The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 287 เหตุฉุกเฉิน
ก่อนตัดสินใจไปที่บ้านของครอบครัวเซียวเซียวหยูซวนได้โทรไปแจ้งที่บ้านของเธอไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
แม่ของเซียวหยูซวนดีใจทันทีเมื่อรู้ว่าจี้เฟิงกำลังมา
สำหรับจี้เฟิงลูกเขยในอนาคตทั้งเซียวฉางเหอและภรรยาต่างก็พึงพอใจในตัวจี้เฟิงเป็นอย่างมาก แม้เขาจะมาจากตระกูลที่ร่ำรวยแต่เขาไม่มีความเย่อหยิ่งจองหองเหมือนอย่างที่ลูกคนรวยส่วนใหญ่เป็น ต่อมาเมื่อทั้งเซียวฉางเหอและภรรยาได้รู้จักจี้เฟิงมากขึ้นจากการแนะนำของเซียวหยูซวนพวกเขาก็ถึงกับรู้สึกทึ่งยิ่งไปกว่าเดิม
ว่ากันว่าเด็กที่เติบโตมาพร้อมกับความยากจนจะรู้จักรับผิดชอบและมีความเป็นผู้ใหญ่ว่ากว่าเด็กในวัยเดียวกันทั่วๆไปและจี้เฟิงก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
สำหรับลูกเขยที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้จะเป็นที่พึงพอใจของพ่อตาแม่ยายในอนาคตก็ไม่แปลก ดังนั้นในตอนเช้าตรู่ แม่ของเซียวหยูซวนจึงรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปตลาดและไปซื้อวัตถุดิบอย่างดีเพื่อมาเตรียมอาหารไว้รอจี้เฟิงและลูกสาวของเธอ
สำหรับความกระตือรือร้นของภรรยาเซียวฉางเหอผู้มีบุคลิกสงบนิ่งใจเย็นเพียงแค่มองดูด้วยรอยยิ้ม และเมื่อใดที่เขาเห็นว่าภรรยาของเขายุ่งเกินไป เขาจะตามไปช่วยเหลือข้างๆในทันที
“เฒ่าเซียวล้างปลาตัวนี้ให้หน่อยสิ” นางเซียวยื่นปลาที่เพิ่งซื้อมาให้สามีของเธอ “ระวังอย่าให้น้ำดีแตกล่ะ เดี๋ยวปลาจะขมเกินจนกินไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ซวนซวนกับเสี่ยวเฟิงมาที่บ้านเราอย่างเป็นทางการ คุณอย่าให้พวกเขาต้องกินปลาขมๆเชียวนะ!”
“โอเคๆเธอไม่ต้องห่วง ทำอย่างกับไม่รู้จักฝีมือทำอาหารของฉันอย่างนั้นแหละ ฮ่าฮ่า!” เซียวฉางเหออดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมกับรับปลามาจากมือของภรรยาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อสมัยที่เซียวฉางเหอยังหนุ่มๆเขาเคยทำงานที่ร้านอาหารมาก่อนและได้ฝึกปรือฝีมือการทำอาหารกับเชฟของร้านอยู่หลายปี ดังนั้นถ้าเป็นอาหารประเภทที่ยุ่งยากวุ่นวายนิดหน่อยเซียวมู่ก็จะปล่อยให้เซียวฉางเหอเป็นคนจัดการ
“ไหนๆก็ได้โอกาสแสดงฝีมือทำอาหารจริงๆจังๆทั้งทีทำไมคุณไม่รับหน้าที่ทำอาหารในวันนี้ไปเลย แล้วฉันจะคอยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆเอง” เซียวมู่พูดด้วยรอยยิ้ม
เซียวฉางเหอยิ้มและพยักหน้ารับ“ไม่มีปัญหา ฉันลงมือเอง!”
สองสามีภรรยาพูดคุยกันอย่างสบายๆในขณะที่จัดการอาหารต่างๆ
เขามองดูภรรยาของตัวเองกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมอาหารและเห็นว่าเธอเริ่มมีผมหงอกขาวขึ้นแซมบ้างแล้ว เซียวฉางเหอก็ยิ้มเล็กน้อย เมื่อลูกสาวของเขาเติบโต ก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องแต่งงาน…. นอกจากนี้ลูกเขยในอนาคตก็ยังเป็นชายหนุ่มที่ดี เซียวฉางเหอพึงพอใจมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเขาและภรรยานั้นแก่แล้วจริงๆ
เมื่อหลับตาเขายังจำภาพตอนที่ลูกสาวของเขายังเป็นเด็กตัวน้อยๆออดอ้อนเขาได้อย่างชัดเจนเขารู้สึกราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
“เวลาไม่เคยคอยท่าจริงๆ..”เซียวฉางเหอถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่เหมือนคนปลงตก “เผลอแป็บเดียว ลูกสาวของเราก็มีแฟนซะแล้ว…”
“ทำไมคุณจะหาว่าฉันแก่สินะ?” เซียวมู่ถามยิ้มๆ
“ฮ่าฮ่า!แก่แล้วจะเป็นอะไรไป ในเมื่อพวกเรามีลูกสาวที่กตัญญู ส่วนลูกเขยก็ดูแลลูกของพวกเราได้ ฉันไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีกแล้ว” เซียวฉางเหอยิ้มอย่างอ่อนโยน “ถ้าจะกังวลก็คงจะเหลือแค่เรื่องบริษัทอย่างเดียวเท่านั้นแหละนะ หลังจากที่ทำงานมาหลายปี คงได้เวลามอบมันให้ลูกสาวของเราแล้วล่ะ” จากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรเลยจนบังเอิญได้มาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยา หลังจากการเริ่มต้นที่ยากลำบากในการพัฒนาบริษัทจนมาถึงตอนนี้บริษัทมีความมั่นคงจากการทำงานหนักมาเป็นเวลาหลายสิบปี และตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเมื่อวันหนึ่งที่ฉันแก่ตัวลง ฉันจะมอบบริษัทให้กับลูกสาวของฉัน เมื่อคิดมาถึงจุดนี้หัวใจของเซียวฉางเหอก็อดรู้สึกหวิวๆเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“ตาเฒ่าอยู่เฉยๆบ้างก็ได้!” ถึงแม้คำพูดและน้ำเสียงของเธอจะดุแต่ใบหน้าของเธอกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “คุณทำงานหนักเพื่อครอบครัวมาหลายสิบปี ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนได้แล้วนะ!”
เซียวฉางเหอยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เหมือนเซียวมู่ต้องการจะพูดอะไรอีกแต่ขณะนั้นเองเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาทันที “ซวนซวนกับเสี่ยวเฟิงมาแล้วแน่เลย คุณอยู่ที่นี่นะ รีบๆจัดการให้เสร็จ ฉันจะไปเปิดประตู!”
จี้เฟิงเคยมาที่นี่มาก่อนหน้านี้แล้วแต่ครั้งนี้เป็นการมาเยี่ยมบ้านของเซียวหยูซวนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าเขาจะต้องไม่มาด้วยมือเปล่า ดังนั้นในขณะที่มาที่นี่จี้เฟิงจึงแวะไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตและซื้อของขวัญติดไม้ติดมือมาด้วย
“สวัสดีครับคุณป้าผมกับหยูซวนมาเยี่ยมคุณป้า!” จี้เฟิงพูดกับเซียวมู่ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
“ยินดีต้อนรับๆ!”เซียวมู่ยิ้มกว้างจนแทบจะถึงรูหู เธอรีบเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนของเธอและกำลังจะรับของในมือของจี้เฟิง “เด็กคนนี้เอาอะไรมาด้วยเนี่ย เอาล่ะๆ เข้ามาข้างในกันก่อน”
“คุณป้าผมถือให้เองครับ” แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่ยอมให้แม่ของเซียวหยูซวนเป็นคนที่ต้องขนของ เขายิ้มและเป็นคนที่ถือของขวัญเข้าไปในบ้านครอบครัวเซียวด้วยตัวเอง และก็พบว่าเซียวฉางเหอกำลังยุ่งอยู่ในครัว… “พ่อขาวันนี้คุณพ่อลงมือทำอาหารด้วยตัวเองเลยเหรอคะเนี่ย” เซียวหยูซวนรีบวิ่งไปที่ห้องครัวพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก เธอกอดเอวของเซียวฉางเหอและกล่าวอย่างออดอ้อนว่า “หนูชอบกินซุปปลาเทราต์ฝีมือพ่อมากที่สุดเลย วันนี้หนูโชคดีมาก!”
“สาวน้อยมาทำอะไรในนี้แล้วเสี่ยวเฟิงจะอยู่กับใคร ไปอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวเฟิงเถอะ พ่อใกล้จะทำอาหารเสร็จแล้วล่ะ!” เซียวฉางเหอรักลูกสาวของเขามาก ถ้าในตอนนั้นไม่เป็นเพราะลูกสาวของเขายืนกราน เขาคงไม่เห็นด้วยที่เธอจะคบหากับเหอตง
แต่ถือว่าเป็นโชคดีที่ตอนนี้ลูกสาวของเขาตาสว่างแล้วไม่เช่นนั้นเซียวฉางเหอคงจะนอนตายตาไม่หลับอย่างแน่นอน
เซียวหยูซวนเองก็รู้ตัวดีว่าพ่อของเธอรักเธอมากแค่ไหนเธอหัวเราะและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ จี้เฟิงเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปนั่งเป็นเพื่อนหรอก หนูอยากอยู่กับพ่อมากกว่า ไม่ได้เจอพ่อตั้งหลายวัน!”
ในตอนนั้นเองเซียวมู่ก็เดินเข้ามาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า“ลูกคนนี้นิ ออกไปคุยเป็นเพื่อนเสี่ยวเฟิงเดี๋ยวนี้เลย ปล่อยให้เขานั่งอยู่คนเดียวคงอึดอัดแย่เลย!”
