The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 251 วางแผนชีวิต
จี้เฟิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม“ไม่จำเป็นต้องประนีประนอมกับพวกเขา” จี้เฟิงลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ในพจนานุกรมของฉันไม่มีคำว่าประนีประนอมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนอย่าง เว่ยเฉียง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้จางเล่ยก็รู้สึกโล่งใจอย่างแปลกประหลาดแต่ไม่ว่ายังไงเมื่อคิดว่าคนในสภานักศึกษาอาจสร้างปัญหาให้กับเล่ยเล่ยในเรื่องของการประเมินเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและพูดว่า “เจ้าบ้า ฉันอยากจะเก็บกวาดไอ้พวกนั้นมากกว่านายซะอีก แต่บางครั้งเราก็ต้องเลือกใช้วิธีที่มันจะส่งผลดีที่สุดกับตัวเรา ถ้าเกิดเราคิดแต่จะใช้กำลังแม้แต่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้แม้เราจะสะใจแต่ในตอนท้ายมันจะไม่คุ้มค่ากันน่ะสิ!”
“ทำไมมันถึงจะไม่คุ้มค่าล่ะ”จี้เฟิงถามกลับ
“จะเป็นยังไงถ้าถึงตอนประเมินขึ้นมาแล้วพวกเขาเกิดลงมือทำอะไรแย่ๆ”เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะถาม “ฉันเองก็เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้ไม่กี่เดือน อย่าว่าแต่ไปช่วยพูดกับอธิการบดีของสหพันธ์มหาวิทยาลัยเลยแม้แต่กับหัวหน้าฝ่ายฉันก็คงไม่อาจไปช่วยพูดให้ได้ แล้วถ้านายหรือเล่ยเล่ยติดขัดในการประเมินรอบสุดท้ายขึ้นมา แม้มันจะเป็นเพราะความอยุติธรรมแต่เราก็ไม่อาจหาหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันไปโต้เถียงได้เลยนะ!”
“เหอะ!”จี้เฟิงหัวเราะเยาะและพูดอย่างเหยียดหยาม “ฉันก็อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นดู ฉันจะได้สั่งสอนไอ้พวกนั้นให้รู้ว่าการเขวี้ยงงูไม่พ้นคอมันเป็นยังไง!”
เว่ยเฉียงผู้ชายคนนี้มันไม่ธรรมดา เพียงเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเล่ยเล่ยมันรู้จักใช้อำนาจเพื่อกดดันคนอื่น! ความรู้สึกรังเกียจเพิ่มขึ้นในใจของจี้เฟิง รองประสภานักศึกษา คิดว่าตำแหน่งนี้มันจะทำให้กลายเป็นผู้มีอำนาจอยู่เหนือคนทุกคนได้เลยหรือไง?
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า“เล่ยซือ ลุงถงก็ทำงานอยู่ในระบบราชการไม่ใช่เหรอ เวลาไปดูงานกับลุงถง นายได้เรียนรู้อะไรมาบ้างหรือเปล่าล่ะ”
จางเล่ยตกใจแม้ว่าเขาจะเข้าใจว่าจี้เฟิงหมายถึงอะไรแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถาม“เจ้าบ้า นายหมายถึงการตรวจสอบข้อมูลและการถ่วงดุลอำนาจ”
“ใช่!”จี้เฟิงพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ดวงตาที่สวยงามของเซียวหยูซวนเปล่งประกายและพูดว่า“จี้เฟิง นายจะใช้ศัตรูของเว่ยเฉินหลิงเพื่อจัดการกับเขางั้นเหรอ”
จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า“อืม! ในบรรดาประชากรที่มากมายของจีนมีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในสิทธิพิเศษและอำนาจ แล้วในเมื่อนักศึกษาอย่างเว่ยเฉินหลิงที่เป็นรองประธานสภานักศึกษามีสิทธิพิเศษมากขนาดนี้มันจะต้องมีคนอิจฉาอย่างแน่นอนและฉันก็มั่นใจว่าไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้น และตราบใดที่เขากล้ามายุ่งวุ่นวายทำเรื่องที่ไม่เป็นธรรม ฉันนี่แหละที่จะเป็นคนทำให้เขาพ้นสภาพการเป็นรองประธานของสภานักศึกษา!”
จี้เฟิงพูดเสียงดังสีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างสุดขีดจี้เฟิงไม่เห็นเว่ยเฉินหลิงอยู่ในสายตาเลย ทั้งสามคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นวิตกอยู่เล็กน้อย
“เฮ้อเว่ยเฉินหลิงนายกำลังจะโชคร้ายแล้วล่ะเพื่อน!” จางเล่ยยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันล่ะเห็นใจเขาจริงๆ!”
“คนแบบนี้ไม่สมควรที่จะได้รับความเห็นใจในฐานะรองประธานสภานักศึกษาเขาจะต้องทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และตัดสินจากความเป็นจริง ไม่ใช่มาใช้อำนาจเพื่อช่วยลูกพี่ลูกน้องของตัวเองไปบังคับกดขี่คนอื่นแบบนี้ คนประเภทนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นรองประธานสภานักศึกษา!” เซียวหยูซวนกล่าวอย่างโกรธๆ เธอมาจากครอบครัวนักธุรกิจ เธอมักจะเห็นพ่อของเธอถูกคุกคามจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่าเวลาที่พ่อของเธอต้องการติดต่อธุรกิจ ดังนั้นเธอจึงรู้สึกแย่กับผู้ชายประเภทนี้ ประเภทที่ใช้อำนาจข่มคนอื่น
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและมองไปที่ถงเล่ยที่กำลังมีสีหน้าไม่สู้ดีนักและพูดอย่างอ่อนโยน“เล่ยเล่ย เธอต้องการไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ในปีนี้หรือเปล่า ถ้าเธออยากจะเข้าร่วม เรื่องนี้จะถูกลืมไปในทันที แต่ถ้าเธอไม่ต้องการ…”
ถงเล่ยส่ายหัวเบาๆและกล่าวว่า“ฉันไม่ชอบการถูกมองเป็นแจกัน”
จี้เฟิงเข้าใจความคิดของเธอถงเล่ยรู้ตัวเองว่าเธอสวยแต่เธอก็ไม่ได้ต้องการให้คนอื่นมาชื่นชมความสวยของเธอ เธอไม่อยากให้คนอื่นเข้าหาเธอเพราะรูปลักษณ์ภายนอก
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไป!”จี้เฟิงโบกมือและพูดราวกับว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ จากนั้นเขาก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “โอเค! เอาเป็นว่าเราไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เล่ยซือนายมากับฉัน!”
“อะไรไปไหน?” จางเล่ยถามอย่างงงๆ
“หยูซวนกับเล่ยเล่ยยังมีการเรียนการสอนในช่วงบ่ายอีกแล้ววันนี้ที่วิลล่าของฉันกำลังจะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมด ไหนจะพวกของใช้อื่นๆที่เจ้าของคนเก่าทิ้งไว้อีก…” ก่อนที่จี้เฟิงจะทันได้พูดจบจางเล่ยก็รีบลุกขึ้นยืน
“จะใช้ฉันให้เป็นแรงงานทาส”จางเล่ยส่ายหัวทันที “ฝันไปเถอะ! ให้ฉันตายซะดีกว่า… เอ๊ะ! ไม่สิ!” จางเล่ยเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เขาจ้องไปที่จี้เฟิงด้วยสายตาดุร้าย “เฮ้! คุณชายจี้ ฉันเพิ่งได้ยินเล่ยเล่ยพูดก่อนหน้านี้ว่าเธอไม่มีเรียนในตอนบ่าย อาจารย์เซียวก็ไม่มีสอนตอนบ่ายด้วยใช่มั้ยครับ?”
เซียวหยูซวนและถงเล่ยต่างอดไม่ได้ที่ยิ้มออกมาในเวลาเดียวกันพวกเธอไม่มีการเรียนการสอนในช่วงบ่ายจริงๆ เพราะพวกเธอเพิ่งจะคุยกันว่าจะใช้เวลาในช่วงบ่ายทำอะไรดี แต่ในเมื่อตอนนี้เธอได้ยินจี้เฟิงพูดออกมาแบบนี้แล้ว ทั้งสองสาวจึงหันมามองหน้ากันพร้อมกับแววตาที่สว่างขึ้นในเวลาเดียวกัน
“จี้เฟิงให้พวกเราไปด้วยเถอะ!” เซียวหยูซวนพูดขึ้น
“ดีแล้วๆไปกันเลยนะสาวๆ!” จางเล่ยตะโกนทันที “ห้องของผู้หญิงจะต้องได้รับการตกแต่งที่สะดวกสบายอย่างดีที่สุดและถ้าจะให้ถูกใจก็ต้องให้เจ้าของห้องจัดการด้วยตัวเอง ส่วนฉันยังมีเรียนในตอนบ่ายฉันเป็นนักเรียนที่ดีคงไม่สามารถโดดเรียนได้ พวกคุณไปกันได้เลยนะไม่ต้องห่วงฉัน..”
