The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 256 ลิ่วล้อ
หลังจากส่งเสียงกระซิบเตือนจี้เฟิงแล้วฮั่นรุ่ยเชาก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีกเขาเดินผ่านเลยไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาไม่สามารถออกตัวแรงหรือเตือนจี้เฟิงอย่างโจ่งแจ้งได้ ไม่เช่นนั้นการกระทำของเขาคงเป็นเหตุให้เขาต้องตกงาน
หลังจากได้รับคำเตือนจากฮั่นรุ่ยเชาจี้เฟิงมั่นใจมากขึ้นว่าที่หวังอี้ฉวนพยายามจะรั้งเขากับจางเล่ยให้อยู่ที่นี่ต่อน่าจะได้รับคำสั่งมาอีกทีจากคนอื่น
แต่ถึงจะรู้แบบนี้แล้วจี้เฟิงไม่ได้รีบร้อนที่จะกลับไปปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายในวันนี้จะต้องได้รับการสะสาง ไม่จำเป็นต้องเก็บปัญหาพวกนี้ไปให้ปวดหัวอีกในอนาคต มันเป็นแค่หลักการทางความคิดอย่างง่ายๆและตรงไปตรงมา
“เจ้าบ้าผู้ชายคนเมื่อกี้เขาพยายามจะพูดอะไรกับเรา!” จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะสงสัยและถามขึ้น “เขาไม่ได้มาพูดจากวนตีนอะไรเราใช่ป่ะ?”
จี้เฟิงหัวเราะเบาๆและส่ายหัว“เปล่า อย่าคิดว่าทุกคนจะเลวร้ายไปซะหมดสิ ผู้ชายคนเมื่อกี้มาพูดเตือนเรา!”
ดวงตาของจางเล่ยก็เบิกกว้างขึ้นทันที“เตือนพวกเรา งั้นก็หมายความว่ามีคนกำลังจะมารุมกระทืบพวกเราจริงๆใช่มั้ยเนี่ย?”
“ก่อนที่พวกเขาจะมาฉันก็คงได้แต่เดา”จี้เฟิงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทำไมเราไม่ลองเร่งเร้าดูล่ะ”
จู่ๆจางเล่ยก็เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันทีพวกเขาทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมานานหลายปีและพวกเขาก็ไม่ใช่คนโง่ เพียงแค่คำพูดเล็กๆน้อยและสบตากัน จางเล่ยก็เข้าใจได้ในทันที เขาขยิบตาเล็กน้อยให้จี้เฟิงจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและพูดเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้นกับผู้จัดการคนนั้นหรือเปล่าเนี่ย เห็นขึ้นไปข้างบนนานแล้วไม่ลงมาซักที เรื่องโซฟาช่างมันเถอะ เรากลับกันดีกว่า!”
หากมองเผินๆจางเล่ยดูเหมือนคนที่หมดความอดทนแล้วจริงๆ ลักษณะท่าทางของเขาเหมือนกับลูกคุณหนูผู้ใจร้อนที่ไม่มีความอดทน แม้ในใจของจี้เฟิงจะแอบหัวเราะแต่ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งและกล่าวว่า “ดีเหมือนกัน โซฟาแค่ไม่กี่ตัวไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล!”
ขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังจะออกไปจากร้านพนักงานขายคนหนึ่งก็รีบก้าวมาขวางหน้าพวกเขาไว้และพูดว่า “สุภาพบุรุษทั้งสอง กรุณานั่งรอที่ด้านในก่อน ผู้จัดการของเรากำลังดำเนินการเรื่องการจัดส่งสินค้าให้กับคุณอยู่ โปรดรอสักครู่ น่าจะใช้เวลาอีกไม่นาน”
“ไม่จำเป็น”จางเล่ยโบกมือ “ไปกันเถอะ!”
จู่ๆพนักงานขายก็กระวนกระวายขึ้นมาทันทีแต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรในการที่จะเหนี่ยวรั้งจี้เฟิงกับจางเล่ยไว้ แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งขั้นเด็ดขาดที่ผู้จัดการบอกเอาไว้ว่าถ้าเธอปล่อยให้ลูกค้าสองคนนี้กลับไปเธอจะต้องถูกไล่ออกอย่างแน่นอน
พนักงานขายกัดฟันและก้าวไปดักอยู่ข้างหน้าจี้เฟิงและจางเล่ยอีกครั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ พอพนักงานขายกางแขนออกก็เหมือนเป็นการปิดกั้นทางออกของพวกเขา
“สุภาพบุรุษทั้งสองโปรดรออยู่ที่นี่ก่อน”พนักงานขายพูดด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก “ถ้าพวกคุณสองคนกลับไปตอนนี้ฉันจะต้องถูกผู้จัดการไล่ออกแน่ๆเลย”
สีหน้าของจางเล่ยมืดครึ้มลง“คุณจะถูกไล่ออกหรือไม่ มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเรา แต่สิ่งที่คุณทำอยู่ตอนนี้มันคือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล!”