เซียวหยูซวนแลบลิ้นออกมาด้วยท่าทางที่ดูเหมือนเด็กๆและรีบวิ่งออกมา
จี้เฟิงไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเลยด้วยอุปนิสัยของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาก็มั่นคงเหมือนดั่งภูเขา แม้ว่าเขาจะมาที่บ้านของพ่อตาแม่ยายในอนาคตก็ตาม
ในเวลานี้เขากำลังมองดูภาพวาดที่แขวนอยู่ตามฝาผนังบ้านของครอบครัวเซียวมีภาพหนึ่งเป็นภาพของม้าแปดตัว แม้ในภาพจะมีม้าเพียงแปดตัว แต่สิ่งที่แสดงออกมาราวกับว่ามันมีม้าเป็นหมื่นๆตัวกำลังวิ่งอยู่ มันทำให้ห้องนั่งเล่นดูมีชีวิตชีวาและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่มองภาพนี้ได้เป็นอย่างดี
อีกภาพหนึ่งเป็นภาพของเสือที่กำลังลงมาจากภูเขาเสือที่อยู่ในภาพนั้นเหมือนจริงมาก ราวกับว่ามันสามารถเปล่งรัศมีแห่งความเป็นผู้นำออกมาได้ ช่างน่าทึ่งจริงๆ
“ดูเหมือนว่าพ่อของหยูซวนสมัยหนุ่มๆคงจะเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก!”จี้เฟิงคิดอยู่ในใจ บางครั้งคนเราสามารถบ่งบอกอุปนิสัยได้จากภาพวาดที่พวกเขามี คุณจะเห็นได้ชัดว่าเซียวฉางเหอมีความทะเยอทะยานที่จะต่อสู้ เขาจึงสามารถสร้างบริษัทที่เริ่มต้นจากศูนย์จนมาถึงจุดนี้ได้ด้วยมือของเขาเอง
สำหรับผู้ที่ดิ้นรนต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อจี้เฟิงชื่นชมคนเช่นนี้อยู่เสมอ
“นายกำลังมองอะไรอยู่”เสียงของเซียวหยูซวนดังขึ้น ไม่รู้ว่าเธอมาอยู่ข้างหลังจี้เฟิงตั้งแต่เมื่อไหร่
จี้เฟิงชี้ไปที่ผนังและพูดด้วยรอยยิ้ม“ภาพวาดสองภาพนี้สง่างามมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณลุงสามารถก่อสร้างบริษัทมาจนใหญ่โตได้ขนาดนี้”
เซียวหยูซวนพยักหน้าและกล่าวว่า“อื้มพ่อของฉันชอบภาพวาดสองภาพนี้มากที่สุด เขามักจะพูดอยู่เสมอว่า การที่คนเราจะประสบความสำเร็จนั้น ไม่เพียงแต่ต้องมีออร่าแห่งความเป็นผู้นำ แต่ยังต้องมีจิตวิญญาณดั่งม้าที่กล้าต่อสู้และอดทนต่อความยากลำบากด้วย!”
“แล้วม้ามันเกี่ยวอะไรกับการต่อสู้อดทนต่อความยากลำบากด้วย”จี้เฟิงงุนงงเล็กน้อย การมีออร่าแห่งความเป็นผู้นำนี่ก็พอเข้าใจได้ แต่เมื่อต้องทนกับความยากลำบากมันควรเป็นอุปมาที่เกี่ยวกับวัวแก่ไม่ใช่เหรอ? (ในวัฒนธรรมจีนวัวเป็นสัตว์ที่ขยัน ทุ่มเท อดทนต่อความยากลำบากในการทำงานหนัก)
เซียวหยูซวนมองเขาอย่างว่างเปล่าและถอนหายใจ“นาย.. นายไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเหรอ ไม่ว่ามันจะเป็นม้าที่วิ่งดีหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่เจ้าของไม่ถือบังเหียน ต่อให้วิ่งจนตายมันก็ไม่มีทางหยุดวิ่ง นี่แหละคือจิตวิญญาณของมัน!”
“ช่างเป็นข้อคิดที่ดีจากผู้ที่มีประสบการณ์จริงๆ!”จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย
เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่จี้เฟิงเล็กน้อยจากนั้นเธอก็ปรับอารมณ์เป็นจริงจังและถามว่า “จิ๊กโก๋น้อย ฉันว่าจะจ้างพี่เลี้ยงมาคอยดูแลพ่อกับแม่ นายคิดว่ายังไง”
“ดีนะ!”จี้เฟิงพยักหน้าทันทีและพูดอย่างเห็นด้วย “คุณลุงกับคุณป้าก็อายุมากขึ้นทุกวัน ส่วนเธอเองก็ไม่สามารถอยู่บ้านทุกวันได้ การมีพี่เลี้ยงช่วยดูแลผู้อาวุโสทั้งสองถือเป็นเรื่องที่ดี”
“อื้ม”เซียวหยูซวนรู้สึกคัดจมูกเล็กน้อย “วันนี้ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าไรผมของแม่เริ่มเป็นสีเทาๆแล้ว ใบหน้าของท่านก็เหมือนจะมีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนเอวของพ่อก็เหมือนจะเล็กลง ฉันรู้สึกราวกับว่าเอวของพ่อนั้นใหญ่และแข็งแรงเมื่อไม่นานมานี้เอง พวกท่านแก่ชรามากขึ้นจริงๆ…”
พ่อและแม่มีความสุขที่สุดเมื่อมองดูลูกๆของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างไรก็ตาม การที่ลูกๆมองดูพ่อแม่แก่ชราไปตามวันเวลาเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด
จี้เฟิงตบมือเล็กๆของเซียวหยูซวนอย่างอ่อนโยนและเขาก็อดคิดถึงพ่อกับแม่ของเขาไม่ได้
พ่อของเขาทำงานหนักทุกวันตอนนี้ผมของพ่อจะเป็นสีขาวไปหมดแล้วหรือเปล่านะ
ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของจี้เฟิงต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์และไม่สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความอ่อนแอของเขาได้ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม จนทำให้เขาต้องย้อมผมดำอยู่บ่อยๆ เกรงว่าตอนนี้ผมของเขาก็คงจะเป็นสีขาวอยู่ไม่น้อยแล้ว
ส่วนแม่เธอต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด เพื่อที่จะดึงตัวเองขึ้นจากอดีต…
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้ม“งั้นไว้เราไปหาพี่เลี้ยงกัน แต่ก่อนอื่นเธอต้องปรึกษากับคุณลุงคุณป้าก่อน”
“โอเคไว้ตอนทานข้าวจะลองพูดกับพวกท่านดู” เซียวหยูซวนยิ้มอย่างร่าเริง เธอรู้สึกมีความสุขมากที่จี้เฟิงเข้าใจและสนับสนุนสิ่งที่เธอทำ
หลังจากนั้นไม่นานเซียวฉางเหอและภรรยาของเขาก็ทำอาหารเสร็จฝีมือการทำอาหารของเซียวฉางเหอนั้นดีจริงๆ รสชาติดีเยี่ยมไม่มีที่ติ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เซียวหยูซวนบอกว่าพ่อของเธอเคยทำงานในร้านอาหารมาก่อน
ขณะรับประทานอาหารเซียวหยูซวนพูดถึงการจ้างพี่เลี้ยงมาคอยดูแล
เซียวฉางเหอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าและกล่าวว่า“ถ้าอย่างนั้นก็หามาสักคนก็แล้วกัน แม่ของลูกก็อายุมากแล้ว จริงๆเธอก็ไม่ควรต้องทำงานหนักแล้วล่ะ”
เซียวมู่ก็ไม่ได้คัดค้านเช่นกันแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหายอยู่เล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าตัวเองแก่ลงทุกวัน
“Rrrrrrrr~!!”
ในขณะทั้งพวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่เสียงโทรศัพท์ของเซียวฉางเหอก็ดังขึ้น เขายิ้มและกล่าวว่า “เป็นสายจากบริษัทน่ะ อาจจะมีธุระด่วน” ทั้งเซียวมู่และเซียวหยูซวนดูเหมือนจะคุ้นเคยกับตารางงานที่ยุ่งและไม่เป็นเวลาของเซียวฉางเหอ พวกเธอทั้งสองส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และส่งสัญญาณให้จี้เฟิงกินต่อไปโดยไม่ต้องรอ เซียวหยูซวนค่อยๆคีบผักส่งให้จี้เฟิงอย่างอ่อนโยน
“อะไรนะสำนักงานอาหารและยามาสั่งปิดโกดังของเรางั้นเหรอ? ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้?!” เสียงของเซียวฉางเหอดังขึ้นอย่างกะทันหัน “บริษัทของเรามีเอกสารครบถ้วนและทำถูกขั้นตอนทางกฎหมายทุกอย่างไม่ใช่หรือ? แถมยังมีใบรับรองที่ออกโดยผู้ผลิตยาอีก แล้วทำไมถึงยังโดนสั่งปิดโกดังอีกล่ะ?”
สองแม่ลูกครอบครัวเซียวและจี้เฟิงที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ก็ตกใจทันทีพวกเขาหยุดกิจกรรมทุกอย่างที่ทำอยู่และหันไปมองที่เซียวฉางเหอ ไม่รู้ว่าคนในโทรศัพท์พูดว่าอะไรแต่เซียวฉางเหอดูโกรธมาก “ทำแบบนี้ได้ยังไง มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย พวกเขามาปิดโกดังพวกเราได้ยังไง!”
………………
“เอาเป็นว่าตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไรฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ!” หลังจากที่เซียวฉางเหอพูดจบเขาก็วางสายทันที “เสี่ยวเฟิง พวกเธอกินข้าวกันไปก่อนได้เลยนะ ฉันต้องขอตัวออกไปข้างนอกก่อนมีธุระต้องไปจัดการนิดหน่อย”
เซียวมู่แม่ของเซียวหยูซวนถามทันทีว่า“ที่บริษัทเกิดปัญหาเหรอตาเฒ่า”
เซียวฉางเหอพยักหน้าขณะที่กำลังเก็บของ“เมื่อกี้คนที่บริษัทโทรมาบอกว่า มีคนจากสำนักงานอาหารและยามาที่บริษัท พวกเขายื่นเอกสารเพื่อขอปิดโกดังเก็บยาของบริษัท แล้ววันนี้ดันเป็นวันที่ทางโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆต้องการสินค้าพอดี ถ้าวันนี้โกดังยาถูกสั่งปิดเกรงว่าคงจะไปส่งสินค้าล่าช้าและอาจเกิดความเสียหายในหลายๆทาง”
“สาเหตุที่พวกเขามาสั่งปิดโกดังยาเพราะอะไรเหรอครับ”จี้เฟิงถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เซียวฉางเหอส่ายหัวและกล่าวว่า“ว่ากันว่าพวกเขาได้รับรายงานแจ้งมาว่าบริษัทของเรามียาปลอมและยาที่ด้อยคุณภาพ ดังนั้นจึงต้องสั่งปิดโกดังไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวเพื่อทำการตรวจสอบ!”