จางเล่ยที่พูดอย่างจริงจังเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาอย่างดุร้ายน้ำเสียงของเขาก็ค่อยๆเบาลงและในที่สุดก็ไม่มีเสียงใดๆหลุดรอดออกมาอีก
“ฮึ่ม!”ถงเล่ยตะคอก “พี่ชาย พี่จะปล่อยให้จี้เฟิงทำงานคนเดียวแบบนี้อยู่ตลอดไม่ได้!”
และแล้วความพยายามของจางเล่ยก็ล้มเหลวอย่างกะทันหันถ้าจะบอกว่าคนที่เขากลัวมากที่สุดคือตาเฒ่าถงพ่อของเขาและคนที่สองก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แน่นอนว่าคือถงเล่ยน้องสาวของเขาเอง เมื่อเห็นถงเล่ยพูดด้วยสีหน้าขึงขังเช่นนี้จางเล่ยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ายอมรับชะตากรรม
“อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรสนุกๆให้ทำมากนักหรอกเพราะที่จะทำตอนนี้เป็นแค่การเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด ส่วนพวกเครื่องใช้ไฟฟ้ายังใช้อันเดิมที่เจ้าของบ้านคนเก่าทิ้งไว้ เพราะถ้าจะให้เปลี่ยนใหม่ทั้งหมดมันจะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป!” จี้เฟิงหัวเราะแห้งๆและพูดว่า “โดยทั่วไปแล้วร้านเฟอร์นิเจอร์ควรมาจัดส่งให้เราถึงบ้าน ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือการไปตรวจดูอะไรนิดหน่อย”
“ตรวจดูยังไง”เมื่อจางเล่ยได้ยินว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเขาก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“ตัวอย่างเช่นเลือกสีของโซฟาที่ชอบหรือรูปแบบของเฟอร์นิเจอร์อื่นๆอะไรพวกนี้”จี้เฟิงไม่ได้สนใจจางเล่ย เขาหันไปบอกกับเซียวหยูซวนและถงเล่ยแทน
“จริงเหรอ”ใบหน้าที่สวยงามของหญิงสาวทั้งสองปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันทีและพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน “งั้นเราไปกันเถอะ!”
จี้เฟิงหัวเราะเขาไม่ได้วางแผนที่จะเลือกเฟอร์นิเจอร์ด้วยตัวเองแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเขาได้บอกให้จี้ช่าวเหลยพี่รองของเขาจัดการเรื่องนี้ไปได้เลย แต่เมื่อเช้าตอนที่เขากำลังจะออกจากวิลล่าเขามองไปที่ตารางเรียนของหญิงสาวทั้งสองก็พบว่าพวกเธอไม่มีการเรียนการสอนในช่วงบ่าย เขาจึงเปลี่ยนแผนและตั้งใจที่จะพาสองสาวออกไปเดินเล่นและเลือกเฟอร์นิเจอร์ด้วยตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในวิลล่าก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆจี้ช่าวเหลยได้มอบรถ BMWx6 ให้กับเขาแล้ว ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่อยากจะรบกวนจี้ช่าวเหลยไปเสียทุกเรื่อง
เมื่อตอนที่เขาตัดสินใจได้แล้วเขาจึงติดต่อไปหาจี้ช่าวเหลยพี่รองของเขาทันทีและบอกกับจี้ช่าวเหลยว่าไม่ต้องส่งคนมาจัดการเรื่องเฟอร์นิเจอร์แล้วแต่ดูเหมือนจี้ช่าวเหลยจะยุ่งมากจี้เฟิงจึงรีบวางสายหลังจากที่พูดกับพี่รองของเขาได้เพียงไม่กี่คำ
…………… Aileen-novel
“เยสเข้!นี่มัน BMWx6 !”
