The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 212 หยุนปิง
“ไอ้เจ้าบ้า!นี่นายซื้อบ้านแล้วจริงๆเหรอเนี่ย!” จางเล่ยจ้องมองไปที่จี้เฟิงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “มันจะไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง ตอนนี้ฉันไม่มีแม้แต่จักรยานซักคันด้วยซ้ำ นายจะทำให้ฉันรู้สึกอับอายไปถึงไหน?!”
จี้เฟิงหัวเราะเซ่อๆ“ถ้านายต้องการรถหรือบ้าน ฉันกลัวว่าแค่นายอ้าปากพูด ไม่วายจะมีคนส่งมาให้ถึงที่!”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน!”จางเล่ยตะคอก “ถ้าอยากจะได้อะไรฉันก็จะต้องหามันมาให้ได้ด้วยตัวเอง เหมือนนายไงล่ะ เข้าใจมั้ย”
จี้เฟิงเหลือบมองจางเล่ยโดยที่มีถงเล่ยยืนอยู่ข้างๆเขาและหัวเราะอย่างว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน
พวกเขาทั้งสามคนนั่งอยู่ในศาลาหน้าหอพักและพูดคุยกัน
เมื่อจางเล่ยได้ยินว่าจี้เฟิงซื้อบ้านแถมยังเป็นวิลล่าเดี่ยวเขาก็ตกใจมากและตะโกนออกมาทันที“เจ้าบ้า ถ้าบ่ายนี้ไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษ เราไปดูบ้านใหม่ของนายกัน ฉันจะได้ช่วยนายดูเผื่อนายต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์อะไรเพิ่มเติม”
จี้เฟิงที่กำลังจะพยักหน้าเห็นด้วยกลับถูกถงเล่ยขัดจังหวะ
“พี่ชายจะหาเรื่องไปเที่ยวเล่นอีกแล้วเหรอ”ถงเล่ยจ้องเขม็งไปที่จางเล่ยและพูดว่า “ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคาบเรียนเมื่อเช้าแล้วสินะ?”
“ทำไม”
จางเล่ยชะงักไปเล็กน้อยจากนั้นเขาก็เกาหัวด้วยท่าทีไม่แยแส“แค่ออกไปช่วงพักตอนบ่ายแป็บเดียว ไอ้เรื่องเรียนถ้าอยากเรียนเมื่อไหร่มันก็เรียนได้ทุกเวลาแหละ ไม่เห็นต้องรีบ”
จี้เฟิงงงเล็กน้อย“เล่ยซือ เมื่อเช้ามันเกิดอะไรขึ้น” จางเล่ยหัวเราะและตอบอย่างคลุมเครือ“มันไม่ได้มีอะไรหรอก ฉันแค่ไม่ชอบชั้นเรียนเมื่อเช้าสักเท่าไหร่”
“พูดให้หมดสิ!”ถงเล่ยตะคอกและบ่น “ถูกอาจารย์จับได้ว่านอนหลับในชั้นเรียน ถ้าพี่ไม่ปรับปรุงตัวแล้วยังเป็นแบบนี้ก็เตรียมตัวเป็นน้องปี 1 สองปีซ้อนได้เลย!”
สรุปก็คือว่าแม้ว่าจางเล่ยจะอยู่ในภาควิชาภาษาต่างประเทศ แต่ในบรรดาวิชาที่เกลียดเสียส่วนใหญ่กลับเป็นภาษาต่างประเทศ! ในความคิดของเขาการเรียนรู้ภาษาของชาวต่างชาติเหล่านั้นมันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงและมันก็ไม่ได้ดีเท่าภาษาจีน
เขาเคยพูดเอาไว้ว่าถ้าทุกคนรู้ภาษาต่างประเทศกันหมดแล้วคนที่ทำอาชีพด้านแปลภาษาจะมีประโยชน์อะไรนั่นไม่ใช่กำลังทำลายอาชีพของคนอื่นหรอกเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์ก็เป็นคนจีนแล้วทำไมเขาต้องเรียนภาษาต่างประเทศกับคนจีนด้วย?
ตรรกะและความคิดแปลกๆของเขาทำให้เขาไม่สนใจภาษาต่างประเทศเลยนั่นจึงทำให้เขานอนหลับบนโต๊ะเรียนทันทีที่เข้าชั้นเรียนและเขาก็บังเอิญถูกอาจารย์พบและถูกต่อว่าในชั้นเรียนตั้งแต่เริ่ม
เมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมดจี้เฟิงก็ได้แต่ส่ายหัวและยิ้มเป็นเรื่องยากที่จะทำให้จางเล่ยเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอย่างเต็มใจ จี้เฟิงรู้จักนิสัยของผู้ชายคนนี้ดี ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย จางเล่ยก็รู้สึกรังเกียจภาษาอังกฤษอย่างมาก แต่เพื่อต้องรับมือกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเขาจึงจำใจที่จะเรียนรู้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าผลการเรียนของเขาที่ออกมามันดีมาก ทั้งในด้านการฟัง อ่านหรือเขียน ความสามารถในการเรียนรู้ของเขานั้นดีกว่านักเรียนคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด
เป็นเพราะเหตุนี้เองเขาจึงสามารถเข้าเรียนในภาควิชาภาษาต่างประเทศของสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวได้
คุณควรทราบว่าภายใต้สถานการณ์ปกติวิชาชีพภาควิชาภาษาต่างประเทศไม่เพียงแต่คุณต้องทำคะแนนรวมของการสอบเขาให้ถึงเกณฑ์เท่านั้นแต่ในหลักสูตรวิชาชีพเฉพาะก็ยังมีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากอีกด้วย
ตัวอย่างเช่นแผนกภาษาต่างประเทศของสหพันธ์มหาวิทยาลัยกำหนดให้นักศึกษาที่ต้องการสอบเข้าต้องมีคะแนนภาษาอังกฤษไม่ต่ำกว่า120 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่นักเรียนนักศึกษาหลายคนไม่สามารถทำได้
ในทีแรกจางเล่ยไม่มีวิชาเอกที่เขาชอบและเขาก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะสามารถสอบเข้าสหพันธ์มหาวิทยาลัยได้หรือไม่ดังนั้นเขาจึงเลือกไปส่งๆตามถงเล่ยน้องสาวของเขาในภาควิชาเอกภาษาต่างประเทศ แต่เขาก็ได้รับการตอบรับ
แล้วจะให้เขามาคอยพูดภาษาต่างประเทศตลอดทั้งวันก็คงจะเป็นเรื่องแปลกหากเขาจะทำด้วยความเต็มใจ!
“โอ๊ยมันคงเป็นโชคร้ายของฉันจริงๆ อะไรมาดลใจให้ฉันสมัครแผนกภาษาต่างประเทศก็ไม่รู้ ถ้าฉันสมัครแผนกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ฉันคงได้นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ทุกวัน แต่สิ่งที่ฉันต้องเจออยู่ทุกวันนี้มันคืออะไรกันฉันรู้สึกราวกับว่าเวลามันผ่านไปเหมือนกับเต่าคลาน ช่างน่าเบื่อจริงๆ!” จางเล่ยดูเบื่อมากจริงๆเขากลอกตาไปมาขณะที่พูดและจู่ๆเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้และถามว่า “นายว่าถ้าฉันโอนย้ายไปสมัครแผนกอื่นตอนนี้เลยมันพอจะเป็นไปได้มั้ย”
จี้เฟิงและถงเล่ยมองหน้ากันจากนั้นพวกเขาก็ส่ายหัวและพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน “เป็นไปไม่ได้!”
“ทำไม!”จางเล่ยเริ่มวิตก “ฉันทนไม่ไหวจริงๆ ถ้าฉันยังต้องเรียนอยู่ในแผนกภาษาต่างประเทศต่อไป ชีวิตฉันก็คงไม่ต่างจากการตกอยู่ในนรก!”
