The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 221 เฉียวเจียไคผู้เหิมเกริม!
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 221 เฉียวเจียไคผู้เหิมเกริม!
ในห้องโถงชั้น2 ของหลินจิงคลับเฮ้าส์ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เฉียวเจียไค วันนี้เขาคือบุคคลที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับเขา จากนั้นพวกเขาก็จะถูกอัพเกรดในวงสังคมของชนชั้นสูง ส่วนคนที่มีลูกสาวต่างก็หวังว่าลูกสาวของพวกเขาจะเข้าตาเฉียวเจียไค แม้ว่าเธอจะได้เป็นแค่คนรักลับๆของเขา แต่เพียงแค่นั้นสถานะและหน้าตาทางสังคมของพวกเธอก็เหนือกว่าคนธรรมดาจนไม่อาจนำมาเทียบกันได้ และมันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อตนเองและครอบครัว
ดังนั้นไม่ว่าเฉียวเจียไคจะเดินไปทางไหนสายตาของทุกคนก็เคลื่อนย้ายตามการเคลื่อนไหวของเฉียวเจียไคไปทุกที่ และในที่สุดเฉียวเจียไคก็หยุด และทุกคนก็มองเห็นชายหนุ่มสามคนกำลังยืนด้วยท่าทีสบายๆ ใบหน้าสงบนิ่ง
“นั่นเขานี่!”
ทุกคนต่างอุทานขึ้นในใจในทีแรกพวกเขากำลังคิดกันอยู่ว่าใครในงานเลี้ยงนี้จะควรค่าพอที่จะทำให้เฉียวเจียไคหยุดและพูดคุยด้วยได้ ปรากฏว่าเป็นลูกชายของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาล!
ในฐานะคุณชายอันดับหนึ่งของเจียงโจวคนส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานเลี้ยงต่างรู้จักจี้ช่าวเหลย แม้ว่าจะมีบางคนที่ไม่เคยพบเขา แต่คนรอบข้างก็อธิบายให้เพื่อนของเขาฟังทันที แม้ว่าเฉียวเจียไคจะเป็นบุคคลที่มีความสำคัญที่คุ้มค่าพอที่จะให้พวกเขาประจบสอพลอ แต่สถานะของจี้ช่าวเหลยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉียวเจียไคเลย
นอกจากนี้ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพพื้นที่หนึ่งในสามของเจียงโจว คำพูดของจี้ช่าวเหลยอาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าของเฉียวเจียไคด้วยซ้ำ
ถ้าเฉียวเจียไคไม่อยู่ที่นี่คนที่จะเป็นจุดสนใจในงานเลี้ยงคงไม่พ้นจี้ช่าวเหลยอย่างแน่นอน
แม้ว่าพวกเขาหลายคนในที่นี้จะเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบเสเพลแต่ก็มีหลายคนที่เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและมีสมองมากพอ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงและเป็นบุคคลสำคัญในด้านใดด้านหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีใครโง่พอที่จะล่วงเกินจี้ช่าวเหลยเพราะต้องการจะเอาใจเฉียวเจียไค
มีคำกล่าวที่ว่า‘ผู้พิพากษายังไม่ดีเท่าคนบริหารท้องถิ่น’ แน่นอนว่าตัวตนของเฉียวเจียไคมีความสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่อย่างไรก็ตามจี้ช่าวเหลยเป็นคนที่มีอำนาจถึงหนึ่งในสามของพื้นที่ในเจียงโจว หากเขาต้องการที่จะจัดการกับใครก็ตาม เกรงว่าแม้แต่เฉียวเจียไคก็ไม่อาจที่จะหยุดเขาได้ แล้วเหตุใดคนอื่นๆถึงจะต้องเอาตัวเองเขาไปเสี่ยงด้วยล่ะ
