The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 248 โกรธ
“คุณ…คือ” จี้เฟิงมองไปที่เด็กผู้ชายตัวผอมคนนี้ด้วยความสงสัย จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าเมื่อไหร่กันนะที่ความจำของเขามันแย่ขนาดนี้?
เมื่อใดก็ตามที่ฉันพบใครสักคนฉันจะรู้สึกคุ้นๆตลอดเลยแต่ฉันก็นึกไม่ออกว่าเคยรู้จักหรือเจอกันที่ไหน เมื่อกี้ตอนที่เจอกับเว่ยเฉียงก็เป็นแบบนี้และตอนนี้ยังมาเป็นผู้ชายคนนี้อีก เป็นไปได้มั้ยว่าไอ้ความจำระดับเทพของฉันมันจะหายไปแล้ว
“ให้ตายเถอะ!นี่คือจางชิง เพื่อนร่วมชั้นของเราไง จี้เฟิงนายไม่รู้จักเพื่อนร่วมชั้นของตัวเองด้วยซ้ำ!” ฮั่นจงตะโกนออกมาจากในห้อง “เออใช่! นายเข้าร่วมการฝึกทหารแค่อาทิตย์เดียวแล้วก็ออกไปเลยนี่หว่า พอกลับมาเรียนก็นั่งอยู่แต่ข้างหลังห้องอีก ฉันไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมนายถึงไม่รู้จักจางชิง!”
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นๆกับผู้ชายคนนี้ปรากฏว่าเขาน่าจะเคยเดินผ่านกับผู้ชายคนนี้อยู่สองสามครั้งในระหว่างการฝึกทหาร แต่ในตอนนั้นไม่ว่าใครก็ใส่ชุดลายพรางเหมือนกันไปหมดแถมไม่ได้อยู่หอพักเดียวกันอีก มันจึงไม่แปลกที่เขาจะไม่ได้จดจำผู้ชายคนนี้ไว้ในสมอง
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาคิดว่าความสามารถในการจำของเขาจะหายไปซะแล้ว ตอนนี้พอเขารู้เหตุผลมันก็ทำให้เขาผ่อนคลายขึ้นมากทีเดียว
“จางชิงฉันต้องขอโทษจริงๆความจำของฉันไม่ค่อยจะดี มาๆเข้ามาก่อนสิ!” จี้เฟิงยิ้ม
จางชิงยิ้มเขินๆและพูดว่า“ฉันว่าฉันไม่เข้าไปดีกว่า แต่จี้เฟิง ที่ฉันมาที่นี่ฉันมีอะไรบางอย่างมาบอกนาย”
จี้เฟิงผงะเล็กน้อยและชี้ไปที่ตัวเอง“ฉัน” จากนั้นเขาก็พยักหน้าและยิ้ม “ตกลงว่ามีเรื่องอะไรเหรอ?”
จางชิงมองซ้ายมองขวาจากนั้นก็มองไปที่ฮั่นจงที่นั่งอยู่ในห้อง
จี้เฟิงรู้ทันทีว่าจางชิงต้องการอะไรเขาจึงยิ้มและพูดว่า“ไปคุยที่อื่นกันเถอะ!”
ทั้งสองคนเดินมาที่ทางเดินและเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆจางชิงก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นทันทีด้วยเสียงเบา “ที่จริงฉันก็ลังเลอยู่ว่าจะบอกเรื่องนี้กับนายดีมั้ย เพราะการพูดถึงคนอื่นลับหลังมันเป็นสิ่งไม่ดี แต่สิ่งที่ฉันได้ยินมาฉันคิดว่าฉันมาบอกนายน่าจะดีกว่า”
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาเห็นว่าจางชิงไม่น่าจะใช่คนที่ชอบนินทาดูจากลักษณะท่าทางแล้วเขาดูเป็นคนเก็บตัวนิดๆและดูขี้อายมาก ด้วยลักษณะนิสัยของคนแบบนี้คำพูดของเขาสมควรได้รับความสนใจ
“ไม่ต้องห่วงบอกฉันมาได้เลยฉันจะไม่บอกใคร” จี้เฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
จางชิงพยักหน้าและพูดว่า“คือตอนที่ฉันออกไปซื้ออาหารนอกมหาลัย… ฉันเป็นคนนอนดึกตื่นสายน่ะ ก็เลยได้กินอาหารเช้าสายหน่อยแล้วพอฉันกลับมาที่ประตูมหาลัย ฉันก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งพวกเขาเป็นสมาชิกทีมบาสเกตบอลยืนคุยกันอยู่แถวประตูมหาลัย หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นเว่ยเฉียง!”