เซียวหยูซวนขับรถวอลโล่สีแดงของเธอกลับไปที่วิลล่าพร้อมกับพวกเขาอีกสามคนเมื่อจางเล่ยลงจากรถและเห็น BMWx6 ที่จอดอยู่ในสนามดวงตาของเขาก็เบิกกว้างและอุทานเสียงดัง
“มันจะเกินไปแล้ว!คุณชายจี้! นายมันฟุ่มเฟือยมาก!” จางเล่ยเอะอะโวยวายแต่ดวงตาของเขากลับเปล่งประกายสดใส “นี่เจ้าบ้า เราเป็นเพื่อนรักกันใช่มั้ย มันจะดีกว่ามั้ยถ้าช่วงนี้นายจะขับออดี้ไปก่อน แล้วเอาคันนี้มาให้ฉันยืมขับสักพัก?”
“ไม่ดีอ่ะ!”จี้เฟิงตะคอก ออดี้เหมาะกับนายดีออกแต่ถ้าไม่อยากขับแล้วจะคืนมาก็ได้นะ ส่วนรถคันนี้อย่าแม้แต่จะคิดมันไม่ใช่ของฉัน!”
“ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องมีคนขับอยู่ดี!”จางเล่ยพูดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อยแถมยังยื่นมือออกไป “ขอกุญแจหน่อย โชคชะตาได้สั่งให้ฉันมาที่นี่เพื่อมาขับมัน!”
จี้เฟิงยื่นกุญแจรถให้จางเล่ยด้วยอาการตกตะลึงผู้ชายเจ้าอารมณ์คนนี้บางทีก็ทำให้คนอื่นรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ในฐานะอย่างจางเล่ยและตัวตนของตระกูลถงเพียงแค่เขาเอ่ยปากเพียงคำเดียวก็ไม่รู้ว่าจะมีคนรอต่อแถวเพื่อจะส่งมอบรถให้เขากี่คน!
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงก็ยังคงเห็นด้วยที่จะมอบหน้าที่การขับรถให้กับจางเล่ยเพราะถ้าเทียบกับตัวเขาเองแล้วจางเล่ยขับรถได้นุ่มนวลกว่าและแม้จางเล่ยจะดูเป็นคนที่ใจร้อนแต่เขาก็รู้ตัวดีว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ การใช้ของผู้อื่นแล้วทำให้เกิดปัญหาจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อชื่อเสียงของตระกูลถง
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของจี้ช่าวหยินซึ่งตอนนั้นเขาได้กลายเป็นเด็กเสเพลและเรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลจี้อย่างมาก อย่างน้อยที่สุดก็ในเจียงโจว เพราะเมื่อใดที่มีคนกล่าวถึงตระกูลจี้ สิ่งแรกที่ผู้คนจะนึกถึงก็คือจี้เจิ้นกั๋วอาคนที่สองของจี้เฟิงซึ่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลและจี้ช่าวหยินลูกชายผู้ชั่วร้ายอันโด่งดัง!”
“พี่ชายรู้เหรอว่าเราจะไปที่ไหนกัน”ถงเล่ยที่นั่งอยู่ในรถอดไม่ได้ที่จะถาม “ไม่ใช่ว่าจะพาเราหลงนะ!”
จางเล่ยหัวเราะและพูดว่า“ไม่ต้องห่วง ไม่หลงแน่นอน อย่าลืมสิว่าเรามีชาวเจียงโจวแท้ๆอยู่ที่นี่ด้วย!”
เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะยิ้ม“ไปที่ เรดซันเฟอร์นิเจอร์ซิตี้ เฟอร์นิเจอร์ที่นั่นค่อนข้างมีชื่อเสียงในเจียงโจว เกรดไม่สูงเวอร์แต่ก็ไม่ต่ำจนเกินไป ฉันว่ามันเหมาะสำหรับเรา”
จางเล่ยจิ้มไปบนหน้าจอขนาดเล็กภายในรถเพื่อตั้งเป้าหมายเป็นเรดซันเฟอร์นิเจอร์ซิตี้ทันทีจากนั้นก็สตาร์ทรถด้วยความคึกคักดีใจและรถก็ออกตัวไป
ตามที่เซียวหยูซวนได้บอกไว้ราคาเฟอร์นิเจอร์ของเรดซันเฟอร์นิเจอซิตี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับกลางๆ คุณจะสามารถหาซื้อโซฟาได้ในราคาไม่กี่พันหยวนหรือแม้แต่หลายแสนหยวนสำหรับโซฟาชั้นสูงก็มีเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนธรรมดาคุณสามารถเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่คุณพอใจได้ที่นี่
เซียวหยูซวนและถงเล่ยกำลังเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่พวกเธอชอบอย่างละเอียดรอบคอบแต่ในขณะนั้นจางเล่ยก็กระซิบที่ข้างหูของจี้เฟิง “นี่เจ้าบ้า ฉันว่าจะคุยเรื่องนี้กับนายตั้งนานแล้ว นายอยากเห็นพี่ชายคนนี้มีชีวิตที่ดีจนกว่าจะเรียนจบปริญญาตรีหรือเปล่า”
“ยังไง”จี้เฟิงถามอย่างไม่เข้าใจว่าจางเล่ยต้องการจะพูดเรื่องอะไรกันแน่
“เออลืมไปฉันยังไม่ได้เล่าให้นายฟัง” จางเล่ยเกาหัวของเขาจากนั้นก็กัดฟันแล้วพูดว่า “เพื่อนรัก พอดีฉันดันไปตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งแต่ฉันไม่รู้จะคุยกับเธอยังไง แต่ฉันก็ไปสืบมาจนได้รู้ว่าเธอชอบการปิกนิกแล้วบังเอิญที่นายมีรถที่ภายในกว้างขวางและเหมาะสำหรับการออกไปปิกนิก…”
ก่อนที่จางเล่ยจะทันได้พูดจบจี้เฟิงก็พูดขัดจังหวะทันที“เล่ยซือ ครอบครัวของนายเห็นด้วยกับเรื่องที่นายจะมีแฟนในมหาลัยแล้วหรือยัง”
จู่ๆจางเล่ยก็ถึงกับสะอึกจากนั้นก็พูดอย่างหดหู่“ไม่ต้องถามฉันก็เดาได้ว่าคงไม่อนุญาต แต่ไม่เป็นไรตราบใดที่ผลการเรียนของฉันยังดีอยู่ ฉันเชื่อว่าครอบครัวของฉันก็คงจะไม่คัดค้านอะไรมากมาย แต่ยังไงก็ตามมันก็ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้กับพวกเขาในตอนนี้ และฉันก็ยังบอกไม่ได้เลยว่าฉันจะเลือกทางเดินแบบไหนหลังจากเรียนจบ!”
“ถ้าในกรณีนี้ฉันคงไม่สามารถสนับสนุนนายในเรื่องนี้ได้จริงๆ”จี้เฟิงส่ายหัวทันทีและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นายยังไม่กำหนดเส้นทางในอนาคตของตัวเองเลยด้วยซ้ำ แล้วมีเหตุผลอะไรถึงได้ต้องเอาอนาคตของคนอื่นไปเสี่ยงด้วย”
จางเล่ยตกตะลึงทันทีดูเหมือนว่าเขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับปัญหาในเรื่องนี้อย่างจริงๆจังๆสักที
เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของจางเล่ยในตอนนี้จี้เฟิงก็หยุดพูดเขาได้แต่ยิ้มและส่ายหัว เขารู้ดีว่าจางเล่ยไม่ใช่คนโง่แต่บางครั้งเมื่อมีเรื่องบางเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ เขาก็ไม่คิดที่จะทำความเข้าใจกับมัน นี่อาจเป็นทัศนคติที่ชอบหลบเลี่ยงเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาและเป็นหนึ่งในข้อบกพร่องที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดของจางเล่ย
ตัวอย่างเช่นเรื่องของการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเห็นได้ชัดเจนเลยว่าจางเล่ยเป็นคนที่สมองไวและฉลาดมากเขาสามารถเรียนรู้ภาษาต่างประเทศได้เร็วกว่าคนอื่นๆ แต่เป็นเพราะเขาเกลียดภาษาต่างประเทศมาก เขาจึงไม่อยากจะใส่ใจและเลือกที่จะเรียนรู้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
ในแง่หนึ่งที่จี้เฟิงไม่เห็นด้วยนั่นก็เพราะว่าจี้เฟิงไม่ต้องการให้จางเล่ยทำร้ายจิตใจของเด็กสาวไร้เดียงสาคนหนึ่งและเขาก็ยังต้องการให้จางเล่ยค่อยๆกำจัดความคิดเหล่านี้ออกไปและหันมาวางแผนชีวิตในอนาคตของเขาอย่างจริงจัง
ในขณะที่จางเล่ยและจี้เฟิงกำลังหัวเราะและพูดคุยกันทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงของถงเล่ยพูดขึ้นด้วยความโกรธ “นี่มันจะไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ”