The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 247 คุ้นๆ
จี้เฟิงยิ้มตอบเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรแต่เขาก็อดคิดในใจไม่ได้ว่าใครมันจะมาฉกถงเล่ยไปจากเขาได้
“เพื่อนร่วมชั้นเว่ยเฉียงคุณมีธุระอะไรหรือเปล่า”ถงเล่ยถามอย่างเฉยชา กับคนอื่นๆนอกจากคนรอบข้างที่สนิท เธอจะวางตัวมีระยะห่างอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีจุดประสงค์บางอย่างที่เห็นได้ชัด แค่เธอไม่ทำหน้าเย็นชาใส่ก็ถือได้ว่าเธอรักษามารยาทมากพอแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางของถงเล่ยจี้เฟิงก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเพราะเขานึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เขาและเธอเรียนอยู่มัธยมปลาย ถงเล่ยก็วางตัวรักษาระยะห่างกับเขาเช่นนี้ในทีแรกเหมือนกัน แต่ตอนนี้เธอได้กลายมาเป็นแฟนของเขาแล้วแถมถงเล่ยยังมีมุมที่น่ารักและขี้อายซึ่งมีเขาเพียงผู้เดียวที่สามารถเห็นเธอในแง่มุมนั้นได้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้มุมปากของจี้เฟิงก็กระตุกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
เว่ยเฉียงถึงกับชะงักเมื่อเห็นถงเล่ยแสดงกิริยาที่ห่างเหินอย่างเปิดเผย มันทำให้เขาไม่รู้จะไปยังไงต่อดี แต่ในไม่ช้าใบหน้าของเขาก็กลับมาสดใสและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถงเล่ยฉันกำลังมองหาเธอเพื่อที่จะคุยอะไรด้วยอยู่พอดีเลย ไม่คิดว่าจะมาเจอเธอที่นี่ ช่างบังเอิญจริงๆ”
ถงเล่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยเธอไม่ชอบท่าทางที่พยายามจะตีสนิทของเว่ยเฉียงเลย แต่เธอไม่อยากจะหักหน้าเพราะยังไงเขาก็เป็นเรื่องร่วมชั้นเรียนกับเธอ ตราบใดที่เขายังไม่ได้ทำอะไรที่มันน่าเกลียดจนเกินไปเธอก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
จี้เฟิงกำลังมองไปที่เว่ยเฉียงจี้เฟิงรู้สึกคุ้นๆกับชื่อนี้อย่างบอกไม่ถูกราวกับว่าเขาเคยได้ยินมันที่ไหนสักแห่ง แต่นึกอยู่สักพักเขาก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ไหน
เว่ยเฉียงเป็นเด็กหนุ่มที่สูงประมาณ182 เซนติเมตร รูปร่างกำยำ เขาเป็นคนสูงที่ดูไม่ผอมเลยและก็ไม่ได้ดูอ้วนด้วย คนตัวสูงส่วนใหญ่มักจะดูผอมซึ่งนั่นไม่ใช่กับเว่ยเฉียง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ตัวสูงหุ่นดีแถมหน้าตายังหล่อเหลาเอาการ
จี้เฟิงต้องยอมรับว่าถ้าเทียบกันในเรื่องส่วนสูงเขานั้นด้อยกว่าเว่ยเฉียง ช่องว่างระหว่างทั้งสองนั้นอยู่ที่สี่เซนติเมตรโดยประมาณซึ่งมันชัดเจนมาก
แต่จี้เฟิงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเลยเพราะถ้าพูดถึงรูปร่างโดยรวมแล้ว แม้ว่าเว่ยเฉียงคนนี้จะมีรูปร่างแข็งแรงสมบูรณ์ดี แต่เขาก็ยังเทียบไม่ได้กับจี้เฟิง
