The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 211 จี้เฟิงเจ้าของวิลล่า!
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 211 จี้เฟิงเจ้าของวิลล่า!
วันรุ่งขึ้นจี้เฟิงยังคงตื่นแต่เช้ามืดตามปกติ แต่จี้เฟิงไม่ได้เข้าไปฝึกอบรมในระบบฝึกเหมือนอย่างทุกวันเพราะเกรงว่าเพื่อนร่วมหอพักอีกสามคนจะตื่นและเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่างได้
เมื่อคืนนี้ตู้เส้าเฟิงนอนกรนเสียงดังมากส่วนฮั่นจงก็เป็นคนนอนกัดฟัน มีเพียงจ้าวไคเท่านั้นที่หลับโดยไม่ส่งเสียงอะไรผิดปกติออกมา แต่ก่อนที่จ้าวไคจะหลับจี้เฟิงได้เห็นเขาหยิบดินสอและสมุดจดบันทึกจากข้างเตียงและเขียนหรือวาดอะไรบางอย่างลงในนั้นนานสองชั่วโมง
ส่วนพัดลมเพดานในห้องของพวกเขาไม่ได้มีความแรงเลยแต่เสียงของมันกลับดังพอๆกับใบพัดเฮลิคอปเตอร์
ในกรณีนี้อย่าพูดว่าจะตั้งสมาธิเพื่อฝึกอะไรเลยขอแค่นอนหลับให้ได้อย่างสงบเสียก่อนดีกว่าแต่โชคดีที่จี้เฟิงได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลานานและไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ตามเขาสามารถบังคับตัวเองให้หลับได้ในเวลาอันสั้น คุณรู้หรือไม่ว่าในฐานะสุดยอดสายลับคุณสามารถที่จะถูกเปิดเผยตัวตนได้ตลอดเวลา และเมื่อถึงตอนนั้นการหลบหนีก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการปฏิบัติภารกิจ และในระหว่างการหลบหนีคุณจะเหนื่อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการพักผ่อนให้ได้ทุกที่ทุกเวลาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ทักษะนี้อยู่ในแผนการฝึกของจี้เฟิงด้วยและก่อนที่เขาจะฝึกการเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดที่สองเขาได้ฝึกฝนทักษะนี้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นประสบการณ์การนอนหอร่วมกับเพื่อนผู้ชายของเขากลับยิ่งทำให้เขามีความมุ่งมั่นที่จะซื้อบ้านมากขึ้นโดยไม่ต้องคิดถึงจุดประสงค์อื่นใดเพียงแค่การได้นอนหลับอย่างสบายมันก็ทำให้เขาอยากที่จะซื้อบ้านมากขึ้นแล้ว เนื่องจากช่วงเช้าของวันนี้จี้เฟิงไม่มีคาบเรียนเขาจึงใช้ช่วงเวลานี้ไปพบกับนายหลี่เจ้าของวิลล่า
หลังจากที่กินอาหารเช้าง่ายๆเสร็จเรียบร้อยจี้เฟิงก็ขับรถไปยังสถานที่ที่เขานัดเจอกับนายหลี่
นายหลี่เป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบต้นๆใบหน้าของเขาดูเหมือนอักษรจีนตัวหนึ่งซึ่งทำให้เขาดูเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา
จี้เฟิงพูดคุยกับเขาอย่างสบายๆและจากนั้นเขาก็ได้รู้ว่านายหลี่เป็นคนที่ชอบเล่นหุ้นเขามีลูกสาวเพียงคนเดียวและเธอได้ย้ายไปอยู่กับสามีของเธอที่สหรัฐอเมริกาและได้สร้างครอบครัวอยู่ที่นั่น และเนื่องจากภรรยาของนายหลี่ไม่อยากอยู่ห่างไกลจากลูกและหลานๆก็คิดถึงตากับยายมาก ลูกสาวของพวกเขาจึงสนับสนุนให้พวกเขาย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่นั่นกับเธอ
จี้เฟิงรู้สึกสนใจเกี่ยวกับหุ้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า“การเล่นหุ้นมีความเสี่ยงมากมั้ยครับ”
ตอนนี้จี้เฟิงไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับการเงินประเภทนี้แม้ว่าเขาจะเรียนเศรษฐศาสตร์และการจัดการเป็นภาควิชาหลัก แต่เนื่องจากเขาเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยและเขาก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์จริงในด้านนี้เลย
