The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 264 กับดัก
เมื่อจี้เฟิงและจางเล่ยกลับมาถึงวิลล่าเซียวหยูซวนและถงเล่ยที่นั่งรออยู่ก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เพราะตั้งแต่กลับมาถึงบ้านพวกเธอก็นั่งรออย่างใจจดใจจ่อราวกับว่าหัวใจของพวกเธอได้ฝากไว้กับจี้เฟิงทั้งหมดแล้ว พวกเธอรู้สึกเป็นกังวลมากเมื่อคิดว่าจางหย่งเฉียงอาจนำคนกลับมาเพื่อแก้แค้น แต่จี้เฟิงและจางเล่ยไม่ยอมที่จะกลับมาพร้อมกับพวกเธอ
แต่ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาแล้วมันทำให้หญิงสาวทั้งสองผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์เพราะตราบใดที่มีจี้เฟิงอยู่ไม่ว่าจะมีอันตรายมากแค่ไหนพวกเธอก็ไม่หวั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอย่างจางหย่งเฉียงเมื่อเทียบกับจี้เฟิงแล้วเขาก็ไม่ต่างจากเด็กอนุบาล
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเซียวหยูซวนและถงเล่ยจี้เฟิงก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้จมหายไปกับรอยยิ้มนั้นเขาจ้องมองไปยังความงดงามและมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันของทั้งสองสาวอย่างว่างเปล่า
เมื่อทั้งสองสาวถูกจ้องมองแบบนี้พวกเธอก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันทีเซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบอิบ “ทำไมมองโง่ๆอย่างนั้นล่ะ”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“ใครก็ตามที่เห็นคุณผมว่าพวกเขาก็ต้องกลายเป็นคนโง่เช่นกัน”
“ทำเป็นพูดดี!”เซียวหยูซวนมองค้อน เธออยากจะพูดจาล้อเลียนจี้เฟิงอีกสักสองสามคำ แต่เนื่องจากถงเล่ยและจางเล่ยก็อยู่ด้วยเธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ตอนนี้พวกเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดถูกส่งมาถึงแล้วนะ ส่วนเฟอร์นิเจอร์เก่าๆก็ถูกย้ายไปไว้ที่ลานจอดรถเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอให้คุณไปจัดการกับมัน”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามว่า“ใครเป็นคนส่งเฟอร์นิเจอร์มาให้”
“ก็คนที่คุณส่งมาไม่ใช่เหรอ”เซียวหยูซวนถามกลับอย่างงงๆ จี้เฟิงพยักหน้าด้วยความโล่งใจ“ถ้าอย่างนั้นก็โอเค คงเป็นคนของพี่รอง ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งมาจากร้านเฟอร์นิเจอร์โดยตรงผมก็สบายใจ”
ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดเบาๆ“ไม่ต้องห่วง พี่สาวหยูซวนกับฉันทำตามที่นายบอกเป๊ะๆ เราให้พวกเขาวางเฟอร์นิเจอร์ไว้ที่ลานโล่งในเขตที่พักของมหาวิทยาลัย จากนั้นพี่รองของนายก็โทรมาหาฉันและส่งคนไปรับเฟอร์นิเจอร์มาส่งให้ที่นี่”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“อืมโอเค เอาล่ะตอนนี้พวกเฟอร์นิเจอร์เก่าก็ทิ้งไว้แบบนั้นก่อน ไว้ฉันค่อยไปจัดการกับมันทีหลัง วันนี้ฉันไปออกกำลังกายมานิดหน่อยเหงื่อออกเต็มไปหมด ฉันขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน!”
การล้มอันธพาลมากกว่า20 คนในช่วงเวลาสั้นๆและไม่ได้ใช้พลังงานไฟฟ้าชีวภาพเลย จี้เฟิงเพียงแต่อาศัยความแข็งแรงของร่างกายเพียงอย่างเดียว นี่เป็นการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง แน่นอนว่าจะต้องมีเหงื่อออกอย่างช่วยไม่ได้
Rrrrrrr~~!
