The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 250 การประเมินผล
ในโรงอาหารไม่ใช่แค่จี้เฟิงกับถงเล่ยที่ถูกโทรตามให้มาที่นี่แต่เซียวหยูซวนก็มาด้วยเช่นกัน
หนึ่งในสองสาวนั้นยังอ่อนเยาว์หน้าตาสวยงามสดใสราวกับนางฟ้าบนสวรรค์ในขณะที่หญิงสาวอีกคนมีเสน่ห์และท่วงท่าการเดินที่พลิ้วไหวของร่างกายที่อวบอิ่มดึงดูดจิตวิญญาณในระหว่างทางที่ผู้หญิงทั้งสองคนเดินผ่านประตูทางเข้าโรงอาหาร ผู้ชายหลายคนถึงกับจ้องมองจนตาแทบไม่กะพริบ ยกตัวอย่างผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินถือถ้วยน้ำซุปร้อนๆเมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองคนเดินผ่านมา เขาก็มองตามจนเหลียวหลังทำให้ถ้วยน้ำซุปที่อยู่ในมือของเขาก็ค่อยๆเอียงโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายถ้วยน้ำซุปร้อนๆก็เทราดเต็มกางเกงและเท้าของเขาจนกระโดดโหยงด้วยความเจ็บปวด
ตั้งแต่ประตูทางเข้าของโรงอาหารจนกระทั่งหญิงสาวทั้งสองนั่งลงบรรยากาศในโรงอาหารทั้งหมดก็แทบจะเงียบลงทันที สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ผู้หญิงทั้งสองที่เดินผ่านไปด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
แต่น่าเสียดายที่การจ้องมองเหล่านี้ไม่มีผลต่อเซียวหยูซวนและถงเล่ยเลยถงเล่ยมีบุคลิกที่เย็นชาและไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเธอ เธอเป็นแบบนี้มาตั้งแต่มัธยมปลายแล้วดังนั้นสายตาของคนอื่นๆจึงไม่ส่งผลต่อเธอ
ส่วนเซียวหยูซวนนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะถ้าอาชีพอย่างเธอกลัวการถูกมองแล้วจะยังเป็นครูอยู่ได้อย่างไรล่ะในปัจจุบันนี้ระบบการเรียนการสอนมีหลายชั้นเรียนที่เรียกว่าเป็นคลาสใหญ่ โดยจะมีนักศึกษาจากหลายๆห้องมาเรียนอยู่ในชั้นเรียนเดียวกัน ทุกคนต่างเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน และเซียวหยูซวนได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้มานานแล้ว
แต่นั่นไม่ใช่กับจางเล่ยและจี้เฟิง
จะว่าไปแล้วจี้เฟิงอาจจะดีกว่าหน่อยเพราะความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขานั่นดีมากและสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่จะเป็นสายลับระดับสูง เขายังคงกินอาหารได้อย่างสบายๆ
ส่วนจางเล่ยแทบจะไม่สามารถตักอาหารกินโดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดและคอยมองไปรอบๆได้เลย
จางเล่ยรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของนักศึกษาคนอื่นๆไม่ว่าเขาจะหันศีรษะไปทางไหนเขาก็จะเห็นดวงตาของเด็กผู้ชายที่เต็มไปด้วยความหลงใหลจ้องมองมาทางถงเล่ยและเซียวหยูซวน บางคนก็เป็นสายตาแห่งความอิจฉาริษยา จางเล่ยจ้องมองกลับไปอย่างดุเดือดเหมือนเป็นคำเตือนให้กับคนเหล่านั้น ดังนั้นเขาจึงหันซ้ายหันขวาแทบจะตลอดโดยไม่มีเวลาสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ
“โอเค!”จี้เฟิงตบโต๊ะและยืนขึ้น “ไปนั่งในห้องเล็กๆตรงนั้นกันเถอะ!”