ดังนั้นเมื่อคนเหล่านี้เห็นจี้ช่าวเหลยพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันทันที หลายคนมีความคิดที่จะเข้าหาจี้ช่าวเหลยและชวนดื่มเพื่อสร้างมิตรภาพ แม้พวกเขาจะไม่สามารถเข้าหาเฉียวเจียไคได้ แต่ถ้าหากพวกเขาได้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับจี้ช่าวเหลย คงเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก
แต่เมื่อพวกเขาเห็นเฉียวเจียไคยืนอยู่ตรงหน้าจี้ช่าวเหลยสิ่งที่พวกเขาคิดไว้ทั้งหมดก็ต้องมลายหายไป ตอนนี้เป็นการเจรจาระหว่างเจ้าชายทั้งสอง พวกเขาไม่กล้าพอที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ไม่เช่นนั้นหากไปทำให้ใครคนใดคนหนึ่งรำคาญใจ ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถจ่ายได้
อย่างไรก็ตามบทสนทนาระหว่างเจ้าชายทั้งสองดึงดูดความสนใจได้เสมอผู้คนส่วนใหญ่ส่งเสียงแหลมแสร้งทำเป็นพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่น ๆ แต่ในความเป็นจริงจิตใจของพวกเขาได้ไปถึงเจ้าชายทั้งสองแล้วและตอนนี้พวกเขาก็อยากจะวิ่งตามสองคนนั้นด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ไม่อยากจะให้ความสนใจเพราะไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือข้อมูลทุกประเภทของเจ้าชายทั้งสองก็ไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะสามารถเทียบได้ หากพวกเขาได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพียงเล็กน้อยจากบทสนทนาของเจ้าชายทั้งสองก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขารู้สึกหมดแรง
“พี่ช่าวเหลยตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันมันก็นานมากแล้ว” เฉียวเจียไคยืนอยู่ตรงหน้าจี้ช่าวเหลย แสดงรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าที่ค่อนข้างแข็งทื่อของเขาและยื่นมือซ้ายออกไปทางจี้ช่าวเหลย “ตั้งแต่ฉันไปที่กองทัพเมื่อสามปีที่แล้ว ฉันก็ไม่ได้เจอพี่ช่าวเหลยอีกเลย แต่พี่เหมือนจะดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ”
จี้ช่าวเหลยยิ้มเล็กน้อยและยื่นมือขวาออกไปตรงด้านหน้าของเฉียวเจียไคและไม่ได้ขยับอีก“น้องเฉียวก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเมื่อก่อนมาก อย่างไรก็ตามน้องชายเฉียวมาที่เจียงโจวทั้งที ฉันในฐานะเจ้าบ้าน ฉันควรจะต้อนรับน้องเฉียวให้ดี แต่น้องเฉียวกลับไม่ให้โอกาสฉันเลย ฉันนี่เป็นเจ้าบ้านที่แย่จริงๆ!”
เฉียวเจียไคเหลือบมองเล็กน้อยและหัวเราะทันที“พี่ชายอย่าพูดอย่างนั้นเลย ฉันแค่กลัวว่าเงินกงสีจะไม่ยอมให้มาใช้จ่ายอะไรกับเรื่องแบบนี้ ฉันเลยไม่ได้แจ้งพี่ช่าวเหลยแต่แรก อย่าคิดว่าเป็นความผิดของพี่เลย!”
