The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 213 ความเย็นชา
หลังจากนิ่งเงียบและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจี้เฟิงก็เข้าใจความคิดของถงเล่ย เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและบีบมือเล็กๆของถงเล่ยไว้แล้วพูดว่า “เด็กโง่! เพียงเพราะกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้กับฉัน เธอเลยไม่อยากจะเล่าเรื่องนี้สินะ เธอรู้หรือเปล่าว่ายิ่งเธอทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกทุกข์ใจมากยิ่งขึ้น”
“ใครบอก”ถงเล่ยยิ้มหวาน “ไม่ใช่ซักหน่อย!”
จี้เฟิงก้มพยักหน้าเล็กน้อยและพูดอย่างใจเย็น“ฉันรู้ก็แล้วกัน!”
แม้ว่าน้ำเสียงของจี้เฟิงจะสงบราบเรียบแต่มันก็ทำให้สีหน้าของถงเล่ยเปลี่ยนไปทันทีและพูดอย่างรีบร้อน “จี้เฟิง ยังไงก็แล้วตามฉันกับเธอไม่ได้รู้จักอะไรกันเป็นการส่วนตัว พวกเราอย่าไปสนใจเรื่องนี้เลย”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและชี้ไปที่จางเล่ยที่ตอนนี้สีหน้าของเขากลายเป็นจางเล่ยผู้ไม่ยอมใครง่ายๆและกำลังแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น“ยัยบ๊อง! พวกเราไม่สนใจไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่สนใจเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เล่ยซือกำลังมีปัญหา”
ดวงตาที่สวยงามของถงเล่ยไม่สามารถปกปิดร่องรอยแห่งความโกรธได้“ฉันไม่เคยทำให้หยุนปิงต้องขุ่นเคือง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเธอถึงได้เกลียดชังฉันนัก อย่างกับว่าเธอจะมีความสุขถ้าทำให้ฉันตาย!”
“มันต้องมีสาเหตุ!”เมื่อพอจะรู้สาเหตุของเหตุการณ์แล้วจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เอาเป็นว่าตอนนี้เรายังไม่ต้องคุยถึงเหตุผล มาดูกันดีกว่าว่าพี่ชายของเธอจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้”
จางเล่ยรู้สึกโกรธมากใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป
เขาไม่สนใจว่าตัวเขาจะต้องอับอายหรือจะต้องขอโทษอีกสักกี่ครั้งใบหน้าของเขาหนายิ่งกว่ากำแพงเมือง แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ผู้หญิงพวกนี้กลับพุ่งเป้าไปที่ถงเล่ย และนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทนได้
“จะบอกให้ทั้งมหาลัยรู้”จางเล่ยแค่นเสียงหัวเราะด้วยความโกรธและมองผู้หญิงเหล่านี้อย่างเย็นชา “เอาสิ ก็ดีเหมือนกัน เธอน่ะหยุนปิงใช่มั้ย? ต้องการอะไรล่ะ?”
หยุนปิงตะคอกอย่างเย็นชาใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและมองจางเล่ยด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างที่สุด “ฉันไม่ได้ต้องการอะไรมาก ฉันแค่อยากให้นายไปบอกกับน้องสาวที่เห็นแก่ตัวของนายให้จำใส่กะโหลกไว้ด้วยว่าที่นี่คือเจียงโจว ไม่ใช่สลัมบ้านนอกห่างไกลความเจริญ อย่าคิดว่าแกล้งทำตัวสูงส่งยั่วยวนผู้ชายไปทั่วแล้วจะหลงคิดว่าตัวเองเป็นนางฟ้าเข้าจริงๆ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างหล่อนคิดจะมาทำตัวเด่นเช็คเรตติ้งไปทั่วได้!”
“เชี่ยเอ้ย!!”
จางเล่ยคำรามในตอนนี้เขาเหมือนกับกระบอกดินปืนที่ติดไฟพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงทันที “นังสารเลว ถ้ากล้าพูดแบบเมื่อกี้ให้ฉันได้ยินอีกครั้ง ฉันจะทำให้คนอย่างเธอต้องเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกนี้!”