จี้เฟิงกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นบนแต่จู่ๆก็มีเสียงของโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบออกมาดูแต่ไม่ได้เป็นเบอร์ที่ถูกบันทึกไว้และเขาก็ไม่เคยเห็นเบอร์นี้มาก่อน
“ใครครับ”จี้เฟิงรับโทรศัพท์และถามทันที
ไม่มีเสียงใครพูดจี้เฟิงได้ยินเพียงเสียงลมหายใจดังมาจากปลายสาย
จี้เฟิงตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรและรีบเดินขึ้นไปบนชั้นสองทันที สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังและถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “คุณเป็นใคร ถ้าคุณยังไม่พูดฉันจะวางสาย”
จังหวะการหายใจของอีกฝ่ายฟังดูแปลกๆและแตกต่างจากคนทั่วไปสิ่งนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“คุณเก่งมากที่เอาชนะพี่น้องของฉันได้บางทีพวกเขาคงจะฝึกฝนมาไม่ดีพอ แต่ถ้าสิ่งนี้จะทำให้คุณคิดว่าคุณเป็นคนที่เก่งที่สุดแล้วล่ะก็คุณคิดผิด!” เสียงแหบต่ำของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากโทรศัพท์
“ถ้ามีอะไรอยากจะพูดก็มาพูดกันต่อหน้าฉันล่ะเกลียดที่สุดเลยไอ้พวกที่หดหัวแต่โชว์หางเนี่ย” จี้เฟิงยังคาดเดาไม่ออกว่าตัวตนของอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เขาก็ไม่ได้เปิดเผยอาการผิดปกติหรือความประหลาดใจใดๆออกมา เขายังคงตอบโต้อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าคุณโทรมาเพียงเพื่อจะพูดเรื่องไร้สาระ ฉันขอแนะนำว่าคุณเอาเวลาไปฝึกฝนตัวเองน่าจะดีกว่า การทำแบบนี้นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้วมันยังเป็นการแสดงออกให้เห็นว่าคุณไม่เคารพตัวเองเลย”
“จี้เฟิง!ลองพูดจาอวดดีแบบนี้ต่อหน้าฉันดูสิ!” เสียงของอีกฝ่ายเริ่มที่จะหงุดหงิดขึ้น “คุณจะต้องจ่ายสำหรับความจองหองของคุณอย่างสาสม!”
“ให้พูดต่อหน้าเหรอ….”จี้เฟิงยิ้มอย่างเย็นชา “บอกเวลาและสถานที่มาได้เลย!”
เกิดความเงียบในโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งจากนั้นสายก็ถูกตัดไป
“เหอะ!”จี้เฟิงแค่นเสียงอย่างดูถูก “กล้าโทรมาแต่ไม่กล้าเผชิญหน้างั้นเหรอ!”
จี้เฟิงเดินเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและกำลังจะเข้าห้องน้ำแต่จู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบมันขึ้นมาดูและพบว่ามันเป็นหมายเลขเดียวกันกับเมื่อกี้เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นคนเดิมโทรมา
จี้เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็กดรับ“ความอดทนของฉันมีจำกัด อย่าทำให้ตัวคุณเองดูทุเรศไปกว่านี้!”
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงก็แตะไปที่หน้าจอโทรศัพท์สองสามครั้งและทันใดนั้นแผนที่ของเจียงโจวก็ปรากฏขึ้นแต่ภาพมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากมีคนที่คุ้นเคยอยู่ที่นี่เวลานี้เขาก็คงจะบอกได้ว่านี่คือระบบติดตามดาวเทียม โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้จี้เฟิงได้รับมาจากจี้เจิ้นผิงอาคนที่สามของเขามันเป็นโทรศัพท์มือถือพิเศษที่ใช้ในทางการทหาร มันมีประสิทธิภาพในแง่ของการรักษาความลับรวมถึงมีฟังก์ชันสำคัญอื่นๆ และในตอนนี้จี้เฟิงได้เปิดใช้งานระบบติดตามแล้ว
ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถรู้เบอร์โทรศัพท์ของเขาแล้วถ้าหากว่าเขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย มันก็คงจะเป็นความล้มเหลวที่ยากจะรับได้จริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เฟิงเสียงหายใจของอีกฝ่ายก็แสดงให้จี้เฟิงได้รู้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังระงับความโกรธอยู่ “อีกสามวัน เวลา 4 ทุ่มที่โรงงานเคมีร้างย่านชานเมืองทางฝั่งตะวันตกของเจียงโจว แล้วคุณจะได้รู้ว่าคุณจะต้องจ่ายค่าความโอหังของคุณแพงแค่ไหน!”