“เรื่องเงินเรื่องเล็กเพื่อเลี้ยงดูน้องเฉียวแล้ว ฉันจะควักเงินส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ!” จี้ช่าวเหลยหัวเราะพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นชนกับเฉียวเจียไค ในดวงตาของทั้งสองต่างแฝงไปด้วยความหมายบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
จี้เฟิงที่อยู่ข้างๆคอยฟังอย่างสนุกสนานพี่รองของเขาและเฉียวเจียไคพูดกันเพียงไม่กี่คำแต่มันก็สามารถทำให้เกิดประกายไฟขึ้นได้ในทุกประโยค จากที่จี้เฟิงสังเกตดูเหมือนว่าเฉียวเจียไคจะถนัดซ้าย เพราะเขาได้ยื่นมือซ้ายออกมาในตอนแรกเพื่อทักทายพี่รองของเขา
อย่างไรก็ตามจี้ช่าวเหลยได้ยื่นมือขวาออกไปแทนมันเป็นการบอกอย่างชัดเจนว่าเขาคือผู้ที่กำหนดในเรื่องนี้ และเฉียวเจียไคจะต้องเป็นฝ่ายปฏิบัติตามกฎของจี้ช่าวเหลยอย่างช่วยไม่ได้ เพราะการกระทำนี้ได้แสดงให้รู้แล้วว่า เจียงโจวเป็นถิ่นของใคร! และในเมื่อเฉียวเจียไคเป็นเพียงผู้มาเยือนก็อย่าได้คิดที่จะฝ่าฝืน!
ในขณะเดียวกันจี้ช่าวเหลยพูดคุยในลักษณะวางตัวให้เฉียวเจียไคอยู่ในฐานะน้องได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่ว่าอีกฝ่ายอยากจะหักล้างข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อย่างไรก็ไม่สามารถทำได้
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพิ่งจะเริ่มคุยกันไปเพียงไม่กี่ประโยคแต่ก็ดูเหมือนคนที่คุ้นเคยสนิทสนมกันดีราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีการปะทะกันทางวาจาเช่นนี้แม้มันจะน่าเบื่อแต่ก็เป็นวิธีที่ใช้กันโดยทั่วไปในวงสังคม อีกทั้งความขัดแย้งทางผลประโยชน์มากมายยังสามารถใช้การปะทะแบบนี้เพื่อเอาผลแพ้ชนะได้
จี้เฟิงรู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะคิดเรื่องการไม่พึ่งพาพลังของตระกูลมากแค่ไหน แต่ยังไงเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลจี้อยู่ดี รวมถึงในสายตาของคนอื่นๆเขาก็ยังเป็นคนของตระกูลจี้ ดังนั้นการที่เขาจะได้เข้ามาอยู่ในแวดวงสังคมเช่นนี้บ้างบางครั้งจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และมันก็ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆหากเขาจะเรียนรู้เพิ่มเติมเล็กน้อยเกี่ยวกับการปั้นหน้าและการใช้วาจาในด้านนี้
ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่ได้พูดคุยอะไรมากนักแต่ใช้สมาธิไปกับการสังเกตการกระทำของจี้ช่าวเหลยและเฉียวเจียไคอย่างละเอียดและเพื่อเรียนรู้การเผชิญหน้าทางวาจาและไหวพริบของพวกเขา
ในเวลาเดียวกันสายตาของจี้เฟิงก็ย้ายตำแหน่งไปบ้างบางครั้งบางคราวเขาก็เหลือบมองไปยังคนทั้งสี่ที่อยู่รอบตัวของเฉียวเจียไค ทั้งสี่คนนี้ควรค่าแก่ความสนใจของจี้เฟิงมากกว่า เพราะพวกเขาทำให้จี้เฟิงรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง
“ทั้งสี่คนนี้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้อย่างแน่นอน!”จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เฉียวเจียไคมาจากหน่วยรบพิเศษและทักษะการต่อสู้ของเขาก็ดีมากอยู่แล้ว แต่จี้เฟิงสัมผัสได้ว่าสี่คนนี้กลับมีพลังมากกว่าเฉียวเจียไคอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมันทำให้จี้เฟิงรู้สึกตื่นตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจยอดฝีมือทั้งสี่คนนี้เป็นใครและพวกเขามาจากไหนกัน
ในตอนนั้นเองไม่รู้ว่าเฉียเจียไคและจี้ช่าวเหลยพูดคุยอะไรกัน เพราะอยู่ดีๆสีหน้าของจี้ช่าวเหลยก็เปลี่ยนไปและมีแสงเย็บวาบวูบไหวในดวงตาของเขา เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเฉียวเจียไคทำให้จี้ช่าวเหลยรู้สึกไม่พอใจ ไอรีนโนเวล