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือหลังจากการได้ฟังคำแนะนำของนายหลี่ดูเหมือนว่านายหลี่จะไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากการเล่นหุ้น แล้วถ้าหุ้นไม่สามารถทำเงินให้กับเขาได้ ก็เกรงว่านายหลี่ก็คงจะอดตายไปแล้ว
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงในการเล่นหุ้นนั้นมีมากเกินไปจี้เฟิงเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้วดังนั้นเขาจึงประหลาดใจมาก ในการเล่นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงแต่นายหลี่ยังสามารถทำเงินจากมันได้เป็นเวลาหลายสิบปีซึ่งเรื่องนี้จี้เฟิงต้องขอชื่นชม
นายหลี่หัวเราะและกล่าวว่า“มีความเสี่ยงสูงแต่มันก็ให้ผลตอบแทนที่สูงมากเช่นกันวิลล่าหลังนี้ของฉันก็ได้มาจากการเล่นหุ้นล้วนๆ!”
“มันทำกำไรได้มากขนาดนั้นเลยเหรอ”จี้เฟิงประหลาดใจมาก มีไม่กี่คนที่จะสามารถเก็งกำไรจากหุ้นตัวที่ตัวเองถือไว้ในระยะยาวได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือมีข้อมูลภายในที่ดีพอ เขาจึงคิดว่านายหลี่น่าจะอยู่ในประเภทนี้
ทั้งสองคุยกันอีกสองสามคำจากนั้นนายหลี่ก็พูดขึ้นว่า“น้องชายจี้ โอกาสที่คนเราจะได้ร่วมงานกับคนที่พูดคุยถูกคอมันน้อยมาก เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะลดราคาของวิลล่าลงอีกหน่อย เป็น 17.5 ล้านหยวน อ้อ! อีกอย่าง นอกจากวิลล่าหลังนี้แล้ว ฉันยังมีอาคารอีกสองหลังไว้สำหรับเปิดร้านได้ ตอนนี้ฉันยังไม่ได้ประกาศขาย ถ้าน้องชายจี้ยังพอมีทุนน้องชายจะลองไปดูอาคารสองหลังนี้ด้วยเลยมั้ยล่ะ”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแต่เขาไม่รีบตอบ เขาแอบถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่แปลกใจเลยที่จู่ๆนายหลี่จะลดราคาวิลล่าลงถึง 500,000 หยวน ด้วยการพูดเพียงหนึ่งคำ นั่นเป็นเพราะเขายังคงต้องการที่จะขายอาคารไว้สำหรับเปิดเป็นร้านค้าอีกสองร้าน
จี้เฟิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ถามว่า“ร้านของพี่หลี่อยู่ที่ไหนเหรอ”
“มันอยู่ที่ถนนถงโจว!”นายหลี่ยิ้ม ตอนนี้ถนนเส้นนั้นมันค่อนข้างจะเงียบๆไปสักหน่อยและทำเลที่ตั้งของอาคารก็ไม่ค่อยดีนัก แต่ฉันเชื่อว่าภายในไม่กี่ปีมันจะสามารถพัฒนาได้อย่างแน่นอน เพราะความเร็วในการพัฒนาของเจียงโจวนั้นเร็วที่สุดในประเทศ
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าแต่ภายในใจนั้นเขากำลังคำนวณ
ถนนถงโจวเป็นย่านชานเมืองแถมยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาแต่จี้เฟิงเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าในอนาคตถนนถงโจวจะมีการพัฒนาไปในรูปแบบใดและจะเป็นในเร็วๆนี้หรือไม่
ถ้าเขาอยากรู้ให้ชัดเจนเขาจะต้องโทรไปถามอาสองของเขาแต่เขาคิดว่าเรื่องนี้อาจจะทำให้อาสองของเขาต้องลำบากใจหรือใช้เส้นสายเพื่อได้ข้อมูลมาและอีกอย่างเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาเอง มันคงไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป
เพียงแค่มองนายหลี่ก็รู้ได้ในทันทีว่าจี้เฟิงกำลังลังเลอยู่เขาจึงยิ้มและพูดว่า “น้องชายจี้ เอาเป็นว่าเราไปดูสถานที่จริงกันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
จี้เฟิงพยักหน้าทันทีและกล่าวว่า“ตกลง!”