เมื่อคนทั้งสี่จากไปนักศึกษาหลายคนที่ยังนั่งอยู่ในโรงอาหารก็รู้สึกเหมือนกับว่าอาหารตรงหน้าของพวกเขานั้นน่าสนใจมากขึ้น แต่ปากของพวกเขาก็ยังคงส่งเสียงซุบซิบราวกับว่าพวกเขาเพิ่งจะได้เห็นอะไรบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อ
มันเป็นเรื่องปกติสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มักจะพูดคุยเกี่ยวกับความรักและการมากินอาหารที่โรงอาหารเพื่อพูดคุยถึงเรื่องเหล่านั้นมันช่วยเพิ่มความสนิทสนมใกล้ชิดระหว่างพวกเขาได้มากขึ้น ส่วนเหตุผลที่จี้เฟิงและคนอื่นๆตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในครั้งนี้ นั่นก็เพราะความนิยมของจี้เฟิงได้เพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์ที่พวกเขามีความขัดแย้งกับหยุนปิง และเรื่องราวได้ถูกนำไปโพสต์ในเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เองวิญญาณแห่งการซุบซิบนินทาของทุกคนก็ได้ถูกปลุกขึ้น ตอนนี้แทบไม่มีใครที่ไม่รู้จักจี้เฟิง ถงเล่ย และจางเล่ยเลย
แล้วพอตอนนี้บุคคลที่ถูกพูดถึงมากที่สุดได้มาปรากฏตัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันในโรงอาหารมันจึงเป็นเรื่องปกติที่คนอื่นๆอยากจะเห็นตัวเป็นๆ และอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกัน
และที่ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพูดถึงความงามจนถูกยกย่องให้เป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยถงเล่ยและเซียวหยูซวนจะต้องเป็นที่หนึ่งอย่างแน่นอน
แม้ว่าดาราในทีวีจะหน้าตาสะสวยหลังจากที่แต่งหน้าแต่ก็ขาดเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหมือนกับความเย็นชาที่ดูเข้าถึงยากของถงเล่ยและเสน่ห์ที่น่าดึงดูดของเซียวหยูซวน มันไม่ได้เป็นการเลียนแบบแต่มันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกเธอที่แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ!
“ให้ตายเหอะ!นี่มันดอกฟ้ากับหมาวัดชัดๆ!” ทุกคนอดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาปแช่ง แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของจี้เฟิงกับจางเล่ยจะไม่ได้เลวร้าย แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ชายคนอื่นๆรู้สึกทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้สาวงามสองคนนั่งร่วมโต๊ะกับคนอย่างพวกเขา!
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงห้องทานอาหารเล็กๆพวกเขาก็พากันโล่งใจความรู้สึกของการถูกจ้องมองเหมือนลิงในสวนสัตว์นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกสบายใจอย่างแน่นอน
“จะว่าไปการที่คนอื่นๆมองพวกเราด้วยความอิจฉานี่มันก็เจ๋งดีนะ!”จางเล่ยพูดด้วยสีหน้าที่มีความสุข ตั้งแต่เมื่อก่อนไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนเขาก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน
“หมอนี่!”จี้เฟิงหัวเราะ “รู้สึกดีมากมั้ยที่มีคนอิจฉา”
“นายไม่เข้าใจเหรอคนเราไม่มีใครที่จะอิจฉาคนธรรมดาๆหรอกต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเท่านั้นคนอื่นถึงจะอิจฉา!” จางเล่ยทำหน้ามึนๆ “แน่นอนว่านายคงต่างออกไปเพราะที่คนอื่นอิจฉานายเป็นเพราะมีสาวสวยสองคนนั่งอยู่ข้างๆ!”
ทั้งสามคนถึงกับพูดไม่ออกผู้ชายคนนี้จะหลงตัวเองมากเกินไปหน่อยแล้ว ที่คนอื่นอิจฉาเขาไม่ใช่เพราะเซียวหยูซวนและถงเล่ยก็นั่งอยู่ข้างๆเขาด้วยหรอกเหรอ
คนที่พูดเรื่องไร้สาระได้โดยไม่ลืมหูลืมตาและยังสามารถโอ้อวดความยอดเยี่ยมของตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉยจะต้องเป็นคนที่มีผิวหน้าที่ด้านและหนามากทีเดียว
“เอาล่ะเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว เล่ยซือนายบอกว่ามีเรื่องเกี่ยวกับงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่จะคุยไม่ใช่เหรอจะเข้าเรื่องได้ยัง” จี้เฟิงยิ้ม “สรุปว่ามันยังไงกัน?”
จางเล่ยพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นและพูดด้วยเสียงอันดังว่า“เจ้าบ้า ฉันคิดว่าพวกเราควรมีส่วนร่วมในงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ในปีนี้ แม้ว่าจะเป็นการช่วยกันที่หลังเวทีก็ยังดีกว่าไม่เข้าร่วมเลย!
“โอ้ว!”