เมื่อผู้หญิงกลุ่มนี้เห็นสีหน้าและท่าทางที่น่ากลัวของจางเล่ยพวกเธอก็รีบพากันถอยห่างออกมาสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว
“นาย…นายจะทำอะไร!”ผู้หญิงคนหนึ่งกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว “ที่นี่มันมหาวิทยาลัยนะ นายรู้จักฮุ่ยหวงกรุ๊ปหรือเปล่า พ่อของหยุนปิงของพวกเราเป็นบอสใหญ่ของที่นี่ จางเล่ยถ้านายกล้าทำอะไรพวกเรานายจะต้องเสียใจกับผลที่ตามมา!”
“บอสใหญ่!”จางเล่ยยิ้มหยันอีกครั้ง “บอสใหญ่แล้วยังไง? เขาไม่ได้เป็นพ่อฉันนิ!”
จางเล่ยเดินเข้าไปหาหยุนปิงทีละก้าวพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่กำหมัดแน่น“ฉันอยากรู้ว่าผู้หญิงโง่ๆคนนี้สมองของเธอทำด้วยอะไรถึงได้พูดจาไม่ดูเหนือดูใต้แบบนี้! หรือสมองมีแต่เรื่องแย่ๆ!”
“พี่ชายหยุด!”
ในขณะนี้ถงเล่ยและจี้เฟิงได้เดินไปอย่างรวดเร็วและคว้าแขนของจางเล่ยไว้“พี่ชายอย่าหุนหันพลันแล่น”
จี้เฟิงมองไปที่หยุนปิงด้วยสายตาที่เย็นชาและเฉียบคมเป็นการจ้องมองที่เหมือนกับสามารถมองทะลุทะลวงไปถึงหัวใจได้ มันทำให้หยุนปิงไม่กล้าที่จะสบตาเลยแม้แต่น้อย
หยุนปิงรู้สึกหวาดกลัวกับสายตาของคนที่ต่ำต้อยกว่าเธอมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเลยจริงๆทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นและกรีดร้อง “นี่! มองอะไร นายเป็นแฟนของถงเล่ยสินะ ฮ่าๆ คู่รักชั้นต่ำ! อ๊ะ!”
“เพี๊ยะ!”
หญิงสาวคนอื่นๆรู้สึกเพียงแค่ว่ามีบางอย่างผ่านหน้าพวกเธอไปและในเวลาต่อมาเสียงอันแหลมเล็กของหยุนปิงก็หยุดลงทันที กว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้อง ร่างทั้งร่างของเธอก็ลอยออกไปกลางอากาศและล้มลงกับพื้นอย่างแรง
บนใบหน้าของหยุนปิงมีรอยฝ่ามือสีแดงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนภายในพริบตาใบหน้าที่สวยของเธอก็บวมแดงขึ้น
“โอ๊ย”หยุนปิงตกตะลึงกับการถูกตบครั้งนี้เธอรู้สึกวิงเวียนเหมือนจะเป็นลม เธอพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่เธอก็เจ็บปวดมากจนต้องนอนลงไปบนพื้นอีกครั้ง รสชาติฝาดๆที่อยู่ในปากของเธอทำให้เธอรู้สึกแย่จนทำให้เธอถ่มน้ำลายออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่มันไม่ได้มีเพียงน้ำลายมันเป็นเลือดที่มีฟันสองซี่อยู่ในนั้นด้วย!
ด้วยการตบเพียงครั้งเดียวจี้เฟิงทำให้ฟันของหยุนปิงหลุดออกมาสองซี่
อย่างไรก็ตามการจ้องมองของเขายังคงเย็นชาโดยไม่มีการผ่อนคลายลงเลยแม้แต่น้อยเขายังคงจ้องมองหยุนปิงที่ตอนนี้ล้มลงไปกับพื้น
“จี้เฟิงอย่าลงไม้ลงมือ!”ถงเล่ยเตือนสติ
“ชื่อของเธอคือหยุนปิงทำไมเธอถึงต้องพุ่งเป้าไปที่ถงเล่ย?” จี้เฟิงถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ท่าทางการพูดของเขาเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผยอย่างไม่ต้องสงสัย “ถ้าเธอยังไม่ตอบ แปลว่าเธอไม่อยากเก็บฟันอีกข้างหนึ่งไว้สินะ!”
“นายกล้าทำร้ายผู้หญิง..แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย!” เพื่อนของหยุนปิงมีอาการตอบสนองในที่สุดหลังจากตกตะลึงไปพักใหญ่ จากนั้นก็ตะโกนขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วยค่ะ ตรงนี้มีอันธพาลมาทำร้ายร่างกายหยุนปิง!”