ถงเล่ยพูดเบาๆด้วยรอยยิ้มเย็น“ทำไมพี่ชายไม่ลองปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อดูล่ะ”
จางเล่ยหมดอารมณ์ในทันทีให้ไปพูดกับพ่องั้นเหรอ หาเรื่องตายสิไม่ว่า! เขาจะไม่มีทางทำอะไรโง่ๆแบบนั้นอย่างเด็ดขาด! “โอเค!จบไป ไม่ต้องพูดถึงมันอีก!” จางเล่ยโบกมืออย่างเบื่อหน่าย “เจ้าบ้าเราไปวิลล่าของนายกันเถอะ มีแต่คนพูดภาษาต่างประเทศรอบตัวฉันทั้งวันจนจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย!”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“เล่ยซือ แต่ฉันคิดว่าการเรียนภาษาต่างประเทศมันก็ไม่ได้แย่ คิดซะว่ามันเป็นความบันเทิงที่แปลกใหม่อย่างหนึ่งก็แล้วกัน ถือว่าได้สกิลติดตัวไปตลอดเผื่อวันข้างหน้านายอาจจะได้ใช้ประโยชน์จากมันก็ได้!”
“ตั้งแต่ฉันอยู่แผนกภาษาต่างประเทศยังไม่มีวันไหนเลยที่ฉันไม่ได้เรียนมัน อนิจจาชีวิตวัยรุ่นของฉัน!” จางเล่ยถอนหายใจด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “ชีวิตที่สดใสในมหาลัยอีกสี่ปีข้างหน้าของฉันมันพังพินาศแล้ว!”
จี้เฟิงตัดสินใจที่จะไม่สนใจคำบ่นของจางเล่ยอีกเพราะจี้เฟิงรู้ว่าแม้เขาจะไม่พูดคะยั้นคะยอให้จางเล่ยเรียนต่อไป แต่จางเล่ยก็จะเรียนรู้ต่อไปอย่างแน่นอน แม้ว่านิสัยของเขาจะเป็นคนดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่เขาไม่ใช่คนโง่เขารู้ดีว่าเลือกเส้นทางไหนถึงจะทุกข์ใจน้อยกว่า ระหว่างเรียนไปบ่นไปกับเลือกที่จะไม่เรียนแต่เขาก็จะไม่มีโอกาสได้บ่นหรือเลือกเส้นทางของตัวเองได้อีกเลย
เพราะจางเล่ยไม่ใช่นักศึกษาธรรมดาทั่วไปเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลถง การกระทำของเขาอาจส่งผลต่อรูปลักษณ์ชื่อเสียงของถงไค่เต๋อและชื่อเสียงของตระกูล ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้จางเล่ยนั้นรู้ดีกว่าใครๆ
อันที่จริงจี้เฟิงเองก็ไม่ชอบเรียนวิชาภาษาต่างประเทศแม้ว่าเขาจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาได้ยินภาษาต่างประเทศจี้เฟิงก็มีการปฏิเสธโดยสัญชาตญาณเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นชายหนุ่มหรือหญิงสาวที่มักจะพูดภาษาอังกฤษเวลาเดินตามท้องถนน มันทำให้เขารู้สึกขนลุกไปทั่วร่างกายและไม่เข้าใจว่าแค่ภาษาจีนนั้นมันไม่เพียงพอที่จะสื่อสารให้เข้าใจได้ชัดเจนพอ
“เจ้าบ้าเอากุญแจรถมาให้ฉันฉันจะขับไปเอง” เมื่อพูดถึงการขับรถดวงตาของจางเล่ยก็ฉายแววตื่นเต้นทันที มันช่างแตกต่างจากแววตาหดหู่ก่อนหน้านี้ของเขาอย่างสิ้นเชิง
จี้เฟิงโยนกุญแจรถไปให้จางเล่ยอย่างช่วยไม่ได้“ชอบขับรถขนาดนี้ทำไมนายไม่ซื้อไว้ขับเองซักคันล่ะ”
จางเล่ยเดินไปยังไปทิศทางที่รถจอดอยู่และหันกลับมาพูดว่า“นายคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนนายกันหมดหรือไง ทำอย่างกับไม่รู้ว่าเพื่อนซี้ของนายคนนี้มีค่าครองชีพแต่ละเดือนแทบจะไม่พอยาไส้ อย่าว่าแต่รถยนต์เลยแค่จักรยานซักคันก็ยังไม่มีปัญญา!”