เมื่อพวกเขามาถึงถนนถงโจวจี้เฟิงก็ได้รู้ว่าสิ่งที่นายหลี่พูดนั้นหมายถึงอะไร ที่นี่แทบจะเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่ามีเพียงอาคารสำนักงานสองหลังที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและมันก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ถ้าหากคุณสามารถมองได้ในระยะที่ไกลพอ คุณจะรู้ได้เลยว่าห่างไปหลายสิบกิโลเมตรกว่าจะพบเจอผู้คน
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“พี่ชายหลี่ที่นี่มันไม่ใช่แค่ค่อนข้างเงียบ แต่มันเป็นพื้นที่รกร้างว่างจนเรียกได้ว่าเป็นถิ่นทุรกันดารเลยก็ว่าได้”
นายหลี่หัวเราะและพูดว่า“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงได้พาน้องชายจี้มาดูให้เห็นกับตาก่อนยังไงล่ะ น้องชายจี้จะได้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง ฉันไม่อยากรอจนกว่าการจัดการธุรกรรมจะเสร็จสิ้นแล้วหลังจากนั้นเมื่อน้องชายจี้มาเห็นทีหลัง ฉันคงโดนก่นด่าสาปแช่งอย่างไม่ต้องสงสัย”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดถึงนายหลี่อยู่ในใจอย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่ทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมาและมีทัศนคติค่อนข้างดี
“อันที่จริงฉันก็ไม่อยากจะบอกน้องชายจี้ว่าเหตุผลที่ฉันซื้ออาคารทั้งสองก็เกี่ยวกับเรื่องหุ้นด้วย”นายหลี่ส่ายหัว “น้องชายจี้ยังเด็กอยู่มากและฉันก็มั่นใจว่าครอบครัวของน้องชายจี้ต้องมีธุรกิจที่ใหญ่โตอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่พิเศษมาก ดังนั้นถึงแม้ว่าฉันจะไม่บอกแต่น้องชายก็สามารถรู้เรื่องนี้ผ่านช่องทางอื่นๆได้อย่างแน่นอน”
จี้เฟิงแปลกใจเล็กน้อย“ซื้อหน้าร้านไว้สำหรับหุ้น”
“ใช่!”นายหลี่พยักหน้า “อันที่จริงนี่เป็นวิธีหมุนเวียนเงินในตลาดหุ้นอย่างหนึ่ง โดยใช้บริษัทหรือห้างร้านที่มีแต่ชื่อออกสู่สาธารณะเพื่อใช้ในการหมุนเวียนเงิน แต่ช่วงหลังๆมานี้การตรวจสอบค่อนข้างเข้มงวดดังนั้นวิธีการนี้จึงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีอิทธิพลที่ใหญ่โตจริงๆ
“นักพัฒนาที่พัฒนาอาคารสำนักงานทั้งสองนี้อันที่จริงเขาไม่ได้เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอะไรมากมายอยู่แล้ว มันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีทางเปิดเผยต่อสาธารณะในฐานะบริษัทได้เหมือนเมื่อก่อน อาคารสำนักงานทั้งสองนี้เลยได้รับการพัฒนาเพียงแต่ชื่อเท่านั้น จากนั้นพวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากเส้นสายและทำให้ชื่อบริษัทนี้เข้าสู่ตลาด”
“ที่ฉันซื้ออาคารสองหลังนี้มันก็เป็นเพียงการซื้อตั๋วเพื่อเข้าร่วมในเกมของพวกเขาเท่านั้น”นายหลี่กล่าวเสริม
จี้เฟิงทำความเข้าใจได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นจากนั้นเขาก็คิดได้ว่าทักษะที่เขามีอยู่นั้นแทบช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยหากอยู่ต่อหน้าคนหัวหมอขี้โกงเหล่านี้ เพียงแค่พวกเขาเล่นลูกไม้อะไรนิดๆหน่อยๆ พวกนั้นก็คงจะทำให้เขางงเป็นไก่ตาแตก!