“พูด!”จี้เฟิงไม่สนใจผู้หญิงที่ตะโกนเขายังคงจ้องไปที่หยุนปิงอย่างเย็นชา
“เฮ้!พวกคุณเกิดอะไรขึ้น มีปัญหาอะไร ทำไมถึงทะเลาะกัน!” ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น จาก จากนั้นก็มีเด็กหนุ่มตัวสูงสองสามคนวิ่งเข้ามา และผู้ชายที่เป็นหัวหน้าก็ถามด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
ทันทีที่เธอเห็นคนเหล่านี้ดวงตาของหยุนปิงก็เปล่งประกายด้วยความดีใจและในขณะที่เธอกำลังจะพูดเธอก็ต้องตกใจกลัวกับการตะคอกของจี้เฟิง
“พูด!”จี้เฟิงตะโกนอย่างเย็นชาโดยที่ไม่มองไปยังกลุ่มเด็กผู้ชายที่เพิ่งวิ่งเข้ามา “อย่าให้ฉันต้องถามย้ำเป็นครั้งที่สี่ ไม่เช่นนั้นเธอก็อย่าคิดว่าจะได้มีชีวิตรอดออกไปจากตรงนี้!”
ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาแข็งทื่อทันทีไม่มีใครสงสัยคำพูดของจี้เฟิง เพราะกลิ่นอายที่น่าเกรงขามของจี้เฟิงทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นแน่ๆ ถ้าหยุนปิงไม่พูด จี้เฟิงอาจจะลงมือฆ่าเธอจริงๆก็ได้!
“ฉัน…ฉันฮืออ~” หยุนปิงเริ่มร้องไห้ด้วยกลิ่นอายที่น่ากลัวของจี้เฟิง
“ในเมื่อเธอไม่ต้องการที่จะพูดงั้นก็ไม่ต้องพูดอีกเลย!” จี้เฟิงหัวเราะเยาะและทันใดนั้นก็ก้าวไปข้างหน้ายกเท้าขึ้นสูงและเตะไปที่ลำคอของหยุนปิง
ทุกคนตกใจทันทีผู้ชายคนนี้โหดร้ายมากเขาจะฆ่าถ้าเขาบอกว่าจะฆ่า!
ผู้ชายคนหนึ่งสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีและเขาก็ยื่นขาไปเตะกลับอย่างรวดเร็ว
“เปรี้ยง!”
ขาของจี้เฟิงกระแทกเข้ากับขาของผู้ชายคนนั้นอย่างเต็มแรงและในช่วงเวลาถัดมาเพียงเสี้ยววิก็ได้ยินเสียง“กร๊อบ!” จากขาของผู้ชายที่ยื่นเข้ามาขวางและขาของผู้ชายก็กระเด็นออกไป
“อึ้ก!อ๊ากก!” ชายคนนั้นส่งเสียงร้องอู้อี้จากนั้นก็กรีดร้องและล้มลงกับพื้น
อย่างไรก็ตามการกระทำของผู้ชายคนนี้ก็ทำให้ความต้องการเดิมของจี้เฟิงไม่สำเร็จซึ่งถือได้ว่าเป็นการช่วยชีวิตหยุนปิง
ถงเล่ยรีบคว้าแขนจี้เฟิงและพูดด้วยความตกใจ“จี้เฟิง อย่าทำแบบนี้! พอได้แล้ว!”
จี้เฟิงยังคงมองไปที่หยุนปิงด้วยสายตาที่ดุร้ายและเย็นเยียบ“เป็นโชคดีของเธอ ที่ถงเล่ยขอร้อง”
ด้วยคำพูดสั้นๆของเขามันถึงกับทำให้ทุกคนหนาวสั่นและหน้าชาการแสดงออกที่สงบนิ่งของจี้เฟิงทำให้ทุกคนไม่กล้าสบตาเขาด้วยซ้ำ พวกเขารู้ว่าคนที่สามารถทำให้ขาของคนอื่นหักและกระเด็นออกด้วยการเตะเพียงครั้งเดียวและตบคนคนหนึ่งจนลอยไปในอากาศ ต้องเป็นคนที่บ้ามากหรือไม่ก็เป็นคนที่เคยชินกับความเป็นความตายและไม่เห็นค่าชีวิตของคนอื่นอยู่ในสายตา
เห็นได้ชัดว่าจี้เฟิงไม่ใช่คนบ้าดังนั้นความเป็นไปได้จึงมีเพียงอย่างหลังเท่านั้น!
