The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 210 ความกังวลที่ซ่อนอยู่
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 210 ความกังวลที่ซ่อนอยู่
เป็นเรื่องจริงที่ตอนนี้จี้เฟิงมีเงินมากกว่า40 ล้านหยวน แต่เขาเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบประหยัดมาโดยตลอดจู่ๆจะให้เขาควักเงินมากกว่า 10 ล้านเพื่อซื้อวิลล่าหลังเดียวซึ่งมันทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกหนักใจพอสมควร เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตัวเอง ว่าทำไมเขาถึงได้เป็นคนขี้งกได้ขนาดนี้ แต่ความรู้สึกไม่อยากจ่ายของเขามันเป็นความรู้สึกที่แท้จริง
รู้หรือไม่ว่าในอดีตที่ผ่านมาค่าครองชีพต่อปีทั้งหมดของเขาและแม่เป็นเงินจำนวนไม่กี่พันหยวนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้าที่เขาจะได้พบกับสมองหมายเลข 1 เขาและแม่ไม่เคยมีเงินถึงหลักหมื่นเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับจี้เฟิงที่จะเปลี่ยนนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กและเขาก็ไม่ได้ต้องการเปลี่ยนมันด้วย เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่อยากใช้จ่ายอะไรที่ฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลืองไม่ว่ามันจะเป็นเงินเพียงเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
แม้ว่าจี้เฟิงจะเคยจินตนาการหลายต่อหลายครั้งว่าถ้าวันหนึ่งเขากลายเป็นคนรวยขึ้นมาเขาจะต้องมีของดีของหรูหราใช้อย่างครบครันแต่พอเขามีเงินเข้าจริงๆ เขากลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะซื้อรถ Audi เมื่อไม่นานมานี้แต่เขาก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอดและถ้าไม่ใช่เพราะประสิทธิภาพและความปลอดภัยของรถที่คุ้มค่าจริงๆเขาคงไม่ควักเงินหลายแสนเพื่อซื้อรถอย่างแน่นอน
ถ้าเป็นไปได้จี้เฟิงต้องการซื้อเพียงแค่มอเตอร์ไซค์ในราคาไม่กี่หมื่นหยวนเท่านั้นอย่างไรก็ตามมันถูกใช้เพื่อการเดินทางอย่างเร่งด่วนได้เพียงอย่างเดียวแต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเดินเมื่อคนอื่นขับรถ แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆแล้วพบว่าอาจเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นในวันหนึ่ง จี้เฟิงจึงตัดสินใจเลือก Audi
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวในการใช้เงินของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
จี้เฟิงเองก็ไม่ได้รู้สึกอับอายอะไรหากมีคนหัวเราะเยาะเขาในเรื่องนี้แต่เขากลับรู้สึกเย้ยหยันคนเหล่านั้นด้วยซ้ำสำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ที่ยากลำบากพวกเขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าการหาเงินด้วยความยากลำบากมันมีค่าแค่ไหน!
สำหรับหลายๆคนเงินอาจเป็นเพียงแค่ตัวเลขแต่สำหรับจี้เฟิงเงินคือต้นทุนในการดำรงชีวิตของเขา
“การรู้จักอดออมจนเป็นนิสัยมันเป็นเรื่องที่ดีจงทำต่อไป!” จี้เฟิงพอใจกับนิสัยในด้านนี้ของเขามากและอดไม่ได้ที่จะบอกกับตัวเอง
ในตอนนี้แม้ว่าเขาจะชอบวิลล่านี้มากแถมมันยังสอดคล้องและตรงตามเงื่อนไขที่เขาต้องการไม่ว่าจะใช้เพื่อการฝึกฝนยิมนาสติกหรือศึกษาเกี่ยวกับม่านแสงเพื่อที่จะทดลองผลิตมันด้วยตัวเองในอนาคตก็ตาม อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่ามันเป็นที่ส่วนตัวมากพอที่จะไม่มีข่าวรั่วออกมา! แต่ถึงยังไงจี้เฟิงก็ยังคงลังเลครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ
เขาก้มดูนาฬิกาข้อมือและพบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้วซึ่งเป็นเวลาที่ต้องเข้าเรียนพอดีเขาจึงหยิบหนังสือเรียนและตรงไปที่ห้องเรียนทันที
แต่ตลอดช่วงบ่ายจี้เฟิงไม่สามารถสงบจิตใจให้โฟกัสกับเนื้อหาการเรียนได้เลยเพราะมีแต่คำว่าซื้อหรือไม่ซื้ออยู่ในหัวของเขาแทบจะตลอดเวลา!