“เว่ยเฉียง”จี้เฟิงขมวดคิ้วและลองคำนวณเวลา ถ้าจางชิงมาหาเขาที่หอพักในตอนนี้หลังจากที่เจอกับเว่ยเฉียง ก็แสดงว่ามันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาและถงเล่ยได้พบกับเว่ยเฉียงในเวลาใกล้เคียงกัน
“ใช่เพราะโพสต์ในบอร์ดของมหาลัยก่อนหน้านี้ฉันจำได้ว่ามีการพูดถึงเว่ยเฉียง!” จางชิงกล่าว “พวกเขาพูดแซวกันและพูดถึงหยุนปิงแล้วก็พูดถึงแฟนของนาย…”
จางชิงดูเหมือนจะรู้สึกไม่ดีที่ต้องพูดคำพูดเหล่านั้นเขาจึงได้แต่พูดอ้อมไปอ้อมมาจนสุดท้ายเขาเลยเลือกที่จะพูดตามคำพูดที่คนเหล่านั้นพูดออกมาเป๊ะๆ เขาพูดเลียนแบบแม้กระทั่งลักษณะของน้ำเสียง
สีหน้าของจี้เฟิงดำมืดลงไปชั่วขณะเขาไม่สงสัยเลยว่าสิ่งที่จางชิงพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ เพราะเนื้อหาของบทสนทนาที่จางชิงถ่ายทอดออกมานั้นมีเหตุมีผลในตัวมันเองอย่างสมบูรณ์
แม้ว่าความขัดแย้งระหว่างหยุนปิงและถงเล่ยจะถูกเปิดเผยในบอร์ดของมหาวิทยาลัยและเกือบทุกคนก็รู้เรื่องนี้แต่เรื่องการตายของหยุนปิงและหยุนเฟยหยางมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ให้ความสนใจ
ยิ่งไปกว่านั้นจี้เฟิงก็จำได้ในตอนนี้เว่ยเฉียงถามถงเล่ยเรื่องเบอร์โทรของเธอซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งยืนยันอีกอย่างหนึ่งว่าจางชิงพูดความจริง
“คือ…เหตุผลที่ฉันมาบอกนายเพราะฉันคิดว่าเรื่องนี้มันออกจะดูร้ายแรงไปสักหน่อย ฉันไม่ได้อยากจะพูดถึงใครลับหลังจริงๆ” จางชิงพูดด้วยความประหม่า แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ดำมืดของจี้เฟิงจางชิงก็รู้สึกลำบากใจ ถ้าหลังจากที่เขาบอกความจริงเรื่องนี้กับจี้เฟิงไปแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาอาจจะกลายเป็นคนขี้ฟ้องหรือกระต่ายตื่นตูมที่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน จนสุดท้ายกลายเป็นหาเหาใส่หัว
แต่ถ้าเขาเลือกอีกอย่างหนึ่งเลือกที่จะไม่พูดทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าเว่ยเฉียงและคนอื่นๆอาจจะทำสิ่งที่เลวร้ายกับถงเล่ยแล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริงเขาคงจะไม่มีหน้ามามองจี้เฟิงอีกและก็คงจะรู้สึกผิดไปตลอด
หลังจากที่เขาลังเลมาตลอดทางระหว่างกลับมาที่หอพักสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะบอกจี้เฟิง
แน่นอนว่าจี้เฟิงสังเกตเห็นถึงความลำบากใจของจางชิงเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “จางชิง ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆที่มาบอกเรื่องนี้กับฉัน และฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใครเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับนายอย่างแน่นอนมั่นใจได้เลย”
จางชิงพยักหน้าเล็กน้อยเขายกน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ในมือขึ้นและยิ้มแห้งๆ “งั้นฉันกลับห้องก่อนแล้วกัน จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้กินอาหารเช้าเลย!”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“โอเค ไว้เจอกันในชั้นเรียน!”