“ผู้ชายคนนี้เป็นนักศึกษาจริงๆหรือ”ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสยองขวัญ
“คุณพยายามที่จะหยุดฉันจนขาของคุณหักแต่เป็นเพราะเจตนาดีของคุณที่ต้องการจะช่วยชีวิตคนอื่น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่เอาเป็นว่าฉันผิดที่ทำขาของคุณหัก” จี้เฟิงมองไปยังคนที่หยุดเขาจากนั้นก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา “นี่เงินห้าพันหยวน คุณไปหาหมอก่อนแล้วกัน อีกอย่างนี่เบอร์ของฉัน ถ้าค่ารักษาเกินจากนี้ คุณก็โทรหาฉัน ฉันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด”
หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มให้จางเล่ยและถงเล่ย“ป่ะ เราไปดูบ้านกันเถอะ!”
“เดี๋ยวก่อน!”ทันใดนั้นผู้ชายที่เป็นผู้นำก็ตะโกนขึ้น
จี้เฟิงขมวดคิ้วและหันไปจ้องผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายที่เป็นผู้นำกัดฟันและพูดว่า“พวกเรามาจากทีมรักษาความปลอดภัยของสหภาพนักศึกษาการกระทำของคุณละเมิดกฎของมหาวิทยาลัยและถึงขั้นละเมิดกฎหมายด้วยซ้ำ พวกเราไม่สามารถปล่อยคุณไปแบบนี้ได้!”
จี้เฟิงยิ้มจางๆ“แล้วคุณต้องการอะไรล่ะ”
“คุณต้องไปที่แผนกรักษาความปลอดภัยกับฉันและอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนแล้วทางมหาวิทยาลัยจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม”ผู้ชายที่เป็นผู้นำกล่าว
“แล้วถ้าฉันไม่ไปล่ะ”ใบหน้าของจี้เฟิงดำมืดลง และถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าไม่ได้คาดหวังว่าจี้เฟิงตอบกลับมาเช่นนี้และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกหายใจไม่ออก นั่นน่ะสิ! ถ้าจี้เฟิงไม่ไปเขาจะทำอะไรได้
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของผู้สังเกตการณ์โดยรอบต่างก็จ้องมองมาที่เขาเขาก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันและพูดว่า “นักศึกษาคนนี้ ถ้าคุณไปที่แผนกรักษาความปลอดภัยในตอนนี้ คุณก็แค่อธิบายเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น มันจะเป็นเพียงแค่การพูดคุยและจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง และมันก็จะอยู่ภายใต้กฎของทางมหาวิทยาลัยเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากคุณไม่ไปทางเราสามารถโทรแจ้งตำรวจและคุณก็คงต้องไปอธิบายเรื่องนี้กับตำรวจเอาเอง และมันคงจะวุ่นวายกว่ามากหากเรื่องนี้ถึงตำรวจ”
จี้เฟิงมองเขาอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย“โอเคฉันจะไปกับคุณ” ไอลีนโนเวล
นักศึกษาคนที่เข้ามาขัดขวางจี้เฟิงจนขาหักถูกอุ้มไปที่สถานพยาบาลของมหาวิทยาลัยแม้จะเป็นสถานพยาบาลระดับมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ใช่เล็กๆ มันเป็นสถานพยาบาลขนาดกลาง มีนักศึกษาจำนวนหลายหมื่นคนในสหพันธ์มหาวิทยาลัยหากไม่มีสถานพยาบาลและแพทย์พยาบาลเพียงพอก็คงจะยุ่งมากแน่ๆ
ดังนั้นตราบเท่าที่การผ่าตัดไม่ยากเกินไปก็สามารถทำได้โดยสถานพยาบาลของมหาวิทยาลัยและการผ่าตัดรักษากระดูกก็น่าจะอยู่ในขอบข่ายของการผ่าตัดธรรมดา
ในเวลานี้นักเรียนหญิงทุกคนต่างล้อมหยุนปิงทีละคนและช่วยพาเธอไปที่แผนกรักษาความปลอดภัยพร้อมกับเจ้าหน้าที่