อันที่จริงจี้เฟิงเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามมากด้วยทักษะพิเศษของเขาไม่ว่าเขาจะเผยแพร่ออกไปทางใดมันก็มากเพียงพอที่จะสร้างความสั่นสะเทือนได้ในระดับโลกโดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรกลและอาวุธอนาคตซึ่งเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้
คนเหล่านี้เพียงแค่จัดตั้งบริษัทที่มีแต่ชื่อขึ้นมาและอาศัยอิทธิพลของครอบครัวเพื่อสร้างรายได้คนอย่างพวกเขานั้นไม่สามารถเทียบกับจี้เฟิงได้เลย!
ถ้าจี้เฟิงต้องการจะหาเงินจริงๆเขาไม่ต้องทำอะไรมากแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำก็เกรงว่าจะมีคนนับไม่ถ้วนอาสานำเงินมาให้เขาถึงที่แล้วทำไมเขาต้องใช้วิธีนี้เพื่อสร้างรายได้
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่เคยคิดที่จะพึ่งพาอิทธิพลของตระกูลและครอบครัวเลยเขาจึงไม่ได้สนใจที่จะทำอะไรแบบนั้น
แม้เขาจะแอบถอนหายใจกับเรื่องนี้แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาพอจะเข้าใจนั่นก็คือราคาของอาคารทั้งสองนี้จะไม่สูงมากอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาได้ยินนายหลี่พูดว่า“น้องชายจี้ภายในหนึ่งหรือสองปีสถานที่นี้อาจจะยังไม่ได้รับการพัฒนาดังนั้นหากน้องชายต้องการอาคารทั้งสองนี้น้องชายจะได้มันไปในราคาทุน”
จี้เฟิงเงียบกับการลงทุนแบบนี้เขาต้องคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน
หลังจากนั้นไม่นานจี้เฟิงก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า“ตกลง ผมจะเอาอาคารสองหลังนี้ด้วย!”