ร่างกายของจี้เฟิงถูกกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าชีวภาพมานานกว่าหนึ่งปีแล้วหากสิ่งนี้ไม่สามารถทำให้ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด อย่าได้คิดว่าสมองหมายเลข 1 จะปล่อยเขาไปง่ายๆ และแม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเสื้อผ้าและการแต่งตัวจี้เฟิงคงได้แต่ก้มหน้ายอมรับสภาพความเป็นจริงที่ว่าเขาด้อยกว่าจริงๆ
บนร่างกายของเว่ยเฉียงเต็มไปด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับแบรนด์ดังเท่าที่จี้เฟิงพอจะจำได้ก็ไม่น้อยกว่าสามถึงสี่แบรนด์เข้าไปแล้ว โลโก้รูปหมาป่าบนเสื้อโค้ตตัวนั้นน่าจะเป็นแบรนด์SEPTWOLVES ส่วนนาฬิกาตัวเรือนเป็นสีทองส่วนจะยี่ห้ออะไรจี้เฟิงก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ความรู้ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับยี่ห้อของนาฬิกาช่างน่าอนาถเหลือเกิน
กางเกงและรองเท้าหนังอย่างดีแค่มองดูก็รู้แล้วว่าถูกผลิตมาด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยมและมันจะต้องแพงมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถงเล่ยเรื่องที่ฉันอยากคุยกับเธอคือเรื่องการจัดงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ หลังจากที่มีการประชุมของสภานักศึกษาของเราฉันคิดว่าเธอควรเข้าร่วมในการประชุมครั้งหน้าในนามของนักศึกษาใหม่นะ เราจะได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับรายละเอียดและการเตรียมการบางอย่างสำหรับงานนี้… เอาเป็นว่าเราไปคุยส่วนที่เหลือกันที่ห้องประชุมสภานักศึกษากันดีกว่า ยืนคุยกันตรงนี้ฉันว่ามันไม่ค่อยสะดวก!” เว่ยเฉียงยิ้มอย่างจริงใจ คำพูดของเขาดูเป็นมิตรและเป็นธรรมชาติมากทุกคำพูดและการกระทำเป็นไปอย่างเหมาะสม
“ขอโทษด้วยฉันมีเรียนในช่วงเช้า”ถงเล่ยส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “ฉันคงไม่สามารถเป็นตัวแทนนักศึกษาใหม่เพื่อไปเข้าร่วมประชุมได้ ยังไงฉันก็ขอให้เพื่อนร่วมชั้นและคนอื่นๆทำงานนี้ให้สำเร็จไปได้ด้วยดีนะ”
“ถงเล่ยเธอพูดแบบนี้มันก็ไม่ถูก” เว่ยเฉียงยิ้มเล็กน้อย “งานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่เป็นกิจกรรมส่วนรวมของน้องใหม่ทุกคน ในฐานะที่เธอก็เป็นนักศึกษาใหม่เราทุกคนต่างมีหน้าที่ที่จะต้องทำและจะต้องทำมันให้เต็มที่และดีที่สุด เธอไม่คิดแบบนั้นเหรอ”
เมื่อเห็นว่าถงเล่ยกำลังจะพูดเว่ยเฉียงก็ยิ้มอีกครั้งและกล่าวว่า “เอาเป็นว่าตอนนี้เธอไปเข้าเรียนก่อน ยังไงก็ตามเรื่องเรียนก็สำคัญที่สุด แต่เพื่อความสะดวกในการติดต่อฉันขอเบอร์โทรศัพท์ของเธอไว้หน่อยได้มั้ย ฉันจะได้ไว้อัปเดตให้เธอรู้เกี่ยวกับงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ว่าตอนนี้ทำกันไปถึงไหนแล้ว เผื่อมีอะไรที่ฉันไม่แน่ใจจะได้ปรึกษาและขอความคิดเห็นจากเธอ”
“คุณไม่จำเป็นต้องขอความคิดเห็นจากฉันหรอกตราบใดที่ทุกคนวางแผนร่วมกันฉันจะชอบมันอย่างแน่นอน” ถงเล่ยกล่าวเสียงเรียบ เทคนิคเล็กๆน้อยๆที่เว่ยเฉียงใช้มันไม่ได้ผลกับเธอ ถงเล่ยไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น “ขอโทษที ฉันกำลังจะสายแล้ว ลาก่อน!”
