The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 289 จี้เฟิงโกรธ
เมื่อเซียวฉางเหอจี้เฟิงและเซียวหยูซวนมาถึงห้องทำงาน พวกเขาก็พบผู้ชายวัยสามสิบปีกำลังพูดคุยกับผู้ชายอีกสองคนอยู่
คนหนึ่งดูสูงวัยกว่าหลายปีเขาน่าจะมีอายุประมาณสี่สิบห้าถึงห้าสิบปี ส่วนอีกคนยังดูหนุ่มๆอยู่น่าจะมีอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี
เมื่อจี้เฟิงและอีกสองคนเข้ามาก็เห็นคนที่มีอายุและเด็กหนุ่มกำลังนั่งเอนตัวพิงโซฟา ในปากของพวกเขาคาบบุหรี่และวางเท้าลงบนโต๊ะกลางหน้าโซฟาราวกับที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นควันบุหรี่ที่น่าอึดอัด ส่วนชายที่อายุสามสิบกว่าๆทำได้แค่เพียงหัวเราะแห้งๆอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ใบหน้าของทั้งสามคนก็จมลงทันที พวกเขาสองคนเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอาหารและยางั้นหรือ พวกเขาคิดว่ากำลังอยู่ที่ไหน?
“บอส!”ชายอายุ 30 ปีลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นเซียวฉางเหอ
เซียวฉางเหอพยายามระงับความโกรธของเขาและถามว่า“หลินเซิงผิง มันเกิดอะไรขึ้น แล้วพวกเขาเป็นใคร”
ชายวัย30 ปีคนนี้ชื่อว่าหลินเซิงผิง เขาเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัท
เมื่อได้ยินคำถามที่ไม่ค่อยพอใจของเซียวฉางเหอใบหน้าของเซิงผิงก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา เขาแอบขยิบตาให้เซียวฉางเหอและใบหน้าของเขาก็กลับมายิ้มอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว “บอส ผู้ชายสองคนนี้เป็นสหายจากสำนักงานอาหารและยา ผู้ชายท่านนี้คือหัวหน้าซู ส่วนท่านนี้คือเจ้าหน้าที่จาง!”
ชายวัยกลางคนคือหัวหน้าหน่วยซูส่วนชายหนุ่มคือเจ้าหน้าที่จาง ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงมาก แต่กลับทำตัวยิ่งใหญ่อย่างน่าขัน เมื่อหลินเซิงผิงแนะนำพวกเขา พวกเขาทั้งสองไม่แม้แต่จะลุกขึ้น พวกเขาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแม้ว่าเซียวฉางเหอจะทักทายตามมารยาทก็ตาม
กิริยาท่าทางของทั้งสองคนนี้ทำให้เซียวฉางเหออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่นหากไม่ติดว่าตัวตนของพวกเขาคือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอาหารและยา เกรงว่าเขาคงจะเรียก รปภ.มาลากคอสองคนนี้ออกไปเดี๋ยวนี้เลย
“ไม่ทราบว่าหัวหน้าทั้งสองมาที่บริษัทของเรามีคำแนะนำอะไรให้กับพวกเรางั้นหรือ” เซียวฉางเหอเดินไปที่โต๊ะทำงานอย่างช้าๆ เขานั่งลงบนเก้าอี้และถามด้วยเสียงเรียบ แต่ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะนิ่งมากและเมื่อฟังดูก็เป็นเพียงคำถามธรรมดา แต่ใครก็ตามที่ฉลาดพอจะเข้าใจได้ว่ามันเป็นคำพูดที่เย้ยหยัน
อย่างไรก็ตามหัวหน้าซูและเจ้าหน้าที่จางไม่เข้าใจและเมื่อพวกเขาได้ยินเซียวฉางเหอเรียกพวกเขาว่าหัวหน้า ทั้งสองคนก็เปิดปากหัวเราะที่ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ในนั้นเลย
โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่จางที่หัวเราะเสียงดังแต่เมื่อเขากวาดสายตาไปทั่วเรือนร่างของเซียวหยูซวน ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างเต็มไปด้วยแววตาที่ดูประหลาดใจจนลืมที่จะหัวเราะ เขาเพียงแค่จ้องมองไปที่เซียวหยูซวนอย่างไม่ปิดบัง