ทุกคนต่างประหลาดใจไม่น้อยเพราะที่ผ่านๆมาพวกเขาไม่เคยเห็นว่าจางเล่ยต้องการจะเข้าร่วมกิจกรรมใดๆเลยเพราะที่ผ่านมาเวลามีกิจกรรมของโรงเรียนพวกเขาก็แทบไม่เห็นแม้แต่เงาของจางเล่ยเลยด้วยซ้ำแล้วทำไมคราวนี้ถึงได้กระตือรือร้นนัก
“เหตุผล”จี้เฟิงถามยิ้มๆ
“เหตุผลนั้นง่ายมากจริงๆแล้วที่ฉันชวนให้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ก็เพื่อนเป็นการปกป้องสาวๆจากอันตราย” จางเล่ยกัดฟัน “ฉันได้ยินข่าวมาว่าในงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ปีนี้มีใครบางคนวางแผนเพื่อที่จะหาโอกาสเข้าใกล้เล่ยเล่ย เจ้าบ้านี่เป็นเวลาที่นายจะต้องลงมือแล้วล่ะ!”
“เข้าใกล้ฉัน”ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง “ฉันไม่เคยบอกนะว่าจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยง!”
จี้เฟิงขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม“นายอธิบายเรื่องนี้ให้ละเอียดกว่านี้หน่อย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วใครที่จะถือโอกาสนี้เข้าใกล้เล่ยเล่ย” ไอลีนโนเวล
จางเล่ยส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า“เล่ยเล่ย เธออาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ เกี่ยวกับกิจกรรมภายในมหาลัย หากมีคนจากสภานักศึกษามาเชิญเธอให้เข้าร่วมกิจกรรมแล้วเธอปฏิเสธมันจะไม่เป็นผลดีกับเธอเท่าไหร่นัก”
หลังจากหยุดพูดไปครู่หนึ่งจางเล่ยก็กล่าวต่อว่า “ที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยนั้นแตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ นักศึกษาที่จบจากที่นี่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประชากรคุณภาพ นั่นเป็นเพราะทุกคนที่เรียนที่นี่ต่างมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสภานักศึกษา และนอกจากนั้นตัวนักศึกษาเองจะได้รับประโยชน์อื่นๆในการเพิ่มหน่วยกิตด้วย ฉันก็อธิบายเรื่องพวกนี้ไม่เก่ง เอาเป็นว่ามหาลัยจะมีการประเมินนักศึกษาทุกปีและการประเมินนี้จะประกอบไปด้วยคะแนนจาก 3 ด้าน หนึ่งคือคะแนนสอบของนักศึกษาซึ่งคิดเป็น 60 %จากทั้งหมด สองเป็นคะแนนจากความคิดเห็นของอาจารย์และอาจารย์ที่ปรึกษาอีก 20% และสุดท้ายเป็นคะแนนจากการประเมินของสภานักศึกษาอีก 20%”
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่จางเล่ยต้องการจะสื่อนั้นหมายถึงอะไรและเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า“นายหมายความว่าต่อให้สอบผ่าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะผ่านการประเมินประจำปี”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้เป็นเพราะพวกเราเพิ่งผ่านการฝึกทหารมา ชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัยเลยอาจจะยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนัก ดังนั้นเรื่องพวกนี้จึงยังไม่ค่อยเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปเท่าไหร่ แต่อาจารย์เซียวน่าจะรู้ดี”
“ใช่!”
เซียวหยูซวนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า“ทางมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการฝึกฝนทักษะความสามารถของนักเรียนนักศึกษาในหลายๆด้าน และหนึ่งในทักษะความสามารถเหล่านี้ก็รวมถึงทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ด้วย ดังนั้นจะมีการประเมินและให้คะแนนจากเหล่าอาจารย์และนักศึกษาที่อยู่ในสภานักศึกษาด้วย แน่นอนว่าโดยปกติแล้วถ้านักศึกษาไม่ได้ทำเรื่องอะไรร้ายแรงหรือสร้างความประทับใจที่ไม่ดีต่อเหล่าอาจารย์ อาจารย์ที่ปรึกษาก็จะให้คะแนนมากกว่าเก้าสิบคะแนน แต่ละปีจะมีนักศึกษาเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่สามารถผ่านการประเมินจากเหล่าอาจารย์ได้”
“อย่างนี้นี่เอง…”จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “แล้วการประเมินของพวกสภานักศึกษาล่ะ”
“นี่แหละคือประเด็นหลักที่ฉันต้องการจะพูด”จางเล่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก “การประเมินของสภานักศึกษาก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกันเพราะมันเป็นคะแนนที่มากถึง 20% ของทั้งหมด ด้วยเหตุนี้นักศึกษาหลายคนจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในสภานักศึกษา อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะต้องไม่ทำให้คนในสภานักศึกษาเกลียดขี้หน้า เนื่องจากการประเมินประจำปีนั้นเทียบเท่ากับการสอบปลายภาคของมหาวิทยาลัยอื่นๆ เพราะถ้าหากไม่ผ่านการประเมิน ก็เท่ากับว่าจะต้องสอบซ่อมหรือสอบใหม่อีกครั้ง!”