จากนั้นถงเล่ยก็คว้ามือของจี้เฟิงพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้“เราไปกันเถอะ”
การกระทำของถงเล่ยเหมือนกำลังจะบอกเว่ยเฉียงว่า“ฉันมีแฟนแล้วดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์”
ใบหน้าของเว่ยเฉียงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันรอยยิ้มอันสดใสและจริงใจของเขาแข็งค้างอยู่แบบนั้น สายตาของเขาจ้องไปที่ด้านหลังของจี้เฟิงและถงเล่ยที่กำลังจูงมือเดินกันออกไปจากนั้นท่าทีที่จริงใจของเขาก็เปลี่ยนไป
“จี้เฟิงฉันไม่ได้สนิทกับผู้ชายคนเมื่อกี้เลยนะเขาแค่อยู่แผนกภาษาต่างประเทศเหมือนกัน ฉันเคยเจอกับเขาแค่ครั้งสองครั้งตอนเรียนรวมเท่านั้น” ถงเล่ยมองไปที่จี้เฟิงอย่างประหม่าและอธิบายด้วยเสียงเบา “ฉันไม่รู้ว่าทำไมหยุนปิงถึงได้คิดว่าเขามาตามจีบฉัน ก็เพราะแบบนี้แหละถึงได้เกิดปัญหา”
“อะไรนะ!”จี้เฟิงชะงักไปเล็กน้อยจากนั้นก็นึกออกขึ้นมาทันที “เขานี่เอง!” ไอลีนโนเวล
เขาก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นๆกับเว่ยเฉียงแต่เขาก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอเว่ยเฉียงที่ไหน แต่พอถงเล่ยพูดแบบนี้มันทำให้เขานึกออกว่าอันที่จริงแล้วเขาไม่เคยเจอกับเว่ยเฉียงตัวเป็นๆเลย เพียงแต่เคยได้ยินชื่อเท่านั้น
ที่จู่ๆหยุนปิงมาหาเรื่องถงเล่ยก็เพราะผู้ชายที่ชื่อเว่ยเฉียงคนนี้นี่เอง
จี้เฟิงรู้ข่าวนี้จากเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัยเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอผู้ชายคนนี้ในสถานการณ์แบบนี้
“ฮ่าฮ่าฉันพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมหยุนปิงถึงได้สนใจไอ้หมอนี่ ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่ง!” จี้เฟิงพูดอย่างไม่แยแส แต่ประโยคต่อไปนี้ก็เผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา “แต่ไม่ว่าผู้ชายคนนี้มันจะหล่อหรือดีมากแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่คู่ควรกับเล่ยเล่ยของฉัน แต่ถ้ามันยังกล้ามาตอแยกับเธออีก ฉันจะหักขามันด้วยมือของฉันนี่แหละ!”
ถ้าจี้เฟิงจำได้แต่แรกว่าเว่ยเฉียงเป็นใครมีความเกี่ยวข้องยังไงกับถงเล่ยเขาคงไม่ปล่อยให้เว่ยเฉียงได้มีโอกาสพูดคุยกับถงเล่ยอย่างเด็ดขาด แม้ว่าจะเป็นเพียงการพูดคุยกันธรรมดาก็ตาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจี้เฟิงนั้นสงสัยมาตลอดว่าเว่ยเฉียงอาจจะเป็นคนโพสต์ในเว็บบอร์ดของมหาลัยในครั้งนั้น แม้ว่าเว่ยเฉียงจะไม่ใช่คนโพสต์จริงๆแต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่รู้จักกับเว่ยเฉียงอย่างแน่นอน
แม้จะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดแต่จี้เฟิงก็รู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นโพสต์นี้ในเว็บบอร์ดของมหาลัย
“นายพูดบ้าอะไรของนายฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา!” ถงเล่ยตะคอกอย่างเขินๆ เธอรู้สึกประหม่าอยู่ในใจเมื่อต้องอธิบายเรื่องเช่นนี้กับจี้เฟิง
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้คิดอะไรกับไอ้หมอนั่นแต่เราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าหมอนั่นมันคิดอะไรอยู่ในใจ…” จี้เฟิงพูดอย่างเย็นชา “ใครก็ตามที่คิดจะแย่งเล่ยเล่ยไปจากฉัน ฉันจะทำให้มันไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เริ่มทำมัน!”