จี้เฟิงไม่ได้ตอบอะไรออกไปเขาเพียงแต่จ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์เพื่อดูผลการติดตาม
อีกฝ่ายคิดว่าที่จี้เฟิงไม่พูดอะไรออกมาเป็นเพราะจี้เฟิงเริ่มที่จะหวาดกลัวเมื่อเจอของจริงเขาจึงตะโกนอย่างได้ใจขึ้นมาทันที“จี้เฟิง.. เงียบทำไม กลัวเหรอ? ถ้าคุณกลัวจริงๆฉันจะไปบอกพี่น้องของฉันให้พวกเขาพิจารณาเรื่องที่…”
จี้เฟิงยังคงไม่พูดอะไรแม้ว่าโทรศัพท์เครื่องนี้จะถูกผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ทางการทหาร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะติดตามคนคนหนึ่งจากหมายเลขโทรศัพท์ให้ได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ตอนนี้จี้เฟิงรู้เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายอยู่ในเขตปกครองของเจียงโจว แต่ยังไม่พบตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจง
“ทำไมอย่าบอกนะว่ากลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะพูด? ฮ่าฮ่าๆ…!” เสียงที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์หัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ
จี้เฟิงยิ้มจางๆที่มุมปาก“ฉันแค่จะให้โอกาสคุณได้พูด ก่อนที่จะไม่มีโอกาส!”
“ปี๊บ!”
เสียงเตือนจากโทรศัพท์ของจี้เฟิงดังขึ้นเบาๆจากนั้นก็มีจุดสีแดงเล็กๆกะพริบอย่างต่อเนื่องบนหน้าจอ
“ทำไมเราไม่เจอกันวันนี้เลยล่ะ”จี้เฟิงยิ้มทันที “บอกสถานที่อยู่ปัจจุบันของคุณมา หรือจะให้ฉันสืบหาเอาเองดีล่ะ?!”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ถึงกับผงะแต่เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็กลับมาหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า“ฉันรู้ว่าตระกูลของคุณมีอำนาจมากในเจียงโจว แต่การจะหาที่อยู่ของฉันในตอนนี้… หึหึ! คุณคงไม่มีปัญญา!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและกดวางสายโทรศัพท์ไป ไอลีนโนเวล
“ไม่มีปัญญาเหรอ”จี้เฟิงจ้องไปที่จุดสีแดงเล็กๆบนหน้าจอโทรศัพท์ ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงและมีแสงเย็นวาบฉายออกมาจากดวงตาเขา แต่จู่ๆความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป
ตั้งแต่รู้ว่าเฉียวหรงและผู้ติดตามได้เดินทางมาที่เจียงโจวจี้เฟิงก็พอจะคาดเดาไว้อยู่บ้างแล้วว่าไม่ช้าก็เร็วพวกนั้นจะต้องมาหาเขา แม้ว่าตอนนี้เฉียวเจียไคและคนอื่นๆจะยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแต่พวกเขาก็ยังคงได้ชื่อว่าเป็นผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่า และหลังจากที่พวกเขาออกจากโรงพยาบาลพวกเขาก็จะต้องรอรับการพิจารณาคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย
หลักฐานจากกล้องวงจรปิดยังอยู่ในมือของเขารวมถึงคำให้การของหลี่เว่ยตงในตอนที่พวกเขาต่อสู้กันภายใต้หลักฐานเหล่านี้ตำรวจจะต้องปฏิบัติอย่างเป็นกลางและเฉียวหรงก็จะไม่สามารถแก้ตัวให้กับลูกชายของเธอได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีเส้นสายใหญ่คับฟ้ามากแค่ไหนก็ตาม
และถ้าเฉียวหรงต้องการจะช่วยเฉียวเจียไคและคนอื่นๆเธอจะต้องมาอ้อนวอนขอร้องตระกูลจี้ แต่ด้วยลักษณะนิสัยของเธอจึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะยอมก้มหัวให้กับตระกูลจี้ง่ายๆ ดังนั้นเธอจะต้องคิดหาวิธีอื่นอย่างแน่นอน
คนที่เพิ่งโทรหาจี้เฟิงเมื่อครู่นี้พูดถึงพี่น้องของเขาที่พ่ายแพ้ให้แก่จี้เฟิงมีความเป็นไปได้สูงว่าคนคนนี้น่าจะเป็นพวกเดียวกับเฉียวเจียไคหรือเป็นคนในสำนักเดียวกันกับจูหยงเต๋าและคนอื่นๆ
จี้เฟิงไม่แน่ใจว่าเฉียวหรงเป็นคนสั่งให้เขาโทรติดต่อมาหรือเขาตัดสินใจทำมันด้วยตัวเอง
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกดโทรออกไปยังหมายเลขของจี้เจิ้นกั๋วอาคนที่สองของเขาทันที
“เสี่ยวเฟิงเกิดอะไรขึ้น” จี้เจิ้นกั๋วรับสายและกล่าวไม่กี่คำ จากนั้นพวกเขาก็คุยเข้าประเด็นกันทันที