“ฉันต้องคิดให้ดีและรอบคอบ!”จี้เฟิงตัดสินใจอย่างลับๆ แม้ว่าเขาจะเป็นคนขี้เหนียว แต่ก็ไม่เคยตระหนี่กับเรื่องที่สมควรจะต้องใช้จ่าย
จี้เฟิงหยิบปากกาขึ้นมาและฉีกกระดาษจากสมุดออกมาแผ่นหนึ่งจากนั้นก็เริ่มเขียนและวาด
“18ล้านกับวิลล่า 1 หลัง..” จี้เฟิงพึมพำด้วยระดับเสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน “วิลล่าสามารถใช้สำหรับการอยู่อาศัยได้ ถ้าประโยชน์เพียงเท่านี้ถือว่าไม่คุ้มค่ากับราคา แต่นอกเหนือจากนั้นวิลล่านี้ก็ดูเงียบสงบดี และยังมีสนามขนาดย่อมอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวอีกด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับไว้ฝึกยิมนาสติกและการควบคุมความแข็งแกร่งของพลัง นี่เป็นคุณสมบัติที่ฉันต้องการ”
“อืม..แต่มันก็ยังไม่คุ้มกับราคา 18 ล้านหยวนเท่าไหร่เลยแฮะ… แล้วถ้าฉันสามารถทำการผลิตม่านแสงได้ล่ะ” จี้เฟิงถามตัวเอง
หากต้องพูดถึงการใช้ชีวิตและการฝึกซ้อมจี้เฟิงก็ไม่จำเป็นต้องมีบ้านที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเขาสามารถไปฝึกที่สวนสาธารณะหรือสนามกีฬาของมหาวิทยาลัยได้ แต่การฝึกฝนและพัฒนาไปเป็นการผลิตม่านแสงทำในสถานที่แบบนั้นไม่ได้
จี้เฟิงเป็นคนที่รู้ดีกว่าใครๆว่าม่านแสงของกาแล็กซีแกมมานั้นมีค่ามากแค่ไหน
ม่านแสงในกาแล็กซีแกมม่านั้นเทียบเท่ากับ‘ทีวี’ ในบ้านของผู้อยู่อาศัยทั่วไป แต่ถ้าหากมันได้ปรากฏบนโลกมันจะกลายเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ทุกแง่มุมของการใช้งานไม่ว่าจะสำหรับประชาชนคนทั่วไปหรือจะใช้ทางการทหารมันก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก!