“ไร้สาระสิ้นดี!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงอย่างเย็นชา
แม่ของเซียวหยูซวนดีใจทันทีเมื่อรู้ว่าจี้เฟิงกำลังมา
สำหรับจี้เฟิงลูกเขยในอนาคตทั้งเซียวฉางเหอและภรรยาต่างก็พึงพอใจในตัวจี้เฟิงเป็นอย่างมาก แม้เขาจะมาจากตระกูลที่ร่ำรวยแต่เขาไม่มีความเย่อหยิ่งจองหองเหมือนอย่างที่ลูกคนรวยส่วนใหญ่เป็น ต่อมาเมื่อทั้งเซียวฉางเหอและภรรยาได้รู้จักจี้เฟิงมากขึ้นจากการแนะนำของเซียวหยูซวนพวกเขาก็ถึงกับรู้สึกทึ่งยิ่งไปกว่าเดิม
ว่ากันว่าเด็กที่เติบโตมาพร้อมกับความยากจนจะรู้จักรับผิดชอบและมีความเป็นผู้ใหญ่ว่ากว่าเด็กในวัยเดียวกันทั่วๆไปและจี้เฟิงก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
สำหรับลูกเขยที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้จะเป็นที่พึงพอใจของพ่อตาแม่ยายในอนาคตก็ไม่แปลก ดังนั้นในตอนเช้าตรู่ แม่ของเซียวหยูซวนจึงรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปตลาดและไปซื้อวัตถุดิบอย่างดีเพื่อมาเตรียมอาหารไว้รอจี้เฟิงและลูกสาวของเธอ
สำหรับความกระตือรือร้นของภรรยาเซียวฉางเหอผู้มีบุคลิกสงบนิ่งใจเย็นเพียงแค่มองดูด้วยรอยยิ้ม และเมื่อใดที่เขาเห็นว่าภรรยาของเขายุ่งเกินไป เขาจะตามไปช่วยเหลือข้างๆในทันที
“เฒ่าเซียวล้างปลาตัวนี้ให้หน่อยสิ” นางเซียวยื่นปลาที่เพิ่งซื้อมาให้สามีของเธอ “ระวังอย่าให้น้ำดีแตกล่ะ เดี๋ยวปลาจะขมเกินจนกินไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ซวนซวนกับเสี่ยวเฟิงมาที่บ้านเราอย่างเป็นทางการ คุณอย่าให้พวกเขาต้องกินปลาขมๆเชียวนะ!”
“โอเคๆเธอไม่ต้องห่วง ทำอย่างกับไม่รู้จักฝีมือทำอาหารของฉันอย่างนั้นแหละ ฮ่าฮ่า!” เซียวฉางเหออดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมกับรับปลามาจากมือของภรรยาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อสมัยที่เซียวฉางเหอยังหนุ่มๆเขาเคยทำงานที่ร้านอาหารมาก่อนและได้ฝึกปรือฝีมือการทำอาหารกับเชฟของร้านอยู่หลายปี ดังนั้นถ้าเป็นอาหารประเภทที่ยุ่งยากวุ่นวายนิดหน่อยเซียวมู่ก็จะปล่อยให้เซียวฉางเหอเป็นคนจัดการ
“ไหนๆก็ได้โอกาสแสดงฝีมือทำอาหารจริงๆจังๆทั้งทีทำไมคุณไม่รับหน้าที่ทำอาหารในวันนี้ไปเลย แล้วฉันจะคอยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆเอง” เซียวมู่พูดด้วยรอยยิ้ม
เซียวฉางเหอยิ้มและพยักหน้ารับ“ไม่มีปัญหา ฉันลงมือเอง!”
สองสามีภรรยาพูดคุยกันอย่างสบายๆในขณะที่จัดการอาหารต่างๆ
เขามองดูภรรยาของตัวเองกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมอาหารและเห็นว่าเธอเริ่มมีผมหงอกขาวขึ้นแซมบ้างแล้ว เซียวฉางเหอก็ยิ้มเล็กน้อย เมื่อลูกสาวของเขาเติบโต ก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องแต่งงาน…. นอกจากนี้ลูกเขยในอนาคตก็ยังเป็นชายหนุ่มที่ดี เซียวฉางเหอพึงพอใจมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเขาและภรรยานั้นแก่แล้วจริงๆ
เมื่อหลับตาเขายังจำภาพตอนที่ลูกสาวของเขายังเป็นเด็กตัวน้อยๆออดอ้อนเขาได้อย่างชัดเจนเขารู้สึกราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
“เวลาไม่เคยคอยท่าจริงๆ..”เซียวฉางเหอถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่เหมือนคนปลงตก “เผลอแป็บเดียว ลูกสาวของเราก็มีแฟนซะแล้ว…”
“ทำไมคุณจะหาว่าฉันแก่สินะ?” เซียวมู่ถามยิ้มๆ
“ฮ่าฮ่า!แก่แล้วจะเป็นอะไรไป ในเมื่อพวกเรามีลูกสาวที่กตัญญู ส่วนลูกเขยก็ดูแลลูกของพวกเราได้ ฉันไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีกแล้ว” เซียวฉางเหอยิ้มอย่างอ่อนโยน “ถ้าจะกังวลก็คงจะเหลือแค่เรื่องบริษัทอย่างเดียวเท่านั้นแหละนะ หลังจากที่ทำงานมาหลายปี คงได้เวลามอบมันให้ลูกสาวของเราแล้วล่ะ” จากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรเลยจนบังเอิญได้มาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยา หลังจากการเริ่มต้นที่ยากลำบากในการพัฒนาบริษัทจนมาถึงตอนนี้บริษัทมีความมั่นคงจากการทำงานหนักมาเป็นเวลาหลายสิบปี และตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเมื่อวันหนึ่งที่ฉันแก่ตัวลง ฉันจะมอบบริษัทให้กับลูกสาวของฉัน เมื่อคิดมาถึงจุดนี้หัวใจของเซียวฉางเหอก็อดรู้สึกหวิวๆเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“ตาเฒ่าอยู่เฉยๆบ้างก็ได้!” ถึงแม้คำพูดและน้ำเสียงของเธอจะดุแต่ใบหน้าของเธอกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “คุณทำงานหนักเพื่อครอบครัวมาหลายสิบปี ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนได้แล้วนะ!”
เซียวฉางเหอยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เหมือนเซียวมู่ต้องการจะพูดอะไรอีกแต่ขณะนั้นเองเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาทันที “ซวนซวนกับเสี่ยวเฟิงมาแล้วแน่เลย คุณอยู่ที่นี่นะ รีบๆจัดการให้เสร็จ ฉันจะไปเปิดประตู!”
จี้เฟิงเคยมาที่นี่มาก่อนหน้านี้แล้วแต่ครั้งนี้เป็นการมาเยี่ยมบ้านของเซียวหยูซวนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าเขาจะต้องไม่มาด้วยมือเปล่า ดังนั้นในขณะที่มาที่นี่จี้เฟิงจึงแวะไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตและซื้อของขวัญติดไม้ติดมือมาด้วย
“สวัสดีครับคุณป้าผมกับหยูซวนมาเยี่ยมคุณป้า!” จี้เฟิงพูดกับเซียวมู่ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
“ยินดีต้อนรับๆ!”เซียวมู่ยิ้มกว้างจนแทบจะถึงรูหู เธอรีบเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนของเธอและกำลังจะรับของในมือของจี้เฟิง “เด็กคนนี้เอาอะไรมาด้วยเนี่ย เอาล่ะๆ เข้ามาข้างในกันก่อน”
“คุณป้าผมถือให้เองครับ” แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่ยอมให้แม่ของเซียวหยูซวนเป็นคนที่ต้องขนของ เขายิ้มและเป็นคนที่ถือของขวัญเข้าไปในบ้านครอบครัวเซียวด้วยตัวเอง และก็พบว่าเซียวฉางเหอกำลังยุ่งอยู่ในครัว… “พ่อขาวันนี้คุณพ่อลงมือทำอาหารด้วยตัวเองเลยเหรอคะเนี่ย” เซียวหยูซวนรีบวิ่งไปที่ห้องครัวพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก เธอกอดเอวของเซียวฉางเหอและกล่าวอย่างออดอ้อนว่า “หนูชอบกินซุปปลาเทราต์ฝีมือพ่อมากที่สุดเลย วันนี้หนูโชคดีมาก!”
“สาวน้อยมาทำอะไรในนี้แล้วเสี่ยวเฟิงจะอยู่กับใคร ไปอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวเฟิงเถอะ พ่อใกล้จะทำอาหารเสร็จแล้วล่ะ!” เซียวฉางเหอรักลูกสาวของเขามาก ถ้าในตอนนั้นไม่เป็นเพราะลูกสาวของเขายืนกราน เขาคงไม่เห็นด้วยที่เธอจะคบหากับเหอตง
แต่ถือว่าเป็นโชคดีที่ตอนนี้ลูกสาวของเขาตาสว่างแล้วไม่เช่นนั้นเซียวฉางเหอคงจะนอนตายตาไม่หลับอย่างแน่นอน
เซียวหยูซวนเองก็รู้ตัวดีว่าพ่อของเธอรักเธอมากแค่ไหนเธอหัวเราะและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ จี้เฟิงเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปนั่งเป็นเพื่อนหรอก หนูอยากอยู่กับพ่อมากกว่า ไม่ได้เจอพ่อตั้งหลายวัน!”
ในตอนนั้นเองเซียวมู่ก็เดินเข้ามาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า“ลูกคนนี้นิ ออกไปคุยเป็นเพื่อนเสี่ยวเฟิงเดี๋ยวนี้เลย ปล่อยให้เขานั่งอยู่คนเดียวคงอึดอัดแย่เลย!”