นายหลี่ดีใจมากเขาจับมือของจี้เฟิงเขย่าและพูดว่า“เยี่ยมไปเลยน้องชายจี้ งั้นเรามาทำสัญญากันเถอะ”
“โอเค” จี้เฟิงยิ้ม สำหรับจี้เฟิงอาคารทั้งสองนี้อาจจะยังไม่ได้มีประโยชน์กับเขามากนักในตอนนี้แต่เมื่อพื้นที่แถวนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมูลค่าของอาคารสองหลังนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้จี้เฟิงยังไม่ได้มีแผนการอะไรที่แน่นอนเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสองอาคารนี้ แต่ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มีแผนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เขาก็เชื่อว่าอาคารทั้งสองจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองปีมันถึงจะสร้างมูลค่าให้กับเขาได้
วิลล่าและอาคาร2 หลังที่เขาซื้อรวมกันแล้วมีราคามากกว่า 24 ล้านหยวน! ตัวเลขนี้ทำให้จี้เฟิงเริ่มพูดไม่ออกอีกครั้ง ในความเป็นจริงแม้ว่าอาคารทั้งสองจะมีขนาดใหญ่โดยมีพื้นที่มากกว่า 400 ตารางเมตร แต่ราคากลับถูกมากนั่นเป็นเพราะนายหลี่ได้ให้ราคาทุนแก่จี้เฟิงซึ่งราคาจะตกอยู่ที่ประมาณ 6,000 หยวนต่อตารางเมตรเท่านั้น ด้วยราคาเท่านี้เรียกได้ว่าถูกกว่าบ้านสองชั้นในเมืองบางเมืองเสียอีก แต่สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกเจ็บปวดจริงๆก็คือภาษีที่เขาต้องจ่ายเมื่อทำการโอนทรัพย์สินมาเป็นชื่อของเขา เขาต้องจ่ายภาษีมากกว่า 2 ล้านหยวน เขาได้แต่ปลอบโยนตัวเองอยู่ในใจ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะสบถออกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
ด้วยจำนวนเงินที่มากกว่า2 ล้านหยวนถ้าเป็นเขาในอดีตอย่าว่าแต่ใช้จ่ายมันไปกับภาษีเลยเกรงว่าเขาจะไม่กล้าคิดถึงตัวเลขนี้ด้วยซ้ำ!
ขั้นตอนบางอย่างเช่นข้อตกลงการโอนไม่ซับซ้อนมากจี้เฟิงเพียงแค่ต้องเซ็นเอกสารหลายฉบับและจ่ายเงินทั้งหมด และในที่สุดเขาก็ได้เป็นเจ้าของวิลล่าและอาคารพาณิชย์สองหลัง
เมื่อการเซ็นเอกสารเสร็จสิ้นทั้งจี้เฟิงและนายหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจนายหลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะในที่สุดบ้านก็ถูกชายและนอกจากนั้นยังสามารถขายอาคารทั้งสองหลังได้อีกด้วย ทีนี้เขาก็จะได้อพยพย้ายถิ่นฐานได้อย่างสบายใจ ส่วนจี้เฟิงนั้นถอนหายใจเพราะในที่สุดเงินของเขาก็ถูกใช้ไป…
สำหรับเขาสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือช่วงเวลาแห่งการชำระเงิน แต่หลังจากชำระเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ไม่รู้สึกแบบนั้นอีกต่อไป
เพราะเดิมทีจี้เฟิงเป็นคนที่มีนิสัยรักอิสระและง่ายๆไม่ว่าเขาจะเจ็บปวดแค่ไหนในเมื่อเงินมันได้ถูกใช้ไปแล้วทำไมจะต้องมาคิดเรื่องนี้อีกด้วยล่ะ
ทั้งสองไปที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์อีกครั้งและทำขั้นตอนการส่งมอบครั้งสุดท้ายจากนั้นก็เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ นายหลี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับวิลล่าหลังนี้อีกต่อไป
หลังจากที่เขามอบกุญแจทั้งหมดให้กับจี้เฟิงนายหลี่ก็จากไป
จี้เฟิงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อได้รับพวงกุญแจวิลล่าและอาคารพาณิชย์ทั้งสองหลังมาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
เมื่อปีที่แล้วเขายังอาศัยอยู่ในสลัมขนาดไม่ถึง40 ตาราเมตรด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าของวิลล่าหลังโต! ชีวิตและอนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ!
ก่อนที่เขาจะรู้สึกอารมณ์ดีจนมากเกินไปเขาอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้เซียวหยูซวนและถงเล่ยฟัง แต่ทั้งสองสาวกลับปิดมือถือ
“น่าจะอยู่ในชั้นเรียนอีกแล้วล่ะมั้ง…”จี้เฟิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจซ่อนความสุขนี้ไว้ในใจได้ เขาหัวเราะอย่างมีความสุข
แต่ในไม่ช้าจี้เฟิงก็ไม่สามารถหัวเราะได้อีกเพราะตอนนี้เขาต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องของอาการทรัพย์จาง…เงินของเขาเกือบหมดแล้ว!