“อาสองเมื่อครู่นี้ผมได้รับสาย…”เขาเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ของเขากับจางหย่งเฉียงอย่างรวดเร็วรวมถึงเรื่องของสายที่เขาเพิ่งได้รับ “อาสองพอจะรู้หรือเปล่าว่าเฉียวหรงและคนอื่นๆ ตอนนี้พวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน”
จี้เจิ้นกั๋วเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวว่า“เธอทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ส่วนเรื่องเฉียวหรง ตั้งแต่ที่เธอมาที่เจียงโจวเธอไปเยี่ยมลูกชายที่โรงพยาบาลเพียงครั้งเดียวจากนั้นก็เช็คอินที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเธอไม่ได้อาศัยอยู่ที่โรงแรมนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะมีผู้ที่เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้อยู่กับเธอด้วย คนที่เราส่งไปตรวจสอบหลังจากส่งข้อมูลมาในวันแรกเขาก็หายสาบสูญไป”
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจี้เจิ้นกั๋วก็กล่าวต่อว่า“เสี่ยวเฟิง แม้ว่าเธอจะรู้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนแต่อย่าทำอะไรผลีผลามโดยเด็ดขาด ส่วนอาก็จะไม่ส่งคนไปคอยสำรวจพวกเขาอีกต่อไป ตำรวจธรรมดาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลย”
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปครับ”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถาม
“รอ!ตอนนี้เราต้องรอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!” จี้เจิ้นกั๋วกล่าว “เมื่อเฉียวเจียไคและคนอื่นๆออกจากโรงพยาบาล เฉียวหรงจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแน่นอน แม้ว่าตอนนี้เราจะรู้ที่อยู่ของพวกเขา แต่เราก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆกับพวกเขาได้” “งั้นผมจะทำตามที่อาสองบอก”จี้เฟิงตอบ
อันที่จริงจี้เฟิงมีแผนอื่นอยู่ในใจที่คิดไว้แต่แรกมันเป็นปัญหาจริงๆที่จะจัดการกับเฉียวเจียไค เพราะตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เขายังมีเซียวหยูซวนและถงเล่ยอยู่ข้างๆ หากวันหนึ่งเฉียวเจียไคโกรธจนขาดสติและใช้วิธีทำร้ายคนรอบข้างของเขา เมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะสายเกินไปที่จะมานึกเสียใจที่ตัดสินใจทำอะไรโดยไม่คิด
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะแก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีของเขาเองแต่ในเมื่อตอนนี้อาสองได้บอกให้เขารอไปก่อน จี้เฟิงจึงตัดสินใจที่จะเชื่ออาสองและรอดูอีกหน่อย เพราะดูจากเวลาแล้วคงอีกไม่นานที่เฉียวเจียไคและคนอื่นๆจะได้ออกจากโรงพยาบาล
หลังจากวางสายจากอาสองจี้เฟิงก็ส่ายหัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาคงจะต้องเบี้ยวนัด
ในสายตาของอีกฝ่ายฉันคงจะกลายเป็นไอ้ขี้ขลาดสินะ!
จี้เฟิงได้แต่ยิ้มแห้งๆถ้ามองในแง่ดีมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ถ้าอีกฝ่ายจะไม่เห็นฉันอยู่ในสายตา การประเมินศัตรูต่ำเกินไปถือเป็นเรื่องต้องห้าม!
“คนพวกนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่พวกเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนักฝึกวิชาวิทยายุทธ์จริงๆน่ะเหรอ” นี่เป็นคำถามที่ยังคงค้างคาใจจี้เฟิงมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็นคนที่ฉันเห็นที่ร้านน้ำชาหรือพวกของจูหยงเต๋าที่ฉันต่อสู้ด้วยที่หลินจิงคลับเฮ้าส์เทคนิคการต่อสู้ของพวกเขาดูแปลกมากมันไม่เหมือนกับทักษะการต่อสู้ของทหารหรือศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิม มันคืออะไรกันแน่!
ในเวลานี้ในโรงแรมระดับกลางแห่งหนึ่งในเขตการปกครองของเจียงโจวชายหนุ่มคนหนึ่งวางสายโทรศัพท์พร้อมกับมีร่องรอยแห่งชัยชนะอยู่ในดวงตาของเขา
“ฉันหวังว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังฉันพยายามพูดถ่วงเวลาอย่างเต็มที่แล้วถ้าคุณยังไม่สามารถติดตามที่อยู่จากโทรศัพท์ของฉันได้คุณก็ไม่สมควรที่จะเป็นหลานชายของจี้เจิ้นผิง!” ชายหนุ่มยิ้ม “ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณจะกล้าพอหรือจะยังรอเวลาอีกสามวันราวกับคนโง่เขลา!”