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังที่กำลังเดินจากไปของจางชิงใบหน้าของจี้เฟิงก็มืดมนขึ้นทันที เขายังคงยืนอยู่ที่ทางเดินโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจเกี่ยวกับจางชิง “จางชิง ฉันจะจำความหวังดีของนายไว้”
การที่จางชิงนำเรื่องนี้มาบอกกับจี้เฟิงเรียกได้ว่าเขาได้นำตัวเองเข้ามาเสี่ยงไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนผู้นี้มีความเป็นมนุษย์เพียงพอและแม้จะเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆแต่จิตใจของเขาช่างยิ่งใหญ่
หลังจากยืนเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งจี้เฟิงก็กลับไปที่ห้องของหอพักเขาพยายามดึงสีหน้ากลับไปเป็นปกติแต่ฮั่นจงผู้ความรู้สึกไวจับสังเกตได้ในทันทีและพบความผิดปกติบางอย่าง
“จี้เฟิงสีหน้านายดูแปลกๆ มีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้นใช่มั้ย” ฮั่นจงพูดขึ้น “พวกเราเป็นพี่น้องกัน หากนายต้องการความช่วยเหลือขอแค่นายเอ่ยปากออกมาเท่านั้นตราบใดที่ฉันทำได้ฉันจะทำโดยที่ไม่รอให้นายต้องพูดมันออกมาเป็นครั้งที่สอง!” Aileen-novel
“ขอบใจมาก!”จี้เฟิงยิ้มและตบไหล่ฮั่นจง “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เป็นแค่แมลงวันที่น่ารำคาญมารบกวนถงเล่ยก็เท่านั้น!”
“มันเป็นใครถึงได้กล้าทำเรื่องแบบนี้!”ฮั่นจงลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความโกรธ “เรื่องอื่นยังพอทน แต่เรื่องแบบนี้ก็เป็นเหตุผลที่มากพอแล้วที่จะเอาเลือดหัวมันออก!”
ด้วยอายุยี่สิบต้นๆเป็นวัยที่เลือดร้อน โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงมันเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้มากที่สุดสำหรับชายหนุ่มในวัยนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าฮั่นจงที่มักจะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นๆเพราะเขามีนิสัยที่ชอบช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แล้วเหตุจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องยอมทนอยู่เฉยเมื่อมีคนจะมาแย่งแฟนพี่น้องของเขา
เมื่อเห็นความโกรธจนเลือดขึ้นหน้าของฮั่นจงจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แม้ว่าเพื่อนร่วมหอพักทั้งสามคนของเขาจะมีข้อเอกลักษณ์ที่น่ากุมขมับในแบบเฉพาะตนเองเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นฮั่นจงค่อนข้างเป็นคนกระตือรือร้นแต่ก็มีประโยชน์ ส่วนจ้าวไคก็ใจเย็นเกินไปและจะวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียก่อนเป็นอันดับแรกในขณะที่ตู้เส้าเฟิงเป็นที่ใจร้อนและลงมือทำก่อนคิด
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามิตรภาพระหว่างพวกเขานั้นล้วนมีแต่ความจริงใจ
เพียงเท่านี้มันก็ทำให้จี้เฟิงรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากแล้วและมันยังทำให้เขานึกไปถึงวันที่เขาได้เป็นเพื่อนกับจางเล่ยในเวลานั้นจางเล่ยเป็นคนเดียวที่เต็มใจจะเป็นเพื่อนกับเขาจนทุกวันนี้มิตรภาพที่แข็งแกร่งระหว่างพวกเขามันคือเพื่อนแท้ มันคือพี่น้องที่ตายแทนกันได้!