ความลังเลฉายผ่านแววตาของพนักงานขายออกมาแวบหนึ่งแต่สุดท้ายเธอก็ยังคงไม่หลีกทางให้
คิ้วทั้งสองของจี้เฟิงขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้และเขาถามว่า“แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าผู้จัดการของคุณกำลังโทรหาใครบางคนเพื่อที่จะมาทำร้ายพวกเรา”
พนักงานขายถึงกับผงะมีความตื่นตระหนกอยู่ในแววตาของเธอ เธอสะบัดหัวเหมือนกำลังทิ้งความคิดบางอย่างไปและกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล “พวกคุณอย่ามาพูดล้อเล่นแบบนี้ ผู้จัดการของเรากำลังไปจัดการเรื่องการส่งสินค้าให้พวกคุณอยู่แล้วจู่ๆมันจะกลายเป็นว่าเขาไปโทรหาคนเพื่อมาทำร้ายพวกคุณได้ยังไง!”
“ผู้จัดการของคุณมีจุดประสงค์อะไรฉันว่าคุณก็ควรจะรู้เอาไว้บ้างนะ เพราะถ้ามันเกิดอะไรขึ้นทีหลังคุณจะได้ไม่ต้องมาทำเป็นแกล้งงงแบบนี้อีก!” จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย “ผมไม่รู้หรอกนะว่าจุดประสงค์จริงๆของคุณคืออะไร อาจจะแค่อยากทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาให้ดีที่สุดหรือไม่ก็มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่เหมือนกัน แต่คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าเกิดพวกผมไม่สามารถออกจากที่นี่ได้เพราะการขัดขวางของคุณแล้วมีคนมาทำร้ายพวกผมจนถึงแก่ชีวิตเข้าจริงๆ คุณก็ไม่ต่างจากฆาตกรทางอ้อม!”
แม้จี้เฟิงจะพูดออกมาเช่นนั้นแต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะออกไปจากที่นี่จริงๆเขาและจางเล่ยแค่แสดงละครเพื่อให้หวังอี้ฉวนต้องลนลานและเร่งเร้าคนที่จะมาที่นี่ให้มาเร็วขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามพนักงานหญิงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้มันทำให้จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
พนักงานขายคนนี้เป็นผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบต้นๆเธอมีรูปร่างอวบอ้วนเล็กน้อย ส่วนหน้าตาก็ปกติธรรมดาทั่วไป ลักษณะภายนอกโดยรวมถือได้ว่าอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางล่างถ้าเปรียบเทียบกับหญิงสาวในวัยเดียวกันในเจียงโจว
แต่สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงต้องขมวดคิ้วไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ของเธอแต่เป็นสิ่งที่เธอทำอยู่ตอนนี้ เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะขวางทางเขากับจางเล่ยเพื่อไม่ให้ออกไปจากที่นี่
จี้เฟิงสังเกตเห็นได้จากสีหน้าของพนักงานสาวคนนี้เธอจะต้องรู้ว่าหวังอี้ฉวนไม่ได้ไปดำเนินการจัดส่งสินค้าอย่างที่เขาบอกแต่เขากำลังโทรหาใครสักคน และถึงเธอจะรู้แบบนั้นแทนที่เธอจะมาเตือนพวกเขาแต่เธอเลือกที่จะมาขวางทางพวกเขาแทน นี่คือสิ่งที่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกผิดหวัง
ลองนึกถึงพนักงานอีกคนที่ชื่อฮั่นรุ่ยเชาที่พยายามเดินมาเตือนเขากับจางเล่ยก่อนหน้านี้สามัญสำนึกของแต่ละคนมันไม่ได้อยู่ที่หน้าที่การงานเลยจริงๆ!
แววตาแห่งความอับอายและสีหน้าที่เหมือนพยายามจะดิ้นรนต่อสู้ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของหญิงสาวก่อนที่มันจะหายไปเพียงชั่วพริบตา“คุณลูกค้าท่านนี้คงจะชอบพูดเรื่องตลก ผู้จัดการของเรากำลังดำเนินการจัดส่งสินค้าให้กับคุณอยู่จริงๆ เขาจะมีจุดประสงค์อื่นได้ยังไง และที่ฉันต้องการให้สุภาพบุรุษทั้งสองอยู่ต่อ เพียงเพราะฉันรู้สึกเป็นกังวลว่าคุณทั้งสองจะไม่พอใจกับบริการของเรา ดังนั้นฉันจึงต้องการดูว่ามีอะไรที่สามารถทำให้ลูกค้าทั้งสองพึงพอใจได้มากที่สุด โปรดบอกฉันมาได้เลย!”