เพราะตั้งแต่กลับมาถึงบ้านพวกเธอก็นั่งรออย่างใจจดใจจ่อราวกับว่าหัวใจของพวกเธอได้ฝากไว้กับจี้เฟิงทั้งหมดแล้ว พวกเธอรู้สึกเป็นกังวลมากเมื่อคิดว่าจางหย่งเฉียงอาจนำคนกลับมาเพื่อแก้แค้น แต่จี้เฟิงและจางเล่ยไม่ยอมที่จะกลับมาพร้อมกับพวกเธอ
แต่ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาแล้วมันทำให้หญิงสาวทั้งสองผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์เพราะตราบใดที่มีจี้เฟิงอยู่ไม่ว่าจะมีอันตรายมากแค่ไหนพวกเธอก็ไม่หวั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอย่างจางหย่งเฉียงเมื่อเทียบกับจี้เฟิงแล้วเขาก็ไม่ต่างจากเด็กอนุบาล
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเซียวหยูซวนและถงเล่ยจี้เฟิงก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้จมหายไปกับรอยยิ้มนั้นเขาจ้องมองไปยังความงดงามและมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันของทั้งสองสาวอย่างว่างเปล่า
เมื่อทั้งสองสาวถูกจ้องมองแบบนี้พวกเธอก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันทีเซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบอิบ “ทำไมมองโง่ๆอย่างนั้นล่ะ”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“ใครก็ตามที่เห็นคุณผมว่าพวกเขาก็ต้องกลายเป็นคนโง่เช่นกัน”
“ทำเป็นพูดดี!”เซียวหยูซวนมองค้อน เธออยากจะพูดจาล้อเลียนจี้เฟิงอีกสักสองสามคำ แต่เนื่องจากถงเล่ยและจางเล่ยก็อยู่ด้วยเธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ตอนนี้พวกเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดถูกส่งมาถึงแล้วนะ ส่วนเฟอร์นิเจอร์เก่าๆก็ถูกย้ายไปไว้ที่ลานจอดรถเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอให้คุณไปจัดการกับมัน”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามว่า“ใครเป็นคนส่งเฟอร์นิเจอร์มาให้”
“ก็คนที่คุณส่งมาไม่ใช่เหรอ”เซียวหยูซวนถามกลับอย่างงงๆ จี้เฟิงพยักหน้าด้วยความโล่งใจ“ถ้าอย่างนั้นก็โอเค คงเป็นคนของพี่รอง ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งมาจากร้านเฟอร์นิเจอร์โดยตรงผมก็สบายใจ”
ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดเบาๆ“ไม่ต้องห่วง พี่สาวหยูซวนกับฉันทำตามที่นายบอกเป๊ะๆ เราให้พวกเขาวางเฟอร์นิเจอร์ไว้ที่ลานโล่งในเขตที่พักของมหาวิทยาลัย จากนั้นพี่รองของนายก็โทรมาหาฉันและส่งคนไปรับเฟอร์นิเจอร์มาส่งให้ที่นี่”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“อืมโอเค เอาล่ะตอนนี้พวกเฟอร์นิเจอร์เก่าก็ทิ้งไว้แบบนั้นก่อน ไว้ฉันค่อยไปจัดการกับมันทีหลัง วันนี้ฉันไปออกกำลังกายมานิดหน่อยเหงื่อออกเต็มไปหมด ฉันขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน!”
การล้มอันธพาลมากกว่า20 คนในช่วงเวลาสั้นๆและไม่ได้ใช้พลังงานไฟฟ้าชีวภาพเลย จี้เฟิงเพียงแต่อาศัยความแข็งแรงของร่างกายเพียงอย่างเดียว นี่เป็นการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง แน่นอนว่าจะต้องมีเหงื่อออกอย่างช่วยไม่ได้
Rrrrrrr~~!