ดวงตาของจี้เฟิงและเซียวฉางเหอสว่างวาบออกมาพร้อมกันความรู้สึกของเซียวฉางเหอนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและโกรธเกรี้ยว ส่วนจี้เฟิงก็เหลือบมองเจ้าหน้าที่จางด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกอย่างไม่เปิดเผย
“ประธานเซียวฉันจะพูดเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ทางเราได้รับรายงานมาว่าบริษัทของคุณจำหน่ายยาปลอมและยาที่ไม่ได้คุณภาพ ทางเราจึงได้รับคำสั่งให้ปิดผนึกโกดังของคุณ และคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายยาเข้าสู่ตลาดจนกว่าจะได้รับการตรวจสอบโดยละเอียดและได้ผลสรุปออกมาอย่างชัดเจน!” ความรู้งานของหัวหน้าซูดีกว่าเจ้าหน้าที่จางอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยเขาก็รู้ลำดับความสำคัญ เซียวฉางเหอขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น“หัวหน้าซู ฉันเกรงว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมซักเท่าไหร่ คุณจะอาศัยเพียงแค่รายงานและมาปิดโกดังของบริษัทเราโดยไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดแบบนี้ มันเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎระเบียบแล้วงั้นหรือ”
“เหอๆถ้าเรื่องนี้ไม่มีมูลจริง แล้วพวกเราจะมากันทำไม!” หัวหน้าซูยิ้มอย่างไม่แยแสกับข้อโต้แย้งของเซียวฉางเหอ “ประธานเซียวพวกเรากำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ โปรดให้ความร่วมมือกับเราเพื่อเรื่องนี้จะได้ง่ายต่อทั้งสองฝ่าย คุณแค่เปิดโกดังและให้พวกเราทำการตรวจสอบ จากนั้นก็รอผลออกมาจึงจะตัดสินใจได้ว่าคลังยาของคุณควรที่จะได้รับอนุญาตให้เปิดเพื่อจัดจำหน่ายต่อได้หรือไม่”
“แล้วพวกคุณมีหลักฐานอะไรขอฉันดูหน่อยได้มั้ย” เซียวฉางเหอถามด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่หนักแน่น “ฉันมั่นใจและรู้ตัวเองดีว่าฉันไม่เคยกระทำความผิดอย่างที่พวกคุณได้รับรายงานมาแน่นอน อย่างไรก็ตามวันนี้บริษัทของเราจำเป็นต้องทำการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าของเรา และถ้าหากการจัดส่งสินค้าเกินกำหนดเวลาล่าช้ามันจะเป็นการผิดสัญญา ฉันจึงหวังว่าพวกคุณทั้งสองจะเข้าใจ ส่วนเรื่องการตรวจสอบก็ขอให้เป็นหลังจากที่บริษัทของเราได้จัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าให้เสร็จเรียบร้อยดีเสียก่อน แล้วถ้าพบว่าบริษัทของเราจัดจำหน่ายยาปลอมหรือยาด้อยคุณภาพทางเราก็มีความยินดีที่จะได้รับบทลงโทษใดๆที่กฎหมายได้กำหนดไว้!”
“เหอะ!แบบนั้นคงไม่ดีล่ะมั้ง!” ก่อนที่หัวหน้าซูจะทันได้พูดอะไร เจ้าหน้าที่จางก็ยิ้มเยาะ “ถ้ายาในโกดังของประธานเซียวเป็นยาปลอม เป็นยาที่ด้อยคุณภาพจริง แล้วทางเราอนุญาตให้คุณจัดส่งยาเหล่านั้นออกไป นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราละเลยหน้าที่และปล่อยให้ยาปลอมหรือยาด้อยคุณภาพเหล่านั้นไหลออกสู่ตลาดงั้นเหรอ หรือถึงแม้ว่ายาในโกดังคุณจะไม่ใช่ยาปลอมทั้งหมด แต่ถ้ามันมีอยู่จริง แล้วคุณอาศัยโอกาสนี้เพื่อขนย้ายหลบหนี มันจะเหลืออะไรให้พวกเราตรวจสอบได้อีกล่ะ?”
