเขาอาศัยอยู่ในเขตที่พักของข้าราชการระดับสูง แต่ต่อมาเมื่อมีการล้มล้างระบบและต้วนเผิงก็ไม่ได้เป็นผู้สืบทอดงานทางราชการเขาจึงเลือกที่จะทำธุรกิจ เพราะก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสในบ้านต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใหญ่คนโตหลายคน ดังนั้นทุกคนจึงสนับสนุนเขาเป็นอย่างดีจนทำให้ธุรกิจของต้วนเผิงเติบโตไปอย่างรวดเร็ว”
จี้ช่าวเหลยถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะเล่าต่อ“อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสในครอบครัวของต้วนเผิงอายุมากขึ้นและพวกเขาก็ค่อยๆสูญเสียการสนับสนุน ตระกูลเฉียวเพ่งเล็งความมั่งคั่งและทรัพยากรที่เป็นของตระกูลต้วน เขาจึงจัดการรวมตัวครั้งนี้ขึ้นเพื่อกดดันทางฝ่ายต้วนเผิง”
จี้ช่าวเหลยกล่าวต่อ“แต่ตระกูลเฉียวเหมือนจะเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ ครั้งสุดท้ายที่พวกเขารู้ว่าแม่ของนายกลับมายังตระกูลจี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปกินยาผิดมารึเปล่า ถึงได้กล้าจัดการกับตระกูลจี้ของเรา ในตอนนั้นอาสามต้องการจะจัดการเอาคืนพวกเขาอย่างสาสมแต่ได้ถูกคุณปู่ห้ามไว้เพราะเห็นแก่หน้าของเพื่อนร่วมรบที่เสียชีวิตไปแล้วของตระกูลเฉียว แต่นั่นไม่ใช่กับฉัน ฉันไม่สามารถทนอยู่เฉยๆและต้องเป็นฝ่ายรับมือกับการโจมตีของตระกูลเฉียวเพียงฝ่ายเดียวได้!”
ใบหน้าของจี้เฟิงมืดมนหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็ถามด้วยน้ำเสียงเย็น “พี่รอง พี่กำลังจะบอกว่าจนถึงตอนนี้แม่ของเฉียวเจียไคก็ยังคงเห็นแม่ของผมเป็นศัตรูอยู่ใช่ไหม”
จี้ช่าวเหลยพยักหน้าเล็กน้อย“ฉันคิดว่าแบบนั้น แต่เอาจริงๆฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวโดยละเอียดเพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอดีตเมื่อนานมาแล้ว ถ้านายอยากรู้จริงๆคงต้องไปถามพ่อของนายเองแล้วล่ะ”
“ฮ่าฮ่า!ดีดี!” จี้เฟิงหัวเราะแต่ดวงตาของเขากลับฉายแววเย็นชา “มันเป็นเพราะแม่ของเฉียวเจียไคที่ทำให้พ่อกับแม่ของผมต้องแยกจากกันนานกว่าสิบปีและตอนนี้พวกนั้นก็ยังจะมาสร้างปัญหาและความเครียดแค้นให้กับพวกเราอีก คนแบบนี้เขาเรียกว่าถ้าไม่เห็นโลงศพก็คงไม่หลั่งน้ำตา!”
“น้องสามอย่าพลีพลาม!”จี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่เย็นชาและน่าขนลุกของจี้เฟิง
“ฮ่าฮ่า~!ไม่ต้องห่วงหรอกพี่รองฉันรู้ว่าควรทำอะไร” จี้เฟิงยิ้มเย็นและจู่ๆก็ถามขึ้นว่า ก่อนหน้านี้ที่พี่รองถามผมเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้ ไม่ใช่ว่าถามไปเพราะแค่อยากรู้เฉยๆใช่ไหม”
“ไม่แน่นอน!เฉียวเจียไคเติบโตมาในกองทัพและมีความสามารถมากเขามีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม และถ้าหากเขาต้องการจะวัดกับเราในเรื่องนี้อย่างน้อยเราก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว นอกจากนี้การต่อสู้ระหว่างเด็กก็คงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องบอกกับผู้อาวุโสใช่มั้ยล่ะ” จี้ช่าวเหลยแค่นเสียงอย่างโกรธแค้น “ตอนนั้นฉันกับพี่ใหญ่เคยต้องเจ็บใจเพราะเจ้าเฉียวเจียไค!”
“การต่อสู้…”จี้เฟิงลูบคางของเขาแล้วหัวเราะ “ฮ่าฮ่า! ฉันชอบเรื่องนี้ที่สุด!”