ลองนึกภาพตัวอย่างเช่นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์หากคุณต้องการออกแบบหรือสร้างอุปกรณ์ใหม่ ให้ใช้ม่านแสงของกาแล็กซีแกมมาเพื่อนำเสนอหรือจะนำเสนอภาพสามมิติบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้คือฟ้ากับเหวที่ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกันได้เลย
เนื่องจากม่านแสงนี้ไม่เพียงแต่สามารถใช้เป็น‘ทีวี’ ได้เท่านั้น แต่มันสามารถทำให้คุณอยู่ในนั้นได้ด้วย
(ผู้แปล: ไม่แน่ใจว่าคือการบันทึกภาพหรือเปล่านะคะ)
ตามคำบอกเล่าของสมองหมายเลข1 ตราบเท่าที่คุณสามารถเรียนรู้เทคโนโลยีการสื่อสารและเครือข่ายอย่างเต็มที่ คุณก็จะสามารถใช้ม่านแสงที่เป็นฟังก์ชั่นอย่างหนึ่งของซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยความอัศจรรย์ของมันจะต้องทำให้ผู้คนที่พบเห็นถึงกับบ้าคลั่งได้อย่างแน่นอน
แต่ก็เป็นเพราะว่าจี้เฟิงรู้ดีถึงคุณค่าของม่านแสงนี้จี้เฟิงจึงมั่นใจได้เลยว่าหากมีคนอื่นรู้ว่าเขามีเทคโนโลยีนี้ ในอนาคตแม้แต่ตระกูลจี้ก็ไม่อาจสามารถช่วยเหลือเขาได้
แม้แต่ม่านแสงที่น่าอัศจรรย์นี้เขายังสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้แล้วเขาจะยังมีชีวิตที่มีสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลต่อไปได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการฝึกฝนของสมองหมายเลข1 ด้วยระบบฝึกสายลับอย่างต่อเนื่อง จี้เฟิงจะยิ่งเชี่ยวชาญเทคโนโลยีแห่งอนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ และเขาอาจจะทำได้มากกว่าม่านแสง และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาอาจจะถูกจับไปขังกรงเหมือนแพนด้ายักษ์และถูกจับตามองการพัฒนาไปเรื่อยๆ หรืออาจจะมีอะไรที่ร้ายแรงไปกว่านั้นถ้ามีคนจากต่างประเทศรู้ จุดจบของเขาก็คงเป็นอะไรที่ยากจะพูด
มันคงเป็นเรื่องดีหากคนอื่นสามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆและปล่อยให้เขาได้มีชีวิตไปตามปกติแต่ถ้าหากคนส่วนใหญ่หวาดกลัวหรือรับไม่ได้ ก็เหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือต้องกำจัดเขา!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้จี้เฟิงก็ถึงกับกุมขมับ
“ซื้อ!”จี้เฟิงกัดฟันและตัดสินใจในที่สุด ไอลีนโนเวล
แม้ว่าเขาจะได้ไปอาศัยอยู่ในวิลล่าแต่ก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับไปได้ตลอดแต่ไม่ว่าอย่างไรนั่นมันก็เป็นเรื่องของอนาคต อย่างน้อยในช่วงสั้นๆเรื่องนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ และในปัจจุบันจี้เฟิงทำได้เพียงแค่ก้าวไปทีละก้าวอย่างมั่นคงและทำให้ดีที่สุด
หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้วจี้เฟิงก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากหลังจากการเรียนช่วงบ่ายเสร็จสิ้น จี้เฟิงก็ตรงกลับไปที่หอพักทันที ตอนนี้ก็เป็นเวลา 4 โมงเย็นแล้ว เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเซียวหยูซวน
แต่ไม่มีใครรับสาย…จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“หรือว่าตอนนี้เธอกำลังสอนอยู่”จี้เฟิงพึมพำกับตัวเอง จี้เฟิงรู้สึกกังวลเล็กน้อยเพราะโดยปกติแล้วจี้เฟิงก็ไม่ได้รู้ตารางการเรียนการสอนของแผนกภาษาต่างประเทศและที่ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ที่เขาแยกกับเซียวหยูซวนและถงเล่ยเมื่อตอนเที่ยง พวกเธอสองคนก็ยังไม่ได้ติดต่อกับเขาอีกเลย มันเลยทำให้จี้เฟิงยิ่งสงสัยมากขึ้นว่าพวกเธอทั้งสองคนพูดคุยเรื่องอะไรกันบ้าง?