จี้เฟิงกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นบนแต่จู่ๆก็มีเสียงของโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบออกมาดูแต่ไม่ได้เป็นเบอร์ที่ถูกบันทึกไว้และเขาก็ไม่เคยเห็นเบอร์นี้มาก่อน
“ใครครับ”จี้เฟิงรับโทรศัพท์และถามทันที
ไม่มีเสียงใครพูดจี้เฟิงได้ยินเพียงเสียงลมหายใจดังมาจากปลายสาย
จี้เฟิงตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรและรีบเดินขึ้นไปบนชั้นสองทันที สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังและถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “คุณเป็นใคร ถ้าคุณยังไม่พูดฉันจะวางสาย”
จังหวะการหายใจของอีกฝ่ายฟังดูแปลกๆและแตกต่างจากคนทั่วไปสิ่งนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“คุณเก่งมากที่เอาชนะพี่น้องของฉันได้บางทีพวกเขาคงจะฝึกฝนมาไม่ดีพอ แต่ถ้าสิ่งนี้จะทำให้คุณคิดว่าคุณเป็นคนที่เก่งที่สุดแล้วล่ะก็คุณคิดผิด!” เสียงแหบต่ำของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากโทรศัพท์
“ถ้ามีอะไรอยากจะพูดก็มาพูดกันต่อหน้าฉันล่ะเกลียดที่สุดเลยไอ้พวกที่หดหัวแต่โชว์หางเนี่ย” จี้เฟิงยังคาดเดาไม่ออกว่าตัวตนของอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เขาก็ไม่ได้เปิดเผยอาการผิดปกติหรือความประหลาดใจใดๆออกมา เขายังคงตอบโต้อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าคุณโทรมาเพียงเพื่อจะพูดเรื่องไร้สาระ ฉันขอแนะนำว่าคุณเอาเวลาไปฝึกฝนตัวเองน่าจะดีกว่า การทำแบบนี้นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้วมันยังเป็นการแสดงออกให้เห็นว่าคุณไม่เคารพตัวเองเลย”
“จี้เฟิง!ลองพูดจาอวดดีแบบนี้ต่อหน้าฉันดูสิ!” เสียงของอีกฝ่ายเริ่มที่จะหงุดหงิดขึ้น “คุณจะต้องจ่ายสำหรับความจองหองของคุณอย่างสาสม!”
“ให้พูดต่อหน้าเหรอ….”จี้เฟิงยิ้มอย่างเย็นชา “บอกเวลาและสถานที่มาได้เลย!”
เกิดความเงียบในโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งจากนั้นสายก็ถูกตัดไป
“เหอะ!”จี้เฟิงแค่นเสียงอย่างดูถูก “กล้าโทรมาแต่ไม่กล้าเผชิญหน้างั้นเหรอ!”
จี้เฟิงเดินเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและกำลังจะเข้าห้องน้ำแต่จู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบมันขึ้นมาดูและพบว่ามันเป็นหมายเลขเดียวกันกับเมื่อกี้เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นคนเดิมโทรมา
จี้เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็กดรับ“ความอดทนของฉันมีจำกัด อย่าทำให้ตัวคุณเองดูทุเรศไปกว่านี้!”
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงก็แตะไปที่หน้าจอโทรศัพท์สองสามครั้งและทันใดนั้นแผนที่ของเจียงโจวก็ปรากฏขึ้นแต่ภาพมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากมีคนที่คุ้นเคยอยู่ที่นี่เวลานี้เขาก็คงจะบอกได้ว่านี่คือระบบติดตามดาวเทียม โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้จี้เฟิงได้รับมาจากจี้เจิ้นผิงอาคนที่สามของเขามันเป็นโทรศัพท์มือถือพิเศษที่ใช้ในทางการทหาร มันมีประสิทธิภาพในแง่ของการรักษาความลับรวมถึงมีฟังก์ชันสำคัญอื่นๆ และในตอนนี้จี้เฟิงได้เปิดใช้งานระบบติดตามแล้ว
ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถรู้เบอร์โทรศัพท์ของเขาแล้วถ้าหากว่าเขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย มันก็คงจะเป็นความล้มเหลวที่ยากจะรับได้จริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เฟิงเสียงหายใจของอีกฝ่ายก็แสดงให้จี้เฟิงได้รู้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังระงับความโกรธอยู่ “อีกสามวัน เวลา 4 ทุ่มที่โรงงานเคมีร้างย่านชานเมืองทางฝั่งตะวันตกของเจียงโจว แล้วคุณจะได้รู้ว่าคุณจะต้องจ่ายค่าความโอหังของคุณแพงแค่ไหน!”