จี้เฟิงกลับมามองพวกเขาทั้งสองทันทีและเห็นว่าเฉียเจียไคกำลังโน้มศีรษะเข้าไปใกล้จี้ช่าวเหลยและกระซิบอะไรบางอย่างด้วยเสียงต่ำซึ่งมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน แต่ก็ไม่สามารถปิดกั้นจี้เฟิงได้ มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาหากต้องการจะฟัง เพราะเขาคือผู้ที่มีการรับรู้ที่ดีเยี่ยม
“พี่ชายช่าวเหลยค่าใช้จ่ายในการสร้างความบันเทิงให้ฉันมันไม่น้อยเลย ฉันเกรงว่าพี่ชายจะจ่ายไม่ไหว” เฉียวเจียไคโน้มตัวไปทางจี้ช่าวเหลยโดยใช้เสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นได้ยิน เขาหัวเราะและพูดต่อว่า “พี่ชาย ฉันคิดว่าพี่คงจะรู้นะว่า หากต้องการจะต้อนรับฉันให้ดี ก็แค่หาคู่ซ้อมที่ยอดเยี่ยมให้ฉัน แต่ช่างน่าเสียดายที่ครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน เรื่องมันดันจบตั้งแต่ฉันเพิ่งจะเคลื่อนไหวได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น พี่ช่าวเหลยก็ทนไม่ไหวซะแล้ว ช่างน่าผิดหวังจริงๆ!”
ดวงตาของจี้ช่าวเหลยหรี่ลงอย่างน่ากลัวแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เฉียวเจียไคยิ้มมุมปากและพูดต่อ“พูดกันตามตรง ฉันสามารถเอาชนะคุณได้ด้วยมือข้างเดียวด้วยซ้ำ ตราบใดที่ฉันต้องการฉันสามารถทำให้คุณพิการได้ตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าถ้าจะให้เปรียบเทียบพลังด้านอื่นๆระหว่างฉันกับคุณ อย่างเช่นการพึ่งพาอำนาจของพ่อหรือของตระกูล ฉันคงจะสู้คุณไมได้ แต่น่าเสียดายที่ปู่ของคุณดันเป็นหนี้ตระกูลพวกเรา และด้วยคำสั่งของเขา พี่ช่าวเหลยเลยไม่สามารถทำอะไรฉันได้นอกจากจะต่อสู้ด้วยหมัดรุ่นๆกับฉันเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้อยู่ดี~ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ….”
ในตอนท้ายของประโยคน้ำเสียงของเฉียวเจียวไคเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยถากถางและเสียงหัวเราะที่ดังออกมาก็ดูมีความสุขมากจนคนทั้งห้องโถงไม่ต้องแอบฟังก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ใบหน้าของจี้ช่าวเหลยดูมืดมนมากในตอนนี้เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนที่งานเลี้ยงในหยานจิง เฉียวเจียไคอายุเพียง 20 ปี แต่เขาต้องการเรียนรู้จากจี้ช่าวเหลย ในเวลานั้นจี้ช่าวเหลยกำลังฝึกฝนกับจี้เจิ้นผิงอาของเขามันเป็นทักษะการต่อสู้ทางการทหาร จึงไม่แปลกที่เขาจะยอมตกลงเป็นคู่ซ้อมให้กับเฉียวเจียไค
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาและเฉียวเจียไคต่อสู้กันเฉียวเจียไคต่อยเข้าไปที่ชายโครงของจี้ช่าวเหลยจนหักและโยนเขาต่อหน้าผู้มาร่วมงานเลี้ยงทุกคน อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวในหยานจิงในฐานะผู้ใหญ่ แต่เขากลับถูกเฉียวเจียไคทำให้อับอาย
ทุกครั้งที่จี้ช่าวเหลยนึกถึงเรื่องนี้เขาก็อยากจะสั่งสอนเฉียวเจียไคให้สาสมกับความโกรธแค้น การต่อสู้ระหว่างลูกหลานของตระกูลชนชั้นสูงเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นการส่งตัวแทนของแต่ละฝ่ายเพื่อดูว่าใครจะเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งและมีอำนาจมากกว่ากัน หรือก็คือการส่งลูกมือของพวกเขาลงไป ในบรรดาลูกหลานตระกูลใหญ่เหล่านี้มีน้อยคนนักที่จะลงมือด้วยตัวเอง
แต่เฉียวเจียไคเป็นข้อยกเว้นเขาชอบที่จะทำมันด้วยตัวเอง และก็จะทำต่อเมื่อเป้าหมายเป็นจี้ช่าวเหลยโดยเฉพาะเท่านั้น
ความอัปยศอดสูนี้จี้ช่าวเหลยไม่อาจทนได้แต่เนื่องจากคำสั่งของคุณปู่ของเขา เขาจึงไม่สามารถทำอะไรเฉียวเจียไคด้วยวิธีอื่นได้เลย อย่างไรก็ตามคุณปู่ของเขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า การต่อสู้ระหว่างลูกผู้ชายเป็นเรื่องที่ไม่ผิด สามารถทำได้!