จี้เฟิงยังไม่ยอมแพ้คราวนี้เขาลองโทรหาถงเล่ย แต่ผลที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน ไม่มีใครรับสาย
ในเวลานี้เพื่อนๆในห้องพักของเขาก็ไม่อยู่เช่นเดียวกันจี้เฟิงที่นั่งอยู่บนเตียงคนเดียวหยิบปากกาในมือและหมุนไปมาพร้อมกับคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
………
จนเมื่อถึงเวลาอาหารเย็นโทรศัพท์มือถือของจี้เฟิงก็ดังขึ้นเขามองไปที่โทรศัพท์และพบว่าคนที่โทรเข้ามาคือถงเล่ย
“เฮ้เล่ยเล่ย ทำไมเธอไม่รับโทรศัพท์ฉันเลยล่ะ” จี้เฟิงถามด้วยความเป็นกังวลทันทีที่เขารับสาย ตลอดช่วงบ่ายเขาโทรหาถงเล่ยสี่ห้าสายแต่ก็ไม่สามารถติดต่อเธอได้เลย
“ฉันอยู่ในชั้นเรียน!”เสียงที่นุ่มนวลของถงเล่ยตอบกลับมาจากปลายสาย ซึ่งทำให้จี้เฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่น้ำเสียงของเธอมันดูไม่ได้ผิดปกติอะไร
“จี้เฟิงนายมีเรื่องอะไรเหรอถึงได้โทรหาฉัน”ถงเล่ยถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“อ้อ!คือฉันมีเรื่องที่จะคุยด้วย…” ทันใดนั้นจี้เฟิงก็นึกสิ่งที่จะพูดขึ้นได้และเล่าให้ถงเล่ยฟังทันที “วันนี้ฉันเห็นข้อมูลการขายบ้านบนอินเทอร์เน็ต…” “นายจะซื้อบ้านพักข้างนอกงั้นเหรอ”ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะถามเพื่อความแน่ใจ แม้เธอจะรู้ว่าจี้เฟิงทำเงินได้มากมายจากแร่หินหยก แต่เธอก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าจะต้องจ่ายเงินมากกว่า 10 ล้านหยวนสำหรับบ้านพัก 1 หลัง
จี้เฟิงลังเลแต่ก็ยังไม่ได้อธิบายอะไรออกไป ท้ายที่สุดแล้วเทคโนโลยีล้ำหน้าที่มาจากนอกโลกมันก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจเกินไป มันคงดีกว่าถ้าเขาจะแบกรับความกดดันเหล่านี้ไว้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว เพราะถ้าหากถงเล่ยรู้เรื่องนี้เธอจะต้องเป็นกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“จี้เฟิงถึงนายจะมีเงินแต่นายก็ไม่สมควรที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยนะ..” ถงเล่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลังเลเล็กน้อย เธอกลัวว่าการพูดอะไรที่มากเกินไปจะทำให้จี้เฟิงรู้สึกไม่ดี
“ไม่ต้องห่วงมันไม่ใช่การใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย..!” จี้เฟิงยิ้มแหยๆ เขารู้สึกปวดหัวเมื่อต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี “ฉันได้ยินมาว่า เจียงโจวเป็นเมืองที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วแถมวิลล่าแห่งนี้ก็อยู่ในเขตเดียวกันกับมหาวิทยาลัย ฉันเชื่อว่าในอนาคตราคาของมันจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ฉันเลยคิดซะว่าการซื้อวิลล่าหลังนี้มันก็เหมือนกับการลงทุนอย่างหนึ่งแถมในตอนนี้ฉันยังอยู่อาศัยได้แล้วเมื่อไหร่ที่ราคาที่อยู่อาศัยพุ่งสูงขึ้น ตอนนั้นฉันก็สามารถขายเอากำไรได้ด้วย นี่คือการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!”
