The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 229 ปฏิกิริยาจากทุกฝ่าย
ในโรงพยาบาลเจียงโจวเฉียวเจียไคและจูหยงเต๋าได้รับการรักษาอยู่ห้องหนึ่งศิษย์น้องอีกสามคนของจูหยงเต๋าถูกแยกไปรักษาอีกห้อง
พวกเขาทั้งหมดช่างมีสภาพที่น่าสังเวชเฉียวเจียไคเวลานี้นอนอยู่บนเตียง ไหล่และข้อมือทั้งสองข้างต้องเข้าเฝือกเขาไม่แม้แต่ที่จะกล้าขยับตัว ต้นขาของเขาก็ถูกพันด้วยผ้าและถูกห้อยอยู่ ด้วยท่วงท่าการนอนที่แปลกๆจึงทำให้สภาพโดยรวมของเขามันทำให้คนที่มองมาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
ส่วนจูหยงเต๋าสภาพโดยรวมของเขาดูดีกว่าเฉียวเจียไคเล็กน้อยอาการบาดเจ็บของเขามีเพียงกระดูกหน้าอกและกระดูกซี่โครงหักเท่านั้นดังนั้นเขาจึงต้องรับการรักษาร่างกายส่วนบนของเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถทำได้เพราะนั่นมันจะส่งผลต่อการรักษากระดูกของเขาด้วยเหตุนี้เขาจึงดูเหมือนคนที่เจ็บปวดทรมานอยู่ตลอดเวลา
และเนื่องจากกระดูกซี่โครงและกระดูกหน้าอกของเขาหักจึงทำให้จูหยงเต๋าไม่กล้าที่จะหายใจแรงๆเขาทำได้แค่เพียงหายใจเข้าเบาๆและหายใจออกช้าๆด้วยความระมัดระวังการออกแรงเพียงเล็กน้อยมันก็มากพอที่จะทำให้เขาเจ็บแปลบจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว แต่เมื่อเจ็บเขาก็อยากจะขยับตัวเพื่อหาท่าที่เขาจะได้ไม่รู้สึกเจ็บแต่พอขยับเขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บ…
การทรมานที่วนเวียนไปมาเช่นนี้มันทำให้เขาแทบอยากจะกรีดร้องแต่ถ้าเขากรีดร้องมันก็จะยิ่งทำให้เขาเจ็บ!
พวกเขาทั้งสองคนไม่อยากจะอยู่ที่นี่เลยแม้แต่วินาทีเดียวความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้คนที่ไม่เคยสัมผัสจะไม่มีวันเข้าใจได้
เฉียวเจียไคเคยหน้าตาบูดเบี้ยวเป็นครั้งคราวโดยไม่ได้ตั้งใจแต่ดวงตาของเขาแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นอย่างที่สุด “ไอ้สารเลวจี้ช่าวหยิน ฉันจะทำให้แกหายไปในอากาศเหมือนกับชื่อของแก!” (หยิน = เมฆ)
ใกล้ๆกันจูหยงเต๋าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดส่งเสียงพูดเบาๆ “นายจะฆ่าเขาได้ยังไง”
แม้จะเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่รุนแรงเขาจึงได้แต่พูดอย่างแผ่วเบานุ่มนวล เขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดเต็มเสียงด้วยซ้ำ เมื่อนึกถึงกระดูกที่หักแล้วเขาก็แทบอยากจะร้องไห้!
เฉียวเจียไคเมื่อได้ยินดังนั้นก็สะอึกไปเช่นกันนั่นน่ะสิแล้วฉันจะฆ่าไอ้เด็กเวรนั่นได้ยังไง
พวกเขาทั้งห้าคนรวมกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไอ้เด็กเวรนั่นและที่สำคัญพวกเขาไม่สามารถต้านทานการโจมตีของไอ้เด็กนั่นได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว
เมื่อพูดถึงพลังอำนาจของตระกูลเฉียวเจียไคเชื่อว่าถ้าเขาใช้พลังของตระกูลจัดการกับสองพี่น้องจี้ช่าวเหลยและจี้ช่าวหยินจริงๆอย่าว่าแต่ตระกูลจี้จะไม่พอใจเลยเกรงว่าแม้แต่คนในตระกูลของเขาเองหลายคนจะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
“หรือว่า..เราจะจ้างนักฆ่ามืออาชีพดี” เฉียวเจียไคถามอย่างลังเล
“เป็นความคิดที่โง่เง่าสิ้นดี!”จูหยงเต๋าพูดอย่างแผ่วเบา หากไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บเขาคงจะตะคอกด้วยความโกรธไปแล้ว “เราเพิ่งจะมีปัญหากับพวกนั้นมาหมาดๆ แล้วอยู่ดีๆพวกนั้นก็โดนฆ่า นายคิดว่าคนอื่นเขาจะสงสัยใคร ถ้าไม่ใช่พวกเรา!”