เซียวหยูซวนแลบลิ้นออกมาด้วยท่าทางที่ดูเหมือนเด็กๆและรีบวิ่งออกมา
จี้เฟิงไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเลยด้วยอุปนิสัยของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาก็มั่นคงเหมือนดั่งภูเขา แม้ว่าเขาจะมาที่บ้านของพ่อตาแม่ยายในอนาคตก็ตาม
ในเวลานี้เขากำลังมองดูภาพวาดที่แขวนอยู่ตามฝาผนังบ้านของครอบครัวเซียวมีภาพหนึ่งเป็นภาพของม้าแปดตัว แม้ในภาพจะมีม้าเพียงแปดตัว แต่สิ่งที่แสดงออกมาราวกับว่ามันมีม้าเป็นหมื่นๆตัวกำลังวิ่งอยู่ มันทำให้ห้องนั่งเล่นดูมีชีวิตชีวาและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่มองภาพนี้ได้เป็นอย่างดี
อีกภาพหนึ่งเป็นภาพของเสือที่กำลังลงมาจากภูเขาเสือที่อยู่ในภาพนั้นเหมือนจริงมาก ราวกับว่ามันสามารถเปล่งรัศมีแห่งความเป็นผู้นำออกมาได้ ช่างน่าทึ่งจริงๆ
“ดูเหมือนว่าพ่อของหยูซวนสมัยหนุ่มๆคงจะเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก!”จี้เฟิงคิดอยู่ในใจ บางครั้งคนเราสามารถบ่งบอกอุปนิสัยได้จากภาพวาดที่พวกเขามี คุณจะเห็นได้ชัดว่าเซียวฉางเหอมีความทะเยอทะยานที่จะต่อสู้ เขาจึงสามารถสร้างบริษัทที่เริ่มต้นจากศูนย์จนมาถึงจุดนี้ได้ด้วยมือของเขาเอง
สำหรับผู้ที่ดิ้นรนต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อจี้เฟิงชื่นชมคนเช่นนี้อยู่เสมอ
“นายกำลังมองอะไรอยู่”เสียงของเซียวหยูซวนดังขึ้น ไม่รู้ว่าเธอมาอยู่ข้างหลังจี้เฟิงตั้งแต่เมื่อไหร่
จี้เฟิงชี้ไปที่ผนังและพูดด้วยรอยยิ้ม“ภาพวาดสองภาพนี้สง่างามมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณลุงสามารถก่อสร้างบริษัทมาจนใหญ่โตได้ขนาดนี้”
เซียวหยูซวนพยักหน้าและกล่าวว่า“อื้มพ่อของฉันชอบภาพวาดสองภาพนี้มากที่สุด เขามักจะพูดอยู่เสมอว่า การที่คนเราจะประสบความสำเร็จนั้น ไม่เพียงแต่ต้องมีออร่าแห่งความเป็นผู้นำ แต่ยังต้องมีจิตวิญญาณดั่งม้าที่กล้าต่อสู้และอดทนต่อความยากลำบากด้วย!”
“แล้วม้ามันเกี่ยวอะไรกับการต่อสู้อดทนต่อความยากลำบากด้วย”จี้เฟิงงุนงงเล็กน้อย การมีออร่าแห่งความเป็นผู้นำนี่ก็พอเข้าใจได้ แต่เมื่อต้องทนกับความยากลำบากมันควรเป็นอุปมาที่เกี่ยวกับวัวแก่ไม่ใช่เหรอ? (ในวัฒนธรรมจีนวัวเป็นสัตว์ที่ขยัน ทุ่มเท อดทนต่อความยากลำบากในการทำงานหนัก)
เซียวหยูซวนมองเขาอย่างว่างเปล่าและถอนหายใจ“นาย.. นายไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเหรอ ไม่ว่ามันจะเป็นม้าที่วิ่งดีหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่เจ้าของไม่ถือบังเหียน ต่อให้วิ่งจนตายมันก็ไม่มีทางหยุดวิ่ง นี่แหละคือจิตวิญญาณของมัน!”
“ช่างเป็นข้อคิดที่ดีจากผู้ที่มีประสบการณ์จริงๆ!”จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย
เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่จี้เฟิงเล็กน้อยจากนั้นเธอก็ปรับอารมณ์เป็นจริงจังและถามว่า “จิ๊กโก๋น้อย ฉันว่าจะจ้างพี่เลี้ยงมาคอยดูแลพ่อกับแม่ นายคิดว่ายังไง”
“ดีนะ!”จี้เฟิงพยักหน้าทันทีและพูดอย่างเห็นด้วย “คุณลุงกับคุณป้าก็อายุมากขึ้นทุกวัน ส่วนเธอเองก็ไม่สามารถอยู่บ้านทุกวันได้ การมีพี่เลี้ยงช่วยดูแลผู้อาวุโสทั้งสองถือเป็นเรื่องที่ดี”
“อื้ม”เซียวหยูซวนรู้สึกคัดจมูกเล็กน้อย “วันนี้ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าไรผมของแม่เริ่มเป็นสีเทาๆแล้ว ใบหน้าของท่านก็เหมือนจะมีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนเอวของพ่อก็เหมือนจะเล็กลง ฉันรู้สึกราวกับว่าเอวของพ่อนั้นใหญ่และแข็งแรงเมื่อไม่นานมานี้เอง พวกท่านแก่ชรามากขึ้นจริงๆ…”
พ่อและแม่มีความสุขที่สุดเมื่อมองดูลูกๆของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างไรก็ตาม การที่ลูกๆมองดูพ่อแม่แก่ชราไปตามวันเวลาเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด
จี้เฟิงตบมือเล็กๆของเซียวหยูซวนอย่างอ่อนโยนและเขาก็อดคิดถึงพ่อกับแม่ของเขาไม่ได้
พ่อของเขาทำงานหนักทุกวันตอนนี้ผมของพ่อจะเป็นสีขาวไปหมดแล้วหรือเปล่านะ
ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของจี้เฟิงต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์และไม่สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความอ่อนแอของเขาได้ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม จนทำให้เขาต้องย้อมผมดำอยู่บ่อยๆ เกรงว่าตอนนี้ผมของเขาก็คงจะเป็นสีขาวอยู่ไม่น้อยแล้ว
ส่วนแม่เธอต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด เพื่อที่จะดึงตัวเองขึ้นจากอดีต…
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้ม“งั้นไว้เราไปหาพี่เลี้ยงกัน แต่ก่อนอื่นเธอต้องปรึกษากับคุณลุงคุณป้าก่อน”
“โอเคไว้ตอนทานข้าวจะลองพูดกับพวกท่านดู” เซียวหยูซวนยิ้มอย่างร่าเริง เธอรู้สึกมีความสุขมากที่จี้เฟิงเข้าใจและสนับสนุนสิ่งที่เธอทำ
หลังจากนั้นไม่นานเซียวฉางเหอและภรรยาของเขาก็ทำอาหารเสร็จฝีมือการทำอาหารของเซียวฉางเหอนั้นดีจริงๆ รสชาติดีเยี่ยมไม่มีที่ติ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เซียวหยูซวนบอกว่าพ่อของเธอเคยทำงานในร้านอาหารมาก่อน
ขณะรับประทานอาหารเซียวหยูซวนพูดถึงการจ้างพี่เลี้ยงมาคอยดูแล
เซียวฉางเหอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าและกล่าวว่า“ถ้าอย่างนั้นก็หามาสักคนก็แล้วกัน แม่ของลูกก็อายุมากแล้ว จริงๆเธอก็ไม่ควรต้องทำงานหนักแล้วล่ะ”
เซียวมู่ก็ไม่ได้คัดค้านเช่นกันแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหายอยู่เล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าตัวเองแก่ลงทุกวัน
“Rrrrrrrr~!!”
ในขณะทั้งพวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่เสียงโทรศัพท์ของเซียวฉางเหอก็ดังขึ้น เขายิ้มและกล่าวว่า “เป็นสายจากบริษัทน่ะ อาจจะมีธุระด่วน” ทั้งเซียวมู่และเซียวหยูซวนดูเหมือนจะคุ้นเคยกับตารางงานที่ยุ่งและไม่เป็นเวลาของเซียวฉางเหอ พวกเธอทั้งสองส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และส่งสัญญาณให้จี้เฟิงกินต่อไปโดยไม่ต้องรอ เซียวหยูซวนค่อยๆคีบผักส่งให้จี้เฟิงอย่างอ่อนโยน
“อะไรนะสำนักงานอาหารและยามาสั่งปิดโกดังของเรางั้นเหรอ? ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้?!” เสียงของเซียวฉางเหอดังขึ้นอย่างกะทันหัน “บริษัทของเรามีเอกสารครบถ้วนและทำถูกขั้นตอนทางกฎหมายทุกอย่างไม่ใช่หรือ? แถมยังมีใบรับรองที่ออกโดยผู้ผลิตยาอีก แล้วทำไมถึงยังโดนสั่งปิดโกดังอีกล่ะ?”
สองแม่ลูกครอบครัวเซียวและจี้เฟิงที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ก็ตกใจทันทีพวกเขาหยุดกิจกรรมทุกอย่างที่ทำอยู่และหันไปมองที่เซียวฉางเหอ ไม่รู้ว่าคนในโทรศัพท์พูดว่าอะไรแต่เซียวฉางเหอดูโกรธมาก “ทำแบบนี้ได้ยังไง มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย พวกเขามาปิดโกดังพวกเราได้ยังไง!”
………………
“เอาเป็นว่าตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไรฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ!” หลังจากที่เซียวฉางเหอพูดจบเขาก็วางสายทันที “เสี่ยวเฟิง พวกเธอกินข้าวกันไปก่อนได้เลยนะ ฉันต้องขอตัวออกไปข้างนอกก่อนมีธุระต้องไปจัดการนิดหน่อย”
เซียวมู่แม่ของเซียวหยูซวนถามทันทีว่า“ที่บริษัทเกิดปัญหาเหรอตาเฒ่า”
เซียวฉางเหอพยักหน้าขณะที่กำลังเก็บของ“เมื่อกี้คนที่บริษัทโทรมาบอกว่า มีคนจากสำนักงานอาหารและยามาที่บริษัท พวกเขายื่นเอกสารเพื่อขอปิดโกดังเก็บยาของบริษัท แล้ววันนี้ดันเป็นวันที่ทางโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆต้องการสินค้าพอดี ถ้าวันนี้โกดังยาถูกสั่งปิดเกรงว่าคงจะไปส่งสินค้าล่าช้าและอาจเกิดความเสียหายในหลายๆทาง”
“สาเหตุที่พวกเขามาสั่งปิดโกดังยาเพราะอะไรเหรอครับ”จี้เฟิงถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เซียวฉางเหอส่ายหัวและกล่าวว่า“ว่ากันว่าพวกเขาได้รับรายงานแจ้งมาว่าบริษัทของเรามียาปลอมและยาที่ด้อยคุณภาพ ดังนั้นจึงต้องสั่งปิดโกดังไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวเพื่อทำการตรวจสอบ!”
“ไร้สาระสิ้นดี!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงอย่างเย็นชา