ถงเล่ยยิ้มออกมาทันที“ไม่ต้องกังวลฉันจะไม่เปลี่ยนใจ!” จากนั้นถงเล่ยก็หัวเราะคิกคักและวิ่งไปที่อาคารเรียนของแผนกภาษาต่างประเทศทันที
เมื่อมองไปที่ด้านหลังที่มีเสน่ห์อันสดใสสมวัยของถงเล่ยจี้เฟิงก็อดยิ้มไม่ได้ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ค่อยๆรุนแรงขึ้นที่เอวของเขา
ตายห่า!หยูซวนก็อยู่ด้วยนี่หว่า!
จี้เฟิงหันกลับมาและยิ้มทันที“ที่รักหยูซวนของผม สำหรับคุณก็เหมือนกันใครก็ตามที่มันกล้าคิดที่จะแย่งคุณไปผมก็จะไม่มีวันปล่อยคนคนนั้นกลับไปอย่างครบ 32 แน่นอน!”
เซียวหยูซวนปล่อยมือที่หยิกเอวของจี้เฟิงออกและกล่าวว่า“ยังถือว่าหัวไวใช้ได้ ครั้งนี้ฉันจะไว้ชีวิตนายไปก่อนพ่อนักเลงตัวน้อย ฉันต้องไปทำงานแล้ว!”
เมื่อมองดูเรือนร่างที่เดินบิดไปมาอย่างมีเสน่ห์ของเซียวหยูซวนค่อยๆหายลับตาไปจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้งๆพร้อมกับลูบไปที่เอวของเขาที่ถูกเซียวหยูซวนหยิกเมื่อครู่นี้ “ทำไมสาวๆถึงชอบให้หึงกันนักนะ”
ในเวลานี้เว่ยเฉียงที่รู้สึกว่าถูกถงเล่ยหักหน้าเขาอดไม่ได้ที่จะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่พอใจและสบถอย่างลับๆ “ทำตัวอย่างกับเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์!”
แต่เมื่อเห็นเซียวหยูซวนที่เดินอยู่อีกด้านหนึ่งของจี้เฟิงแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ด้วยรูปร่างที่โค้งเว้าเหมือนตัว S เหมือนปีศาจสาวจอมยั่ว มันไม่แปลกที่จะดึงดูดใจสายตาผู้ชายในวัยอย่างเว่ยเฉียง
เว่ยเฉียงกลืนน้ำลายอย่างแรงและจ้องมองอย่างดุเดือดไปที่รูปร่างของเซียวหยูซวนจากนั้นก็หันไปอีกทางที่ถงเล่ยเพิ่งเดินจากไปและกำลังคิดว่าเขาจะคว้าถงเล่ยมาไว้ในครอบครองได้อย่างไร
มีชายหนุ่มหลายคนวิ่งออกมาจากประตูพวกเขาล้วนมีรูปร่างที่สูงและกำยำแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมราวกับเป็นกลุ่มชายหนุ่มที่ร่ำรวย
“เว่ยเฉียงเป็นยังไงบ้าง ไหนโม้ไว้ซะดิบดีว่าแค่กระดิกนิ้วก็ได้เบอร์โทรมาแล้วไง ฮ่าฮ่า~!” ชายหนุ่มคนหนึ่งหัวเราะอย่างล้อเลียน
“เหอะ!”เว่ยเฉียงแค่นเสียงอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เล่นตัวหน่อยๆแบบนี้สิดี แล้วผู้หญิงแบบนี้มีเหรอที่ฉันจะเอาไม่อยู่ ม้าพยศหรือจะสู้คนขี่ม้าอย่างฉันได้ ฮ่าๆๆ!”
ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกันและเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความหมาย
“ในเมื่อนายชอบขี่ม้าดีๆหยุนปิงก็ถือว่าเป็นม้าพันธุ์ชั้นดีเลยนะ ทำไมนายไม่เลือกเธอล่ะ ฉันพอจะจำได้ว่าเหมือนเธอจะสนใจนายอยู่ไม่น้อยเลยนี่!” ชายหนุ่มอีกคนถามด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์
“ไอ้บ้า!”เว่ยเฉียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “ฉันคงจะกล้าคบกับเธอหรอก หยุนเฟยหยางพ่อของเธอเป็นมาเฟียเลยนะเว้ย แถมมีชื่อเสียงบนถนนเจียงโจวอีกต่างหาก แล้วนายคิดว่าถ้าฉันคบกับหยุนปิงลูกสาวของมาเฟีย ฉันจะไปจีบผู้หญิงคนอื่นได้อยู่อีกหรือเปล่าล่ะ ฉันไม่ได้โง่จนถึงขนาดยอมตัดทิ้งทั้งป่าเพื่อต้นไม้ต้นเดียวหรอกนะ!”
“เฮ้ย!ตอนนี้ต่อให้นายต้องการ นายก็คงไม่มีโอกาสแล้วล่ะ เมื่อเช้าฉันเพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์ของเจียงโจวมา เห็นในข่าวบอกว่าเกิดอุบัติเหตุที่บ้านของหยุนปิง เธอกับพ่อน่าจะถูกฆาตกรรมที่บ้านและสุดท้ายพวกเขาก็ถูกไฟเผา…”
“พอๆเลิกพูดถึงเธอได้แล้วพูดแล้วอารมณ์เสียแถมมันทำให้ความอยากอาหารของฉันลดลง ตอนนี้มีแต่ถงเล่ยเท่านั้นที่ทำให้ฉันอารมณ์ดี รอให้ฉันได้พาเธอเข้าห้องให้ได้ก่อนฉันจะทำให้ดูว่าการทำม้าพยศให้เชื่องได้เป็นยังไง ฮ่าฮ่า!” เว่ยเฉียงโบกมือและกล่าวว่า “ไปๆ เตะบอลกันดีกว่า เดี๋ยวตอนเที่ยงฉันเลี้ยงเอง!”
กลุ่มของชายหนุ่มหัวเราะร่าและวิ่งตรงไปที่สนามกีฬาของมหาวิทยาลัยแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเด็กชายตัวเล็กๆผอมๆใส่แว่นตาหนาเตอะที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านไป เขามองไปที่เว่ยเฉียงอย่างครุ่นคิด
……………..
ชั้นเรียนของจี้เฟิงอยู่ในคาบที่สองซึ่งจะเริ่มเวลา9.30 น. ไปจนถึง 11.30น. รวมเป็นเวลาสองชั่วโมงและกว่าจะถึงตอนนั้นจี้เฟิงที่ไม่มีอะไรทำได้เดินตรงไปที่หอพัก
เมื่อจี้เฟิงมาถึงหอพักเขาก็พบว่าในห้องพักนั้นโล่งมากมีเพียงฮั่นจงที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“คนไปไหนกันหมด”จี้เฟิงถามด้วยความประหลาดใจ
“แล้วฉันไม่ใช่คน”ฮั่นจงกลอกตาและพูดว่า “จ้าวไคกับเหล่าตู้พากันไปหาบ้านฉันเลยถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่คนเดียว”
เมื่อจี้เฟิงกำลังจะอ้าปากพูดเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“สงสัยจะเป็นฮั่นจงกับเหล่าตู้พวกเขาอาจจะกลับมาแล้ว!” ฮั่นจงกล่าว
จี้เฟิงลุกขึ้นและไปเปิดประตูแต่พบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นผู้ชายตัวเล็กๆผอมๆที่สวมแว่นตาหนาเตอะ จี้เฟิงรู้สึกคุ้นๆ