เฉียวเจียไคสั่นสะท้านในทันทีมันเป็นความจริงที่ว่าถ้าคุณยั่วโมโหหรือทุบตีพวกเขาสักสองสามครั้งตระกูลจี้อาจจะไม่พูดอะไร แต่ถ้าคุณฆ่าพวกเขาจริงๆ แม้ว่าจะเป็นคนอารมณ์ดีหรือมีเมตตามากแค่ไหนก็ตามพวกเขาจะต้องโกรธเกรี้ยวมากอย่างแน่นอน และตระกูลเฉียวอาจถูกกวาดล้างในพริบตา และตัวเขาเองก็จะตายโดยที่หลุมฝังศพก็ยังไม่มี!
อำนาจและความมั่นคงผู้อาวุโสในตระกูลล้วนทำไว้เพื่อคนรุ่นหลัง แต่ถ้าพวกเขาถูกฆ่าทิ้ง สิ่งเหล่านี้จะยังมีประโยชน์อะไร คนที่สิ้นหวังนั้นกล้าทำอะไรที่เราคิดไม่ถึงและน่ากลัวมากแถมคนคนนั้นยังเป็นผู้อาวุโสของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตระกูลหนึ่งในจีนอีกต่างหาก!
เห็นได้ชัดว่าทางเลือกนี้โง่เง่าสิ้นคิดจริงๆ Aileen-novel
“ไอ้เด็กเปรตนั่นทำไมมันโชคดีมีบุญคุ้มหัวขนาดนั้นฟร๊ะ!”
เฉียวเจียไคกัดฟันพูดอย่างไม่เต็มใจ“พี่ชาย มันเป็นไปได้ไหมที่ไอ้เด็กเปรตช่าวหยินมันจะเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของสำนักนั้นด้วย”
จูหยงเต๋าตกใจแต่เขาก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งเขาก็ส่ายหัวช้าๆและพูดว่า “บอกไม่ถูกเหมือนกัน ความเร็วของเขาเร็วเกินไป ยากที่จะบอกว่าเขาใช้ทักษะการต่อสู้อะไรแต่ฉันรู้สึกว่าทักษะการต่อสู้ของเขาดูคล้ายกับรูปแบบของกองทัพเล็กน้อย มันเป็นเทคนิคการต่อสู้ของทหารไม่ใช่หรือ”
“เป็นไปไม่ได้!”เฉียวเจียไคปฏิเสธความคิดนี้แทบจะทันที พูดจาไร้สาระอะไรแบบนั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาด้วยทักษะทางการทหารไม่ได้ แต่เด็กคนนั้นกลับสามารถเอาชนะจูหยงเต๋าและอีกสามคนอย่างง่ายดายด้วยทักษะทางการทหารเพียงอย่างเดียวมันไม่น่าจะใช่แล้ว!
“ฉันคิดว่าที่ศิลปะการต่อสู้ของเขามันดุดันและรวดเร็วราวกับสายฟ้ามันเป็นเพราะความเร็วที่เร็วเกินไปจนทำให้ผู้คนมองเห็นภาพลวงตาจนเหมือนเขาออกท่วงท่าการต่อสู้อย่างเชื่องช้า”จูหยงเต๋าส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “ก็ถ้าทักษะการต่อสู้ของเขาไม่ได้มาจากการฝึกอบรมทางการทหาร ดังนั้นเขาก็จะต้องเป็นลูกศิษย์ของสำนักศิลปะการต่อสู้แห่งใดแห่งหนึ่งอย่างแน่นอน มันจะต้องมีสำนักที่ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้โบราณอื่นๆที่เราไม่รู้ และศิลปะการต่อสู้ของเด็กคนนี้ก็ทรงพลังและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเราจะทำยังไงกันดี!”เฉียวเจียไคถามด้วยความวิตกกังวล
“ฉันจะทำอะไรได้อีกนอกจากรอ!” จูหยงเต๋าพูดอย่างขมขื่น “รออาจารย์มา นอกจากนี้ยังต้องรอผลของเรื่องนี้…”
“ฮึ่ม!”ร่องรอยแห่งความโกรธฉาบไปทั่วใบหน้าของเฉียวเจียไค เขากัดฟันและพูดว่า “มันทำร้ายฉันและพี่ชายทั้งสี่คนของฉัน ฉันจะไม่ปล่อยมันไปง่ายๆแน่!”