“ก็ยังจะไม่สำนึก!”จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย
“หมดทางเยียวยา!”จางเล่ยตะคอกอย่างเย็นชาและถามอย่างเหยียดหยาม “กักขังหน่วงเหนี่ยวเราไว้ที่นี่ คุณจะได้อะไร! เงิน เลื่อนตำแหน่ง? หรืออย่างอื่น?!”
แต่ไม่ว่าจางเล่ยจะพูดอะไรไม่ว่าสีหน้าและน้ำเสียงของเขาจะดูถูกเหยียดหยามมากเพียงใด พนักงานขายคนนี้ก็ไม่มีทีท่าที่จะเปลี่ยนใจ
“ฉันหวังว่าคุณจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองนะ”จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉยแล้วนั่งลงบนโซฟาข้างๆด้วยท่าทีสบายๆ “อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าวันนี้พวกเราสองคนถูกทำร้ายจนแขนขาขาดหรือไม่ก็อาจจะตายไปเลย คุณจะทำยังไง”
หญิงสาวผงะมีความตื่นตระหนกอยู่บนสีหน้าและแววตาของเธอ เธอได้แต่ส่ายหัวเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ไอลีนโนเวล
“กู่ไม่กลับแล้วคนแบบนี้!” จางเล่ยมองเธอด้วยหางตา “ลิ่วล้อที่ทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอย่างเธอมันน่ารังเกียจยิ่งกว่าคนชั่วที่คอยสั่งการเสียอีก!”
พนักงานขายหน้าแดงด้วยความอับอายเธอไม่กล้ามองหน้าจางเล่ยและจี้เฟิงตรงๆ แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งเด็ดขาดของผู้จัดการ เธอก็ไม่กล้าละเลย
จางเล่ยนั่งลงข้างๆจี้เฟิงด้วยอารมณ์โกรธจัดเขากัดฟันและพึมพำ “แถไม่หยุด ขนาดบอกแล้วนะว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าแม่งไม่ใช่ผู้หญิงกูคงงัดหน้าจนร่วงไปกองกับพื้นนานแล้ว!”
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาและจางหย่งเฉียงในฐานะศัตรูไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะใช้วิธีการใดก็ตามมันก็ไม่มีอะไรที่มากเกินไปเพราะยังไงพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นมิตรและไม่จำเป็นที่ต้องมีความเมตตาต่อกัน
แต่นั่นไม่ใช่กับพนักงานขายที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เธอทำให้จางเล่ยโกรธมากจริงๆ
คนนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดประสงค์ของเรื่องนี้คืออะไร แต่เธอก็ยังคงห้ามไม่ให้พวกเขาออกไปจากที่นี่ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!
จี้เฟิงยิ้มอย่างอ่อนใจ“อย่าไปคิดมากเลย มันก็จะต้องมีคนไร้มนุษยธรรมแบบเธออยู่บ้างในโลกนี้ อารมณ์เสียไปก็ไม่ได้อะไร” (ผู้แปล : แร๊งงงง)
“เหอะ!”จางเล่ยตะคอกอย่างเบื่อหน่าย “รู้ป่ะ ฉันล่ะเกลียดคนแบบนี้ที่สุด ก็ฉันจะทำแบบนี้ ฉันได้ผลประโยชน์ ใครจะทำไม ไอ้คนที่คิดแบบนี้มันต้องเป็นคนยังไง จะเสียสละใครก็ได้เพื่อผลประโยชน์อันน้อยนิดของตัวเองแบบนี้อ่ะเหรอ? ฉันขอบอกเลยว่าคนแบบนี้มันน่ารังเกียจยิ่งกว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังจริงๆซะอีก!”
จี้เฟิงชำเลืองมองไปที่พนักงานหญิงเธอยืนก้มหน้าโดยที่ไม่พูดอะไร แต่ยังคงยืนอยู่ที่ทางเดินเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาออกไป
เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเซ่อๆ“ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด ก็คงจะมีแค่เธอนี่แหละที่แน่วแน่ได้ขนาดนี้!”
“เหอะ!”จางเล่ยแค่นเสียงอย่างเหนื่อยใจ เขาก็รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เช่นกัน
จี้เฟิงรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อยหญิงสาวธรรมดาๆที่เป็นแค่พนักงานขายคนหนึ่งไม่น่าจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรระหว่างเธอกับจางหย่งเฉียง
ทำไมถึงต้องมาทนฟังคำพูดจาเยาะเย้ยถากถางจากเขาและเล่ยซืออยู่ได้หรือมีความยากลำบากอย่างอื่นที่เธอต้องเผชิญ… จึงทำให้เธอไม่กล้าจากไป?