“ใจเย็นๆฉันไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆหรอก อีกสองสามวันฉันอาจจะมีเรื่องที่ต้องรบกวนนาย” จี้เฟิงตบไหล่ฮั่นจงเบาๆ “การไปหาเรื่องคนอื่นในมหาวิทยาลัยมันเป็นเรื่องที่อาจส่งผลเสียกับเราเองหรือจะให้ไปเจรจากับคนประเภทนั้นก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องและอีกอย่างตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานอะไรที่จะไปกล่าวหาอีกฝ่ายได้ เราคงได้แต่รอไปก่อน!”
“รอเราจะต้องรอถึงเมื่อไหร่?!” ฮั่นจงพูดด้วยความไม่พอใจ “แค่นายบอกฉันมาว่าไอ้คนนั้นมันเป็นใคร ฉันจะสั่งให้คนของฉันซักสองสามคนไปเตือนมันให้เอง!”
“ไม่ๆ!”จี้เฟิงโบกมือ “คำเตือนไม่มีประโยชน์สำหรับคนพวกนี้ การเตือนปากเปล่ามันไม่ค่อยจะทำให้คนเราจำฝังใจ มันต้องเจ็บตัวไปด้วยพูดกรอกหูไปด้วย คนพวกนี้ต้องเจออะไรแบบนี้มันถึงจะเข้าใจอะไรต่างๆได้มากขึ้น!”
ในขณะที่พูดเรื่องนี้มุมปากของจี้เฟิงก็กระตุกเล็กน้อยหากจางเล่ยอยู่ที่นี่ด้วยเขาจะรู้ได้ในทันทีว่าจี้เฟิงกำลังโกรธจริงๆ
“แล้วนายจะจัดการเรื่องนี้เมื่อไหร่”ฮั่นจงถามอย่างรีบร้อน
“ไม่ต้องกังวลมันไม่นานเกินรอแน่นอน!” จี้เฟิงหัวเราะอย่างชั่วร้าย
จะปราบม้าพยศอย่างงั้นเหรอหึหึ!
จะเอาแค่ปางตายหรือตายไปเลยดี!
จิตสังหารที่รุนแรงพุ่งเข้าสู่จิตใจของจี้เฟิงเนื่องจากคำพูดที่เว่ยเฉียงกล้าพูดถึงถงเล่ยกับกลุ่มเพื่อนของเขาด้วยความดูถูก ดังนั้นพวกมันจะต้องชดใช้!
เมื่อมองไปที่สีหน้าอันเย็นชาของจี้เฟิงทันใดนั้นฮั่นจงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกและสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย แววตาของจี้เฟิงในเวลานี้ช่างน่ากลัวจริงๆ
“จี้เฟิงเอางี้ดีมั้ย ก่อนที่นายจะคิดวางแผนฉันจะสั่งให้คนไปตรวจสอบที่มาที่ไปของอีกฝ่ายให้ก่อน มันชื่ออะไรล่ะ” ฮั่นจงเห็นรอยยิ้มที่โหดเหี้ยมของจี้เฟิง เขาอดไม่ได้ที่จะแอบตกใจ ไม่ใช่ว่าผู้ชายคนนี้ต้องการจะฆ่าอีกฝ่ายจริงๆหรอกนะ?
ฉันล่ะนึกไม่ออกจริงๆว่าอีกฝ่ายมันเป็นใครที่กล้ามายั่วโมโหจี้เฟิงแบบนี้หรือเป็นเพราะเขาคิดว่าเขาอยู่ในโลกมานานจนเกินไปแล้วเลยหาเรื่องตาย เขาคิดดีแล้วใช่มั้ยถึงได้ทำเรื่องแบบนี้?