จูหยงเต๋าอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดเขาส่ายหัวเล็กน้อยและถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้ฉันไม่กลัวหรอกว่านายจะปล่อยเขาไปหรือเปล่า แต่ฉันกลัวว่าเขาจะปล่อยเราไปง่ายๆหรือเปล่ามากกว่า!”
จากที่จูหยงเต๋าได้ยินเมื่อตอนอยู่ที่ห้องโถงชั้นสองของหลินจิงคลับเฮ้าส์เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนั้นไม่ได้ถือว่าเรื่องนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างลูกผู้ชายเลย มันรุนแรงไปถึงขั้นที่เรียกว่าการฆาตกรรม นั่นมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องนำกฎหมายมาใช้เพื่อแก้ปัญหา และที่ยิ่งไปกว่านั้นเด็กคนนั้นยังมีหลักฐานอยู่ในมือ คราวนี้พวกเขาลำบากของจริง
จูหยงเต๋ากลอกตาและเหลือบมองไปที่เฉียวเจียไคที่ตอนนี้กำลังโกรธเกรี้ยวมีความเกลียดชังลึกๆอยู่ในใจเขา ถ้าเขาไม่ต้องการใช้อิทธิพลของตระกูลเฉียวในทางโลกเพื่อค้นหาสิ่งที่อาจารย์ของเขาต้องการ คิดหรือว่าพวกเขาจะยอมร่วมมือทำเรื่องโง่ๆแบบนี้
ตอนนี้ฉันแค่หวังว่าอาจารย์จะรู้เรื่องนี้โดยเร็วและส่งคนที่มีอำนาจไปกดดันให้เรื่องนี้จบลงแต่โดยดี
……………
“ปัง!”
วิลล่าสุดหรูในหยานจิงหญิงวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่ากระแทกโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของวัยเต็มไปด้วยความโกรธ “ไอ้ลูกหมาจี้! จี้ช่าวเหลย จี้ช่าวหยินงั้นเหรอ! ดี ดีจริงๆ! ตระกูลจี้ติดหนี้บัญชีแค้นของฉันอีกครั้งหนึ่งแล้ว คอยดูเถอะฉันจะจัดการพวกแกจนกว่าพวกแกจะตายไปพร้อมกับความล่มจม!”
บนโซฟาที่ตั้งอยู่ตรงข้ามเธอใบหน้าซีดเซียวของชายวัยกลางคนที่มีผมแสกกลางมันเงายิ้มเล็กน้อยและถามว่า “ใครมันทำให้ภรรยาของฉันต้องโมโหได้ขนาดนี้”
“วางเหวินเกาอย่ามาหัวเราะให้ฉันเห็น นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ลูกชายของเราถูกซ้อมอาการสาหัสตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาลแถมคู่กรณียังจะฟ้องเขาข้อหาฆ่าคนตาย!” หญิงวัยกลางคนเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ “ทีนี้คุณยังจะมีอารมณ์พูดเล่นหัวเราะอยู่อีกมั้ย”
ชายวัยกลางคนที่ชื่อวางเหวินเกาหน้าเปลี่ยนสีทันทีและรีบถามอย่างร้อนรน“เป็นไปได้ยังไง เจียไคไปเจียงโจวไม่ใช่เหรอ ใครมันจะ…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างได้เขากล่าวอย่างลังเลว่า “อย่าบอกนะว่าคนที่ทำร้ายเป็นคนของ…ตระกูลจี้!”
“นอกจากตระกูลนั้นแล้วจะมีใครที่ทำตัวหน้าด้านไร้ยางอายแบบนี้!”แววตาของหญิงวัยกลางคนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เธอกัดฟันและพูดว่า “ตาเฒ่าหนังเหนียวของตระกูลจี้ไม่อาจรักษาสัญญาที่มีกับพ่อของฉันไว้ เห็นได้ชัดว่าเขามีอำนาจมากพอที่จะช่วยพ่อแต่เขาก็ไม่ช่วย จนสุดท้ายพ่อของฉันก็ต้องตายไปพร้อมกับความเกลียดชังและทำให้ตระกูลของเราค่อยๆล่มสลาย ไหนจะลูกชายหน้าไม่อายของเขาก็คว้าเอาผู้หญิงบ้านป่าเมืองเถื่อนมาดูถูกฉันจนทำให้ฉันต้องอับอาย เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้แม้กระทั่งลูกชายของฉันพวกเขาก็ยังไม่ปล่อย!”