ฮึ่ม!
มือของเซียวฉางเหอยกสูงขึ้นทันทีเขาพยายามข่มกลั้นความโกรธเพื่อที่จะไม่ตบโต๊ะ แต่ไม่ว่าจะข่มอารมณ์อย่างไรเขาก็ไม่อาจปิดบังดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธได้
“หัวหน้าซูเจ้าหน้าที่จาง หากพวกคุณยังจะทำเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นไปตามหลักเหตุผลหรือข้อกฎหมายฉันจะถือว่าความคิดเห็นของเราไม่ตรงกัน!” เซียวฉางเหอกล่าว “พวกคุณต้องการอะไร ก็พูดมาออกมาตามตรงเลยดีกว่า”
ช่างเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดีคนที่สุภาพและมักจะใจเย็นอยู่เสมออย่างเซียวฉางเหอแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะทุบโต๊ะด้วยความโมโห
ลองคิดดูว่าถ้าหากมีคนคนหนึ่งพอที่จะมีอำนาจอยู่ในมือเพียงแค่สงสัยว่าคนอื่นมีความผิด ก็เลยยึดบ้านของคนอื่นอย่างหน้าด้านๆ โดยที่ไม่ถามความคิดเห็นหรือขอความยินยอม แบบนี้ยังเรียกว่าการตรวจสอบอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้อยู่อีกหรือ
“เหอะ!ประธานเซียวก็พูดติดตลกไปได้ สิ่งที่พวกเราพูดไปนั้นชัดเจนทุกอย่างแล้ว หากประธานเซียวต้องการแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด ก็แค่ยอมให้ความร่วมมือกับพวกเราในการตรวจสอบก็แค่นั้น!” หัวหน้าซูในเวลานี้ยิ้มเหมือนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ไม่มีผิดและแม้แต่คำพูดของเขาก็ดูใจเย็นจนน่าประหลาดใจ
เซียวฉางเหอโกรธมาก“สรุปว่าพวกคุณต้องการปิดคลังสินค้าของบริษัทเราเพื่อทำตามขั้นตอนทางกฎหมายใช่มั้ย ได้! งั้นคุณก็แสดงเอกสารการอนุมัติให้ฉันดู หากมีเอกสารที่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ เซียวฉางเหอคนนี้จะยอมให้ปิดโกดังและนำสินค้าไปตรวจสอบโดยไม่อิดออดเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าไม่มี ฉันจะยื่นฟ้องเรื่องการใช้อำนาจในทางที่ผิดและรบกวนการทำงานจนเกิดความเสียหายแก่บริษัทของเรา และความเสียหายทั้งหมดที่เกิดกับบริษัทเรา พวกคุณทั้งสองคนต้องเป็นคนรับผิดชอบ!”
“เหอะๆเอกสารการอนุมัติเหรอ ก็ต้องมีอยู่แล้วสิ! เพียงแต่ว่าพวกเราไม่ได้พกมันติดตัวมาด้วยในตอนนี้ แต่ตราบใดที่ประธานเซียวให้ความร่วมมือกับเราในการตรวจสอบ และกลับไปที่สำนักงานกับเรา ประธานเซียวก็จะได้เห็นเอกสารเองนั่นแหละ!” หัวหน้าซูหัวเราะและกล่าวต่ออีกว่า “และสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการตรวจสอบให้ชัดเจนว่าในโกดังของพวกคุณนั้นมียาปลอมและยาด้อยคุณภาพอย่างที่ได้พวกเรารับแจ้งมาอยู่จริงหรือไม่ และถ้ามีมันเป็นยาชนิดไหนบ้าง?!”
“ตลกสิ้นดี!”