ถงเล่ยและจี้เฟิงเดินเคียงข้างกันในขณะที่จางเล่ยเดินตามหลังด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดเมื่อเห็นที่จี้เฟิงตบหยุนปิงด้วยความรุนแรงมันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่หยุนปิงดูถูกถงเล่ยเขาก็อดไม่ได้ที่อยากจะตบผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งด้วยตัวเขาเองอีก
แผนกรักษาความปลอดภัยของสหพันธ์มหาวิทยาลัยแยกออกจากห้องรักษาการณ์เพียงกำแพงกั้นเท่านั้น
แผนกรักษาความปลอดภัยเป็นหน่วยงานรักษาความปลอดภัยภายในของสหพันธ์มหาวิทยาลัยส่วนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ในห้องรักษาการณ์และยามประตูเป็นบุคลากรจากภายนอกที่ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สหภาพนักศึกษา เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของมหาวิทยาลัย
ในทางกลับกันที่ห้องรักษาการณ์เป็นเหมือนกับสถานีตำรวจขนาดเล็กและมีสาขาของสำนักงานย่อยของเขตพัฒนาเศรษฐกินตั้งอยู่ที่นี่มันถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อปกป้องนักเรียนนักศึกษาจากบุคคลภายนอก
ฝ่ายรักษาความปลอดภัยทั้งในและนอกร่วมกันรักษากฎระเบียบและกฎหมายซึ่งทำให้ความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยนั้นดีมาก รูปแบบความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและตำรวจนี้นั้นมีอยู่ทั่วไปในมหาวิทยาลัยอื่นๆ
(เจ้าหน้าที่สหภาพนักศึกษา= บุคลากรภายใน = อยู่ที่แผนกรักษาความปลอดภัย)
(เจ้าหน้าที่ตำรวจ= บุคลากรภายนอก = อยู่ที่ห้องรักษาการณ์)
ผู้ชายจากทีมรักษาความปลอดภัยพาจี้เฟิงและคนอื่นๆไปที่แผนกรักษาความปลอดภัยและพูดว่า“ฉันขอแนะนำตัวเอง ฉันเป็นรองกัปตันทีมรักษาความปลอดภัยฉันชื่อ โจวลี่ คุณสองคนช่วยเล่าเหตุการณ์ให้ฉันฟังหน่อย”
จากนั้นเขาก็บอกให้จี้เฟิงและคนอื่นๆนั่งแยกกันและเรียกผู้คุมอีกสองสามคนมาช่วยดูแลและบันทึก ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เฝ้าระวังจี้เฟิงเอาไว้ด้วย เพราะแม้แต่พระเจ้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะลุกขึ้นมาทำร้ายผู้คนด้วยความรุนแรงอีกหรือเปล่า โจวลี่ได้เห็นฝีมือของจี้เฟิงแล้ว ความสามารถของเขาที่สามารถหักขาของใครบางคนได้ด้วยการเตะเพียงครั้งเดียว ไม่รู้ว่าขาของเขาทำจากเหล็กหรือเปล่า
นอกจากนี้เมื่อมองไปที่ท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจของจี้เฟิงในเวลานี้มันน่ากลัวมากแค่การทะเลาะกันของนักศึกษาธรรมดาๆทำไมเขาถึงต้องโหดร้ายขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน
“เรามาคุยรายละเอียดกันดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น”โจวลี่นั่งลงและถามทันที
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเป็นแค่แผนกรักษาความปลอดภัยแต่กลับมาสอบสวนเหมือนตำรวจสอบสวนนักโทษได้อย่างไร
ใครจะรู้ก่อนที่จี้เฟิงจะเอ่ยปากพูด หยุนปิงก็พูดด้วยแก้มที่บวมอยู่ว่า “มันไม่มีอะไรมากหรอก มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยจากการเดินชนกันก็เท่านั้น”
เมื่อประโยคนี้ออกมาไม่เพียงแค่คนทางฝั่งจี้เฟิงจะรู้สึกประหลาดใจแม้แต่เพื่อนสาวของหยุนปิงเองก็ประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน ในความรู้ความเข้าใจของพวกเธอหยุนปิงไม่เคยยอมใครง่ายๆแบบนี้ ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องขึ้นหลังจากที่ถูกจางเล่ยเดินชน
และเนื่องจากพวกเขาทุกคนต่างก็รู้เรื่องราวทั้งหมดมาตั้งแต่ตนพวกเขาจึงงุนงงมากเกี่ยวกับการตัดสินใจตอบออกมาแบบนี้ของหยุนปิง
หยุนปิงอิจฉารูปร่างหน้าตาของถงเล่ยมาโดยตลอดและเนื่องจากเด็กผู้ชายคนหนึ่งจึงทำให้หยุนปิงยิ่งเกลียดถงเล่ยเข้ากระดูกดำและมักจะพูดต่อหน้าเพื่อนร่วมห้องเหล่านี้ และเพื่อนร่วมห้องเหล่านี้ต้องการที่จะสนับสนุนและเข้าข้างหยุนปิง จึงทำมีเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้น
“หยุนปิงทำไม…จะไปช่วยพูดให้พวกนั้นทำไม!” หญิงสาวคนหนึ่งกระซิบ ในความคิดของเธอ เธอคิดว่าหยุนปิงนั้นยังหวาดกลัวกับการตบของจี้เฟิง
อย่างไรก็ตามหยุนปิงส่ายหัวอย่างแน่วแน่และกล่าวว่า“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันรู้ตัวดีว่าฉันกำลังทำอะไร”
คนอื่นๆหยุดพูดทันทีพวกเขาไม่กล้าที่จะมองข้ามความหมายในคำพูดของหยุนปิง
“แล้วคุณล่ะมีอะไรจะบอกผมนอกเหนือจากนี้หรือเปล่า” โจวลี่มองไปที่จี้เฟิง “สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงหรือไม่”
แม้ว่าจี้เฟิงจะไม่รู้ว่าหยุนปิงวางแผนอะไรไว้แต่เขาไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ เขาจึงพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่ตอนนี้โอเคแล้ว”
เมื่อเห็นแบบนี้แล้วโจวลี่ทำได้แค่เพียงส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่นเนื่องจากทั้งสองฝ่ายบอกว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดและไม่คิดที่จะติดตามเอาความอีกต่อไป แล้วเขาจะยืนกรานสืบสวนเอาความสอบสวนต่อไปได้อย่างไร เพราะสุดท้ายแล้วความคิดเห็นของทั้งสองฝ่ายก็สำคัญที่สุดเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำรงอยู่ของทีมรักษาความปลอดภัยของสหภาพนักศึกษาคือการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในมหาวิทยาลัยไม่ใช่การทวงคืนความยุติธรรมหรือทวงความรับผิดชอบกับนักเรียนคนใด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนก็สามารถกลับไปได้แต่จำกันไว้ด้วยว่าอย่าสร้างปัญหาอีกไม่เช่นนั้นพวกคุณได้กลับมาอีกครั้งแน่ แต่ครั้งหน้ามันจะไม่ใช่ที่นี่แต่เป็นห้องรักษาการณ์ข้างๆ!” โจวลี่เตือนอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็หันไปพูดกับจี้เฟิงทันทีว่า “หนึ่งในสมาชิกของเราได้รับบาดเจ็บเพราะคุณ แม้ว่าจะได้เป็นการได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ แต่คุณก็ยังต้องรับผิดชอบ คุณมีแผนจะรับผิดชอบอย่างไรในส่วนนี้”
จี้เฟิงถามกลับ“ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดผมจะเป็นคนจ่ายให้ แค่นั้นยังไม่พอเหรอ”
“เอาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรนักศึกษาเป็นหลักประกันไว้ที่นี่พวกเราจะเก็บข้อมูลติดต่อของคุณไว้!”โจวลี่พูดได้เพียงเท่านี้ เพราะถึงแม้ว่าคนของฝ่ายเขาจะได้รับบาดเจ็บแต่จี้เฟิงก็เต็มใจที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เพราะโดยปกติแล้วจี้เฟิงไม่ต้องรับผิดชอบใดๆเลยก็ได้ เพราะเรื่องไม่ได้เกิดขึ้นโดยเจตนา
“จะยึดบัตรประจำตัว”จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและวางบัตรประจำตัวนักศึกษาลงบนโต๊ะ
เมื่อเขาเดินออกจากห้องรักษาความปลอดภัยรอยยิ้มบนใบหน้าของจี้เฟิงก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยสิ่งต่างๆที่เกิดในวันนี้มันแปลกมาก ทำไมหยุนปิงถึงได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับถงเล่ย