เมื่อมองไปที่การแสดงออกที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของหญิงวัยกลางคนวางเหวินเกาก็ส่ายหัวเล็กน้อย“เฉียวหรง ไม่ใช่เวลาจะมาพูดถึงเรื่องนี้ รีบไปเจียงโจวโดยเร็วที่สุด ลูกชายเราจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ถึงยังไงเจียงโจวก็ไม่ใช่ถิ่นของเรา หากไม่รีบไปตอนนี้แล้วเกิดอะไรขึ้น…”
ปรากฏว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นแม่ของเฉียวเจียไค เฉียวหรง ส่วนวางเหวินเกาเป็นลูกเขยของตระกูลเฉียวและเป็นพ่อของเฉียวเจียไค
สีหน้าของเฉียวหรงเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำเตือนของสามีเธอจึงพยักหน้าอย่างรีบร้อนและพูดว่า “คุณพูดถูก ฉันจะให้คนไปจองตั๋วเครื่องบินเดี๋ยวนี้แหละ พวกเราจะต้องเดินทางไปเจียงโจวทันที ฉันไม่เชื่อหรอกว่าไอ้พวกตระกูลจี้มันจะฆ่าฉันด้วย!”
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูร้ายกาจของภรรยาวางเหวินเกาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ตอนนี้เขาไม่มีสถานะในตระกูลเฉียว บางครั้งเขายังคิดว่าเขาก็ไม่ต่างจากคนรับใช้ ถ้าเขาพูดหรือเสนอความคิดเห็นอะไรออกไปโดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือก็เกรงว่าคงจะโดนก่นด่าสาปแช่งไม่ต่างจากหมูจากหมา
ลองคิดดูเอาแล้วกันว่าแม้แต่ลูกชายของเขาก็ยังต้องใช้นามสกุลของแม่ของเขาแล้วสถานะของวางเหวินเกาจะสูงสักแค่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่กล่าวถึงตระกูลจี้เฉียวหรงก็จะอารมณ์ขึ้นทันทีวางเหวินเการู้ว่าจี้เจิ้นหัวต้องการหาคู่ครองด้วยตัวเองมากกว่าจะถูกจับคลุมถุงชนกับเฉียวหรง ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความต้องการของเฉียวหรงเธอต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลจี้เพื่อฟื้นฟูตระกูลเฉียวของเธอ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เรื่องนี้จะกลายเป็นชนวนระเบิดความแค้นของเธอ
แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตัวเองกลับคิดถึงผู้ชายคนอื่นมาโดยตลอด แม้จะเป็นความคิดถึงในแง่ของความโกรธแค้นและเฉียวหรงก็อาจไม่ได้มีความรู้สึกดีกับจี้เจิ้นหัวก็ตาม แต่มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้วางเหวินเการู้สึกไม่สบายใจและอึดอัดมากอยู่ดี
แต่วางเหวินเกาก็รู้ตัวดีว่าหากเขาต้องการรักษาตำแหน่งในปัจจุบันของเขาเขาห้ามมีความขัดแย้งกับเฉียวหรงในเรื่องนี้โดยเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะอดทน
“ไม่ว่าใครที่มันกล้ามาทุบตีลูกชายของฉันฉันจะให้มันต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” เฉียวหรงกัดฟันพูดออกมาอย่างโกรธแค้น
……………
ณลานบ้านที่เงียบสงบหลังหนึ่งในหยานจิง มีชายชราผมขาวกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ รอบๆลานบ้านมีตำรวจติดอาวุธพร้อมกระสุนจริงยืนเฝ้าอยู่เป็นระยะ แสดงให้เห็นว่าตัวตนของผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเดือนตุลาคมอากาศก็ค่อยๆเย็นลงชายชรากำลังนั่งบนเก้าอี้เอนนอน เขาสวมเสื้อกันหนาวแขนยาว ด้วยอายุที่มากจึงทำให้ชายชราไม่อาจต้านทานความหนาวได้มากนัก
ชายชราพร้อมกับผู้คุ้มกันและองครักษ์พิเศษของชายชรากำลังฟังชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆชายชราพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
ใบหน้าของชายวัยกลางคนคนนี้เต็มไปด้วยความสง่างามแต่ความดุดันเคร่งขรึมของเขาไม่ได้มาจากความโกรธแต่เป็นกลิ่นอายที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชายชรา ชายวัยกลางคนกลับดูระมัดระวังมากกว่าปกติ
“ได้ยินมาว่าเสี่ยวเฟิงทุบตีลิงน้อยของตระกูลเฉียวและผู้ติดตามอีกสี่คนด้วยงั้นรึ”หลังจากที่นิ่งเงียบกันอยู่พักหนึ่ง ชายชราก็พูดขึ้นช้าๆ น้ำเสียงของเขาดูอ่อนแอกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวล
��