จี้เฟิงไม่ได้ตอบอะไรออกไปเขาเพียงแต่จ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์เพื่อดูผลการติดตาม
อีกฝ่ายคิดว่าที่จี้เฟิงไม่พูดอะไรออกมาเป็นเพราะจี้เฟิงเริ่มที่จะหวาดกลัวเมื่อเจอของจริงเขาจึงตะโกนอย่างได้ใจขึ้นมาทันที“จี้เฟิง.. เงียบทำไม กลัวเหรอ? ถ้าคุณกลัวจริงๆฉันจะไปบอกพี่น้องของฉันให้พวกเขาพิจารณาเรื่องที่…”
จี้เฟิงยังคงไม่พูดอะไรแม้ว่าโทรศัพท์เครื่องนี้จะถูกผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ทางการทหาร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะติดตามคนคนหนึ่งจากหมายเลขโทรศัพท์ให้ได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ตอนนี้จี้เฟิงรู้เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายอยู่ในเขตปกครองของเจียงโจว แต่ยังไม่พบตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจง
“ทำไมอย่าบอกนะว่ากลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะพูด? ฮ่าฮ่าๆ…!” เสียงที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์หัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ
จี้เฟิงยิ้มจางๆที่มุมปาก“ฉันแค่จะให้โอกาสคุณได้พูด ก่อนที่จะไม่มีโอกาส!”
“ปี๊บ!”
เสียงเตือนจากโทรศัพท์ของจี้เฟิงดังขึ้นเบาๆจากนั้นก็มีจุดสีแดงเล็กๆกะพริบอย่างต่อเนื่องบนหน้าจอ
“ทำไมเราไม่เจอกันวันนี้เลยล่ะ”จี้เฟิงยิ้มทันที “บอกสถานที่อยู่ปัจจุบันของคุณมา หรือจะให้ฉันสืบหาเอาเองดีล่ะ?!”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ถึงกับผงะแต่เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็กลับมาหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า“ฉันรู้ว่าตระกูลของคุณมีอำนาจมากในเจียงโจว แต่การจะหาที่อยู่ของฉันในตอนนี้… หึหึ! คุณคงไม่มีปัญญา!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและกดวางสายโทรศัพท์ไป ไอลีนโนเวล
“ไม่มีปัญญาเหรอ”จี้เฟิงจ้องไปที่จุดสีแดงเล็กๆบนหน้าจอโทรศัพท์ ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงและมีแสงเย็นวาบฉายออกมาจากดวงตาเขา แต่จู่ๆความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป
ตั้งแต่รู้ว่าเฉียวหรงและผู้ติดตามได้เดินทางมาที่เจียงโจวจี้เฟิงก็พอจะคาดเดาไว้อยู่บ้างแล้วว่าไม่ช้าก็เร็วพวกนั้นจะต้องมาหาเขา แม้ว่าตอนนี้เฉียวเจียไคและคนอื่นๆจะยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแต่พวกเขาก็ยังคงได้ชื่อว่าเป็นผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่า และหลังจากที่พวกเขาออกจากโรงพยาบาลพวกเขาก็จะต้องรอรับการพิจารณาคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย
หลักฐานจากกล้องวงจรปิดยังอยู่ในมือของเขารวมถึงคำให้การของหลี่เว่ยตงในตอนที่พวกเขาต่อสู้กันภายใต้หลักฐานเหล่านี้ตำรวจจะต้องปฏิบัติอย่างเป็นกลางและเฉียวหรงก็จะไม่สามารถแก้ตัวให้กับลูกชายของเธอได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีเส้นสายใหญ่คับฟ้ามากแค่ไหนก็ตาม
และถ้าเฉียวหรงต้องการจะช่วยเฉียวเจียไคและคนอื่นๆเธอจะต้องมาอ้อนวอนขอร้องตระกูลจี้ แต่ด้วยลักษณะนิสัยของเธอจึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะยอมก้มหัวให้กับตระกูลจี้ง่ายๆ ดังนั้นเธอจะต้องคิดหาวิธีอื่นอย่างแน่นอน
คนที่เพิ่งโทรหาจี้เฟิงเมื่อครู่นี้พูดถึงพี่น้องของเขาที่พ่ายแพ้ให้แก่จี้เฟิงมีความเป็นไปได้สูงว่าคนคนนี้น่าจะเป็นพวกเดียวกับเฉียวเจียไคหรือเป็นคนในสำนักเดียวกันกับจูหยงเต๋าและคนอื่นๆ
จี้เฟิงไม่แน่ใจว่าเฉียวหรงเป็นคนสั่งให้เขาโทรติดต่อมาหรือเขาตัดสินใจทำมันด้วยตัวเอง
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกดโทรออกไปยังหมายเลขของจี้เจิ้นกั๋วอาคนที่สองของเขาทันที
“เสี่ยวเฟิงเกิดอะไรขึ้น” จี้เจิ้นกั๋วรับสายและกล่าวไม่กี่คำ จากนั้นพวกเขาก็คุยเข้าประเด็นกันทันที