จี้ช่าวเหลยจึงทำได้แค่เพียงกักเก็บความโกรธแค้นนี้ไว้ในใจแต่หลังจากที่เฉียวเจียไครู้เรื่องนี้ เขากลับยิ่งทำตัวหน้าด้านไร้ยางอาย
หลังจากนั้นไม่นานพ่อของจี้ช่าวเหลยได้ตำแหน่งที่เจียงโจว เขาและครอบครัวจึงย้ายจากหยานจิงไปอยู่ที่เจียงโจวและในตอนนั้นเองจี้ช่าวเหลยก็เริ่มทำธุรกิจของตัวเองอย่างจริงจัง
แต่ในตอนนี้จี้ช่าวเหลยกำลังตกอยู่ในความโกรธอดีตที่เรียกได้ว่าเป็นความอัปยศอดสูของเขากลับถูกเฉียวเจียไคพูดถึงขึ้นมาอีกครั้ง แล้วมันจะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามจี้ช่าวเหลยรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองเขาข่มความโกรธไว้ในใจและใบหน้าที่มืดมนของเขาก็ค่อยๆปรากฏรอยยิ้ม “น้องเฉียว อย่าพูดอวดดีมากเกินไป บางทีอะไรที่มันล้ำเส้นมากเกินไปก็อาจจะทำให้ผลที่ตามมาร้ายแรงกว่าที่คิด!”
“ฮ่าฮ่า!จริงเหรอ” เฉียวเจียไคยิ้มหยัน “พี่ชายช่าวเหลย ฉันคิดว่าพี่ชายควรจะรอจนกว่าผู้อาวุโสในตระกูลของพี่ชายไม่อยู่ก่อนดีกว่ามั้ง คำขู่ของพี่ชายมันค่อยดูน่ากลัวสมจริงขึ้นมาหน่อย!”
“ฮึ่มมม!”
ทันทีที่เฉียวเจียไคพูดประโยคนี้จบไม่ว่าจะเป็นจี้ช่าวเหลยหรือต้วนเผิง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที มีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรในหมู่ลูกหลานของครอบครัวชนชั้นสูงเหล่านี้และมันเป็นกฎที่ทุกคนเคารพยึดถือ นั่นก็คือเมื่อมีความขัดแย้งระหว่างกันจะไม่มีการลากผู้ปกครองมามีส่วนเกี่ยวข้อง!
อย่างไรก็ตามเฉียวเจียไคคนนี้ได้ล้ำเส้นอย่างเปิดเผยและพูดจาสาปแช่งผู้อาวุโสของตระกูลจี้!
“ถ้าคุณต้องการจะจัดการกับฉันคุณก็แค่อธิฐานขอให้ปู่ของคุณตายเร็วๆ!”
นี่คือสิ่งที่เฉียวเจียไคหมายถึง!