“เว่ยเฉียง”จี้เฟิงพูดออกมาสองคำอย่างแผ่วเบา
ฮั่นจงตกตะลึงและมันก็ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันทีไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจี้เฟิงถึงได้ดูโกรธมากขนาดนี้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ระหว่างหยุนปิงและถงเล่ย ก็เกิดจากการที่เว่ยเฉียงเข้าไปพัวพันกับถงเล่ยซึ่งมันทำให้หยุนปิงอิจฉา แล้วตอนนี้ไอ้เว่ยเฉียงนี่ยังไม่เลิกยุ่งกับถงเล่ยอีกเหรอ
“มันบ้าไปแล้วหรือไง!”ฮั่นจงแสยะยิ้ม “โอเค! จี้เฟิง เรื่องของไอ้เว่ยเฉียงนี่นายฝากไว้กับฉันได้เลย ฉันสัญญาว่ามันจะได้เรียนรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ และมันจะต้องฝันร้ายเพียงแค่ได้ยินชื่อของสหพันธ์มหาวิทยาลัย”
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า“นอกจากเรื่องการตรวจสอบภูมิหลังของมัน นายไม่ต้องทำอะไร รอให้มันเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน”
ฮั่นจงพอจะเข้าใจแล้วว่าจี้เฟิงวางแผนที่จะจัดการเว่ยเฉียงจริงๆเพราะถ้าเขาต้องการที่ส่งคำเตือนให้เว่ยเฉียงจำฝังใจจริงๆเขาก็ทำได้ และเว่ยเฉียงก็คงจะไม่กล้ามายุ่งกับถงเล่ยอีก แต่นี่จี้เฟิงกลับให้ฉันไปตรวจสอบภูมิหลังของเว่ยเฉียง ซึ่งเว่ยเฉียงมันคงจะไม่แปลกใจถ้ารู้ และอาจจะลงมือทำเรื่องที่ไม่สมควรทำก็ได้
แล้วเมื่อไหร่ที่เว่ยเฉียงลงมือทำเช่นนี้จี้เฟิงที่ซุ่มโจมตีอยู่ก็คงจะโยนระเบิดลูกใหญ่ในทีเดียวอย่างไร้ความปรานีแล้วก็ปล่อยให้เว่ยเฉียงตายอย่างทรมาน!
“ดูเหมือนว่าถงเล่ยจะเปรียบเหมือนกล่องดวงใจของผู้ชายคนนี้หากใครกล้าแตะต้องกล่องดวงใจของเขา ผลที่ตามมา…” ฮั่นจงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเว่ยเฉียงเล็กๆอยู่ในใจ ไอ้หมอนี่มันไม่มีเงาหัวโดยไม่รู้ตัวจริงๆ!
“โอเค!”ฮั่นจงพยักหน้าทันที “เรื่องตรวจสอบภูมิหลังของไอ้หมอนั่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน ไม่เกินสามวันน่าจะได้คำตอบ!”
จี้เฟิงพยักหน้าตอนนี้จิตใจของเขารู้สึกสงบลงเล็กน้อย
แต่ในขณะนั้นเองก็มีโทรศัพท์จากจี้ช่าวเหลยมันทำให้สีหน้าของจี้เฟิงแย่ลงอีกครั้ง
“น้องสาม!เฉียวหรงมาที่เจียงโจวพร้อมกับผู้ชายอีกสามคนดูเหมือนว่าพวกนั้นจะเป็นนักสู้ด้วย!”
“เฉียวหรงคือใคร”จี้เฟิงถาม
“แม่ของเฉียวเจียไคไง!”จี้ช่าวเหลยกล่าวว่า “นายพอจะเดาได้ใช่มั้ยว่าจุดประสงค์ที่พวกนั้นมาถึงที่เจียงโจวก็เพื่อมาจัดการกับพวกเรา!”