“อาสองเมื่อครู่นี้ผมได้รับสาย…”เขาเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ของเขากับจางหย่งเฉียงอย่างรวดเร็วรวมถึงเรื่องของสายที่เขาเพิ่งได้รับ “อาสองพอจะรู้หรือเปล่าว่าเฉียวหรงและคนอื่นๆ ตอนนี้พวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน”
จี้เจิ้นกั๋วเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวว่า“เธอทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ส่วนเรื่องเฉียวหรง ตั้งแต่ที่เธอมาที่เจียงโจวเธอไปเยี่ยมลูกชายที่โรงพยาบาลเพียงครั้งเดียวจากนั้นก็เช็คอินที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเธอไม่ได้อาศัยอยู่ที่โรงแรมนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะมีผู้ที่เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้อยู่กับเธอด้วย คนที่เราส่งไปตรวจสอบหลังจากส่งข้อมูลมาในวันแรกเขาก็หายสาบสูญไป”
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจี้เจิ้นกั๋วก็กล่าวต่อว่า“เสี่ยวเฟิง แม้ว่าเธอจะรู้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนแต่อย่าทำอะไรผลีผลามโดยเด็ดขาด ส่วนอาก็จะไม่ส่งคนไปคอยสำรวจพวกเขาอีกต่อไป ตำรวจธรรมดาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลย”
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปครับ”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถาม
“รอ!ตอนนี้เราต้องรอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!” จี้เจิ้นกั๋วกล่าว “เมื่อเฉียวเจียไคและคนอื่นๆออกจากโรงพยาบาล เฉียวหรงจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแน่นอน แม้ว่าตอนนี้เราจะรู้ที่อยู่ของพวกเขา แต่เราก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆกับพวกเขาได้” “งั้นผมจะทำตามที่อาสองบอก”จี้เฟิงตอบ
อันที่จริงจี้เฟิงมีแผนอื่นอยู่ในใจที่คิดไว้แต่แรกมันเป็นปัญหาจริงๆที่จะจัดการกับเฉียวเจียไค เพราะตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เขายังมีเซียวหยูซวนและถงเล่ยอยู่ข้างๆ หากวันหนึ่งเฉียวเจียไคโกรธจนขาดสติและใช้วิธีทำร้ายคนรอบข้างของเขา เมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะสายเกินไปที่จะมานึกเสียใจที่ตัดสินใจทำอะไรโดยไม่คิด
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะแก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีของเขาเองแต่ในเมื่อตอนนี้อาสองได้บอกให้เขารอไปก่อน จี้เฟิงจึงตัดสินใจที่จะเชื่ออาสองและรอดูอีกหน่อย เพราะดูจากเวลาแล้วคงอีกไม่นานที่เฉียวเจียไคและคนอื่นๆจะได้ออกจากโรงพยาบาล
หลังจากวางสายจากอาสองจี้เฟิงก็ส่ายหัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาคงจะต้องเบี้ยวนัด
ในสายตาของอีกฝ่ายฉันคงจะกลายเป็นไอ้ขี้ขลาดสินะ!
จี้เฟิงได้แต่ยิ้มแห้งๆถ้ามองในแง่ดีมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ถ้าอีกฝ่ายจะไม่เห็นฉันอยู่ในสายตา การประเมินศัตรูต่ำเกินไปถือเป็นเรื่องต้องห้าม!
“คนพวกนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่พวกเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนักฝึกวิชาวิทยายุทธ์จริงๆน่ะเหรอ” นี่เป็นคำถามที่ยังคงค้างคาใจจี้เฟิงมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็นคนที่ฉันเห็นที่ร้านน้ำชาหรือพวกของจูหยงเต๋าที่ฉันต่อสู้ด้วยที่หลินจิงคลับเฮ้าส์เทคนิคการต่อสู้ของพวกเขาดูแปลกมากมันไม่เหมือนกับทักษะการต่อสู้ของทหารหรือศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิม มันคืออะไรกันแน่!
ในเวลานี้ในโรงแรมระดับกลางแห่งหนึ่งในเขตการปกครองของเจียงโจวชายหนุ่มคนหนึ่งวางสายโทรศัพท์พร้อมกับมีร่องรอยแห่งชัยชนะอยู่ในดวงตาของเขา
“ฉันหวังว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังฉันพยายามพูดถ่วงเวลาอย่างเต็มที่แล้วถ้าคุณยังไม่สามารถติดตามที่อยู่จากโทรศัพท์ของฉันได้คุณก็ไม่สมควรที่จะเป็นหลานชายของจี้เจิ้นผิง!” ชายหนุ่มยิ้ม “ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณจะกล้าพอหรือจะยังรอเวลาอีกสามวันราวกับคนโง่เขลา!”