จี้เฟิงและถงเล่ยหน้าเปลี่ยนสีทันทีเมื่อเห็นทิศทางที่จางเล่ยกำลังเดินไปมีหญิงสาวสี่ห้าคนที่พูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนานกำลังเดินสวนทางมายังทิศทางเดียวกับจางเล่ย
“ระวัง!”จี้เฟิงตะโกนและก่อนที่เสียงของเขาจะลดลงจางเล่ยก็วิ่งเข้าไปชนกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
“ว้าย!”
หญิงสาวคนหนึ่งร้องอุทานขึ้น “ไม่ได้พกลูกตามาหรือไงยะถึงได้เดินชนคนอื่นแบบนี้”
จางเล่ยขมวดคิ้วถึงแม้เขาไม่แน่ใจว่าตนเองจะเป็นฝ่ายผิดฝ่ายเดียวแต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิงเขาจึงเอ่ยขอโทษทันที “ต้องขอโทษที ฉันไม่ระวังเอง ขอโทษด้วย!”
“เหอะ!”
หญิงสาวอีกคนแค่นเสียง“มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆเหรอ ไม่ใช่ว่านายเห็นหยุนปิงเลยตั้งใจจะเดินมาชนเพราะอยากจะหาเรื่องคุยกับเธอหรอกเหรอ”
“หยุนปิงคือใคร”จางเล่ยขมวดคิ้วและถาม “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ขอโทษด้วยจริงๆ” ในขณะที่เขาพูด และกำลังจะเดินต่อไป เนื่องจากไม่มีความเสียหายใดๆเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย เขาจึงไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ตรงนี้มากเกินไป
“เป็นเรื่องแน่เลย”ถงเล่ยที่ยังอยู่ตรงศาลาขมวดคิ้วและพูดขึ้น
“หือ”จี้เฟิงตกใจเล็กน้อย “ทำไมถึงจะเป็นเรื่องล่ะ? เธอรู้จักผู้หญิงกลุ่มนั้นงั้นเหรอ?”
ก่อนที่ถงเล่ยจะตอบเธอและจี้เฟิงก็ได้ยินเสียงผู้หญิงโวยวาย “จะหนีไปง่ายๆแบบนี้น่ะเหรอ ฉันขอบอกนายไว้เลยนะว่าครั้งต่อไปถ้าต้องการจะเข้ามาคุยกับหยุนปิงก็ช่วยคิดเหตุผลที่ดีกว่านี้หน่อย และที่สำคัญอย่าลืมตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองด้วยนะว่าคู่ควรที่จะคุยกับคนอย่างหยุนปิงรึเปล่า ฉันไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าว่ามีคางคกบ้านนอกมาเกาะแกะหยุนปิงของเรา!”
จางเล่ยตกตะลึงเมื่อถูกต่อว่าอย่างหนักแต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาอึ้งอยู่พักใหญ่ๆ เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่า หยุนปิงคือใคร
เมื่อหายอึ้งจางเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆและส่ายหัวเล็กน้อยเขาคาดว่าหยุนปิงน่าจะเป็นชื่อของหญิงสาวที่เขาเดินชนเมื่อกี้ ฟังจากที่พวกเธอพูดแล้วดูเหมือนจะคิดว่าเขาตั้งใจที่จะเข้าหาเธอ… รสนิยมของเขามันต้องแย่ขนาดไหน
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่าจางเล่ยหัวเราะและส่ายหัวสาวๆกลุ่มนั้นก็โกรธขึ้นมาทันที
ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ“หยุด! ที่นายหัวเราะมันหมายความว่ายังไง นายดูถูกพวกเรางั้นเหรอ!”