ถงเล่ยไม่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มากนักแต่หลังจากได้ยินสิ่งที่จี้เฟิงอธิบาย มันก็ฟังดูเข้าท่าดีแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้มากนัก แต่ไม่ว่ายังไงนายก็ต้องระวังอย่าประมาท ฉันรู้ว่านายเรียนวิชาเอกเศรษฐศาสตร์และการจัดการแต่มันจะดีกว่าถ้านายลองปรึกษาอาจารย์ในแผนกของนายก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะเงินที่มากกว่า 10 ล้านหยวนไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลย” จี้เฟิงยิ้มและตอบตกลงทันทีความห่วงใยของถงเล่ยที่มีต่อเขาสามารถสัมผัสได้อย่างเป็นธรรมชาติจากนั้นเสียงอันแผ่วเบาก็ทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“ถ้าฉันซื้อบ้านมันก็จะเป็นบ้านของเรา!”จี้เฟิงพูดติดตลกด้วยรอยยิ้ม
“นั่นคือบ้านของนายคนเดียว!”ถงเล่ยหัวเราะคิกคัก “บ้านของฉันอยู่ที่หมางซือ!”
จี้เฟิงหัวเราะทันทีเมื่อรู้ว่าถงเล่ยเป็นคนที่ขี้อายมากเขาจึงหยุดแกล้งเธอและพูดคุยกันอีกสองสามคำก่อนจะวางสายไป
หลังจากนั้นจี้เฟิงก็กดโทรออกไปที่เบอร์ของเซียวหยูซวนอีกครั้งและในที่สุดเซียวหยูซวนก็รับโทรศัพท์
“เจ้าตัวเล็กมีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือเปล่า ฉันกำลังจะโทรหาคุณอยู่พอดีเลย!” เสียงของเซียวหยูซวนมีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป มันทำให้หัวใจของจี้เฟิงร้อนขึ้นทันทีเมื่อได้ยิน
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“ผมต้องการจะซื้อบ้าน!”
เขาพูดเข้าประเด็นทันที
เซียวหยูซวนตกใจ“เจ้าตัวเล็ก สรุปว่าคุณจะเอาจริงเหรอเนี่ย”
เมื่อตอนที่จี้เฟิงเห็นอะพาร์ตเมนต์ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรกเขาได้พูดไว้ว่าเขามีแผนที่จะซื้อบ้าน และหลังจากที่เกิดเรื่องเกี่ยวกับหวู่หลิงเอ๋อ ความต้องการที่จะซื้อบ้านของเขาก็มีมากขึ้น แต่เซียวหยูซวนคิดไม่ถึงว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้
“แน่นอนเอาจริงสิ! บ้านหลังนี้จะเป็นรังรักของเราในอนาคตฉันก็ต้องจริงจังอยู่แล้ว!” จี้เฟิงยิ้ม
“อันธพาลตัวน้อย!”เซียวหยูซวนกล่าวด้วยน้ำเสียงดุๆ แต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความหวาน
หลังจากที่จี้เฟิงอธิบายเรื่องนี้โดยละเอียดแล้วเซียวหยูซวนก็พูดทันที “ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด ราคา 18 ล้านไม่แพงอย่างแน่นอน นี่เป็นโอกาสที่ดีจริงๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเซียวหยูซวนจี้เฟิงจึงได้ตัดสินใจในการใช้เงินก้อนใหญ่
หลังจากที่เขาวางสายของเซียวหยูซวนเขาก็โทรหาเจ้าของบ้านหลี่ทันทีและตกลงนัดกับอีกฝ่ายว่าจะมาพบกันตอน10 โมงเช้าของวันพรุ่งนี้
หลังจากคุยธุระเสร็จจี้เฟิงก็โยนโทรศัพท์ลงบนเตียงและเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก“มีรถ มีบ้าน แต่จะขาดผู้หญิงไม่ได้… ฉันจะต้องพยายามให้มากขึ้น หากต้องการให้เซียวหยูซวนและถงเล่ยมาอยู่ร่วมกันกับฉัน!”