เมื่อคิดดูอีกทีจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและส่ายหัวอยู่ในใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่การกระทำโดยตั้งใจที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นก็เป็นสิ่งที่จะต้องจ่ายคืนในราคาที่สาสมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่นักบุญที่ยิ่งใหญ่เขาไม่จำเป็นต้องมานั่งสนใจความทุกข์ความเศร้าของผู้คนจำนวนมากบนโลกใบนี้ อย่างมากการที่เขาไม่สนใจเธอเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ถือว่าเป็นความใจบุญที่สุดแล้ว ส่วนคนอื่น… จี้เฟิงส่ายหัวอย่างหนักแน่นในใจ อย่าหวัง!
……………..
“เฮ้ย!ขับเร็วๆหน่อยดิวะ!” ในรถบูอิคสีดำ จางหย่งเฉียงตะโกนด้วยความโกรธพร้อมกับมีสำลีอยู่ในปากของเขา
คนขับรถตอบกลับด้วยใบหน้าที่ขมขื่น“พี่เฉียง ถนนเส้นนี้มันเล็ก แถมรถก็เยอะขนาดนี้ ขับเร็วมากไม่ได้หรอก ไม่งั้นอาจจะเกิดอุบัติเหตุ!”
“พ่องเหอะ!มึงยังจะห่วงเกิดอุบัติเหตุอีกเหรอวะ! กูกำลังรีบ กูจะไปฆ่าคน มึงเข้าใจมั้ย!” จางหย่งเฉียงมองคนขับรถด้วยสายตาดุดันและพูดด้วยความโกรธแค้น “แล้วถ้ามึงไม่ขับให้เร็วกว่านี้กูก็จะฆ่ามึงด้วย!”
เมื่อมองไปที่ท่าทางอันบ้าคลั่งราวกับหมาบ้าของจางหย่งเฉียงคนขับก็ตัวสั่นทันทีด้วยความตกใจ เขาเหยียบคันเร่งจนมิดและความเร็วของรถก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นจนเกือบจะถึงขีดสุด ท่าทีของจางหย่งเฉียงเบาลงเล็กน้อย หลังจากรถบูอิคสีดำคันนี้เร่งความเร็วขึ้น รถบูอิคเจ็ดถึงแปดคันที่ขับตามมาข้างหลังก็เร่งความเร็วตามไปด้วยเช่นกัน
ผู้คนที่นั่งอยู่ในรถเหล่านี้เป็นอันธพาลที่ติดตามจางหย่งเฉียงมาพวกเขามีกันมากกว่ายี่สิบคน
ความอับอายและความโกรธแค้นที่อยู่ในใจของจางหย่งเฉียงกำลังจะระเบิดออกมาตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยถูกใครทำให้อับอายเช่นนี้ มีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายชนะ
แต่วันนี้เขากลับถูกเด็กที่อายุน้อยกว่ามาทำร้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการถูกทำร้ายที่ทำให้เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
เขาโดนตบจนลอยไปกลางอากาศและล้มลงกับพื้นอย่างแรง!
จางหย่งเฉียงกัดฟันแน่นเมื่อนึกถึงฉากที่เขาต้องวิ่งหนีไปด้วยความอับอายเมื่อถูกจี้เฟิงไล่ตามความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอกแทบจะระเบิดออกมา
แต่ทันใดนั้นเองความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นจากเหงือกของเขาจางหย่งเฉียงพยายามผ่อนลมหายใจเพื่อให้ตัวเองสงบสติลงและใช้แรงที่ปากให้น้อยลง แต่มันก็ยังคงทำให้หน้าของเขาบิดเบี้ยว
ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายผิด!แล้วทำไมฉันจะต้องถูกตบด้วยท่าทางที่น่าอับอายแบบนี้!
มันไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน!
แต่ฉันได้ประสบกับมันเองทั้งหมดในวันนี้!
ยิ่งจางหย่งเฉียงนึกถึงความอัปยศและความอับอายที่ได้รับในเวลานั้นเขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นและบ้าคลั่งอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉันอยากจะรีบไปที่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ให้เร็วที่สุดเพื่อจัดการสะสางบัญชีแค้นไอ้สารเลวสองตัวนั่นฉันจะหักแขนหักขาจนพวกมันต้องรอขอความตายจากนั้นก็โยนพวกมันทิ้งไว้ข้างถนน!
แต่ไม่ใช่แค่ไอ้สองตัวนั้นเท่านั้นยังมีนังผู้หญิงสองคนนั้นด้วยฉันจะไม่ปล่อยพวกมันไปเช่นกันและพวกมันจะต้องรู้ว่าจุดจบของการแสดงท่าทีต่อต้านนายน้อยคนนี้เป็นยังไง!