“มันสำคัญมากจริงๆ!”จี้เฟิงตระหนักได้ถึงความสำคัญของสิ่งที่จางเล่ยกำลังพูด
จางเล่ยกล่าวต่อไปว่า“ฉันได้ยินมาว่ามีคนในสภานักศึกษาตกหลุมรักเล่ยเล่ยและเขาก็ต้องการจะตามจีบเธอให้สำเร็จ งานเลี้ยงในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ใกล้ชิดกับเธอ แล้วถ้าเล่ยเล่ยตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วม ก็แน่นอนล่ะว่ามันเป็นการทำให้สมาชิกสภานักศึกษารู้สึกไม่พอใจ แม้ว่าคนพวกนั้นจะไม่ได้ลงมือทำร้ายอะไรเธอ แต่ถ้าถึงตอนที่พวกเขาจะทำการประเมิน… มันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา”
จี้เฟิงขมวดคิ้ว“มันจะไม่มักง่ายเกินไปหน่อยเหรอ การประเมินของสภานักศึกษาควรมีการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดหรือมีแบบแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ไม่ใช่ว่าใครจะประเมินคนอื่นๆด้วยวิธีไหนก็ได้ตามต้องการ!”
“ก็ถ้าพูดกันตามความจริงโดยทั่วไปแล้วคนของสภานักศึกษาจะประเมินนักศึกษาอย่างเคร่งครัดตามบทบัญญัติที่ถูกกำหนดไว้ของมหาวิทยาลัยด้วยรหัสนักศึกษา เพราะท้ายที่สุดแล้วสภานักศึกษาไม่ได้เป็นของคนคนเดียว” จางเล่ยส่ายหัวเล็กน้อย “แต่ถ้าคนที่ต้องการใช้เรื่องการประเมินนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองเป็นคนที่มีน้ำหนักมากในสภานักศึกษาล่ะ”
“เขาเป็นใคร”จี้เฟิงถามด้วยเสียงต่ำ
“รองประธานสภานักศึกษาเว่ยเฉินหลิง!” จางเล่ยตอบเสียงดังฟังชัด “นายอาจจะไม่รู้จักคนคนนี้แต่นายน่าจะเคยได้ยินชื่อของลูกพี่ลูกน้องของเขา เว่ยเฉียง!”
“อ้อเขานี่เอง!” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “เคยได้ยินสิ ได้ยินบ่อยเลยล่ะ ฮ่าฮ่า!”
“เจ้าบ้ามันใช่เวลามาหัวเราะงั้นเหรอนายบ้าไปแล้วจริงๆใช่มั้ยเนี่ย” จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเมื่อมองไปที่จี้เฟิง “นายจะไม่ตกใจหน่อยเหรอ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ ถ้าเกิดเขาใช้เรื่องการประเมินผลมาหาผลประโยชน์ให้ตัวเองมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”
“เพราะแบบนี้นายเลยอยากให้เล่ยเล่ยเข้าร่วมงานเลี้ยงและให้พวกเราเข้าร่วมและคอยปกป้องเธอ” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่!นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดและพวกเขาก็ไม่อาจใช้เหตุผลใดๆมาหักคะแนนประเมินพวกเราได้” จางเล่ยกล่าว
จี้เฟิงหัวเราะและพูดว่า“เล่ยซือนี่มันไม่ใช่นายเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ นายลุยดะไปแล้ว แต่นี่อะไรทำไมถึงได้ยอมอ่อนข้อยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้ล่ะ”
“ยอมแพ้อะไรนี่เรียกว่ากลยุทธ์ต่างหาก!” จางเล่ยส่งเสียงคำราม “นายคิดว่าฉันไม่อยากจะงัดหน้ากับพวกนั้นหรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะตาเฒ่าที่บ้านสั่งห้ามไว้อย่างเด็ดขาดแล้วถ้าเกิดเขารู้เข้าฉันคงจะซวยยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น! แล้วที่สำคัญบทลงโทษสำหรับการทำร้ายร่างกายคนของสภานักศึกษามันรุนแรงมาก ดังนั้นนอกจากฉันจะต้องใจเย็นๆแล้วนายเองก็อย่าเปรี้ยวให้มันมากนัก!”