“เปล่าๆ!”จางเล่ยส่ายหัวและยิ้ม “ฉันแค่หัวเราะความเซ่อซ่าของตัวเองที่ดันไปเดินชนโดยไม่ได้ตั้งใจ เอาล่ะ ลาก่อน!”
“ถ้าอยากจะไปก็ต้องขอโทษฉันก่อน”ผู้หญิงอีกคนพูดอย่างเย็นชา ไอรีนโนเวล
จางเล่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย“ฉันพูดไปแล้วไง แต่ถ้าเธอต้องการจะฟังอีกครั้งฉันจะพูดให้ก็ได้!”
“ด้วยสีหน้าท่าทางแบบนี้น่ะเหรอ!”คำพูดและท่าทางของจางเล่ยดูเหมือนจะไปแหย่รังแตนของหญิงสาวกลุ่มนี้เขาซะแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเธอจะยิ่งโกรธมากขึ้น
“เฮ้สาวๆมันต้องทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นด้วยเหรอ แค่อุบัติเหตุเดินชนกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำไมต้องใส่ใจขนาดนั้นด้วย?” จางเล่ยไม่มีความอดทนมากพอที่จะทะเลาะกับเด็กผู้หญิงเหล่านี้และพยายามจะตัดจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด และในขณะที่เขากำลังจะหันหลังเดินกลับไป
ในตอนนั้นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็หัวเราะเยาะ“ถ้านายกล้าที่จะเดินหนีไป ก่อนอาหารค่ำนักศึกษาของสหพันธ์มหาวิทยาลัยทั้งหมดจะรู้ว่าพี่ชายของถงเล่ยที่เรียนอยู่ภาควิชาภาษาต่างประเทศเป็นคนหยาบคายไร้เหตุผลและตั้งใจเข้าหาหยุนปิงด้วยวิธีต่ำๆพอไม่สำเร็จก็คิดจะหนีไปอย่างหน้าด้านๆ!”
ดวงตาของจางเล่ยแทบลุกเป็นไฟและใบหน้าของเขาก็ดำมืดขึ้นในทันทีสรุปว่ากลุ่มหญิงสาวเหล่านี้รู้จักเขาและถงเล่ยมาตั้งแต่แรก และที่พวกเธอไม่ยอมจบเรื่องเล็กๆนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง ในศาลาสีหน้าของจี้เฟิงก็ดำมืดไม่ต่างจากจางเล่ยเลยเขายืนอยู่บนที่สูงจึงมองเห็นได้ชัดกว่าจางเล่ย สาวๆกลุ่มนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นศูนย์กลางจริงๆ และผู้หญิงคนอื่นๆดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน
จี้เฟิงมองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางเธอมีหน้าตาที่สวยมากจริงๆถ้าเทียบกับผู้หญิงทั่วไป เรียกได้ว่าหากมองจากหน้าตาแล้วก็ทำให้ผู้ชายรู้สึกเจริญหูเจริญตาได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามหากนำมาเทียบกับถงเล่ยแล้วถือว่าแย่กว่ามากไม่เพียงแค่ความแตกต่างในรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความแตกต่างในด้านอารมณ์
ถงเล่ยสวยอย่างที่จะหาใครเทียบได้แต่จิตวิญญาณของเธอเต็มไปด้วยออร่าที่ไม่ต่างจากนางฟ้า แต่ผู้หญิงคนนี้กลับแสดงท่าทีเย่อหยิ่งราวกับว่าเธอเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าทุกๆคน ผู้หญิงสไตล์นี้เป็นแบบที่จี้เฟิงเกลียดมากที่สุด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้จี้เฟิงต้องขมวดคิ้วครุ่นคิดคำพูดของหญิงสาวคนนั้นทำไมดูเหมือนว่าจะพุ่งเป้าไปที่ถงเล่ย แสงเย็นวาบฉายชัดในดวงตาของเขา!
“เธอคนนี้ชื่อหยุนปิงเธอเป็นนักศึกษาภาควิชาภาษาต่างประเทศเหมือนกันเพียงแต่เธอไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนเดียวกับเรา” ถงเล่ยดูเหมือนจะรู้ว่าจี้เฟิงกำลังคิดอะไรอยู่เลยกระซิบข้างๆเขา “เธอเคยมาถามหาฉันอยู่เหมือนกัน ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้รู้จักกัน สายตาของเธอที่มองฉันมันแปลกมากแต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่!
“ผู้หญิงคนนั้นมาถามหาเธอเหรอ”ใบหน้าของจี้เฟิงเคร่งเครียดขึ้น “ทำไมไม่เห็นเธอเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง”
ถงเล่ยยิ้มอย่างนุ่มนวลและกล่าวเสียงเบา“มันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ เพราะหลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้ใส่ใจและก็ได้ลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ”
อันที่จริงถงเล่ยไม่ลืมด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่งเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเองของหยุนปิงไม่มีทางที่ถงเล่ยจะลืมได้ง่ายๆ แถมในตอนนั้นหยุนปิงยังมองถงเล่ยด้วยสายตาราวกับว่าตัวเธอเองเป็นเจ้าหญิงกำลังมองมายังขอทาน แต่เป็นขอทานที่สวยกว่าเธอ
มันเป็นสายตาที่ทั้งดูถูกเหยียดหยามและเกลียดชัง!
นี่เป็นความหมายที่ถงเล่ยอ่านได้จากสายตาของหยุนปิงในเวลานั้นถงเล่ยไม่เข้าใจว่าไปทำให้หยุนปิงโกรธเคืองตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตั้งแต่ที่เธอและหยุนปิงได้พบกันเพียงครั้งเดียวตั้งแต่วันแรกๆที่เธอมาที่มหาวิทยาลัย แม้ว่าพวกเธอจะอยู่ภาควิชาภาษาต่างประเทศเหมือนกันแต่ก็อยู่กันคนละชั้นเรียนนอกจากนี้ในตอนฝึกทหารพวกเธอก็ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันอีกด้วย
และนอกเหนือจากนี้ถงเล่ยและหยุนปิงก็ไม่เคยได้พบกันอีกเลยจนกระทั่งวันที่หยุนปิงมาตามหาถงเล่ย
แต่ถึงอย่างนั้นถงเล่ยยังรู้สึกถึงความเกลียดชังของหยุนปิงที่มีต่อเธอได้อย่างชัดเจนและยังแฝงไปด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามแม้ว่าถงเล่ยจะเป็นคนอ่อนโยนไม่ชอบที่จะมีปัญหากับใครแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบโกรธอยู่ในใจ ไม่มีใครที่ถูกมองด้วยสายตาดูถูกแบบนั้นแล้วยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้
อย่างไรก็ตามถงเล่ยไม่ได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้จี้เฟิงฟังเพราะเธอไม่ต้องการให้จี้เฟิงโกรธ และเธอก็ไม่อยากให้จี้เฟิงมีปัญหา
ถงเล่ยเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเธอสามารถมองออกได้โดยธรรมชาติว่าที่หยุนปิงสามารถมองเธอด้วยสายตาแบบนั้นได้แสดงว่าหยุนปิงจะต้องมีภูมิหลังที่ดีหรือบางทีอาจจะเป็นลูกหลานของตระกูลที่ใหญ่โตมาก
แล้วถ้าเรื่องเป็นแบบนี้ถงเล่ยจึงไม่อยากที่จะสร้างปัญหาให้กับจี้เฟิง