เจ้าหน้าที่จางหัวเราะด้วยสีหน้าที่เยาะเย้ยและกล่าวว่า“จะทำเป็นเรื่องเยอะไปทำไม! พวกคุณกำลังค้าขายของปลอมและสินค้าด้อยคุณภาพ แค่นี้ก็สมเหตุสมผลมากพอแล้วไม่ใช่เหรอที่จะโดนตรวจสอบ ไม่ว่าจะได้รับการอนุมัติหรือไม่ สิ่งที่พวกเราพูดมันก็เหมือนกับการได้รับอนุมัติแล้วล่ะหน่า!”
หัวหน้าซูถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที“ไอ้หมูโง่” หัวหน้าซูแอบด่าเจ้าหน้าที่จางอยู่ในใจ แต่ในเมื่อเจ้าหน้าที่จางพูดออกไปแบบนั้นแล้ว เขาจึงได้แต่รีบพยายามแก้ไขสถานการณ์
หัวหน้าซูแสร้งเป็นหัวเราะแล้วพูดว่า“เสี่ยวจางของพวกเราชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย ฮ่าฮ่า! ในเมื่อพวกเรากล้าที่จะปิดโกดังของคุณ พวกเราก็ต้องมีเอกสารอนุมัติอยู่แล้ว!”
“หัวหน้าซูคุณไม่คิดหรือว่าการกระทำของคุณมันเป็นการรังแกประชาชนมากเกินไป” เซียวฉางเหอถามด้วยสีหน้าดำมืด เขามองไปที่เวลาและตอนนี้มันก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ถ้าเขาไม่สามารถไปส่งยาให้กับโรงพยาบาลอีกสิบกว่าแห่งได้ก่อนห้าโมงเย็น จะถือว่าพวกเขานั้นผิดสัญญา
“รังแกมากเกินไป”จู่ๆเจ้าหน้าที่จางก็ตะโกน “จะรังแกหรือไม่รังแก พวกคุณจะทำอะไรได้?!”
หัวหน้าซูยังคงไม่ยี่หระ“ประธานเซียวโปรดระวังคำพูดของคุณด้วย ยังไงพวกเราก็เป็นเจ้าหน้าที่และพวกเราก็มาทำตามหน้าที่ที่ได้รับแจ้งมา ทุกอย่างเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลตามข้อกฎหมาย ดังนั้นคุณอย่าได้ขัดขืนอีกเลย ไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่อดทนอีกต่อไป!”
ใบหน้าของเซียวฉางเหอเริ่มเป็นสีเขียวด้วยความโกรธจัดและพูดว่า“ฉันจะคอยดูว่าพวกคุณจะสามารถทำอะไรได้!”
หัวหน้าซูยิ้มอย่างชั่วร้าย“ประธานซู หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ฉันขอพูดอีกครั้ง นี่คือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ มันสมเหตุสมผลทุกประการและที่สำคัญมันถูกกฎหมาย!”
เซียวฉางเหอไม่อยากจะเสวนากับคนพวกนี้อีกดังนั้นเขาจึงเดินออกจากห้องทำงานด้วยความโมโห หลินเซิงผิงรีบตามหลังไปทันทีและพวกเขาทั้งสองคนก็ออกไปด้วยกัน
จี้เฟิงขยิบตาบอกให้เซียวหยูซวนตามพ่อของเธอออกไปในตอนนั้นเองเจ้าหน้าที่จางยังคงมองเซียวหยูซวนด้วยแววตาละโมบ กิริยาของเขามันทำให้จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเซียวหยูซวนไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้
อันที่จริงจี้เฟิงเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าตัวการของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่หัวหน้าซู ส่วนเจ้าหน้าที่จางก็เผลอพูดอะไรบางอย่างที่ดูมีพิรุธออกมาบ้างแล้ว
คนที่นามสกุลซูที่เป็นหัวหน้าดูจากการพูดการจาของเขาแล้วอยู่คนละระดับกับเจ้าหน้าที่หนุ่มนามสกุลจางที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเลย พวกเขาสองคนเหมือนสวรรค์กับโลกใต้ดิน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาสองคนนั้นมีเป้าหมายเดียวกัน พวกเขาต้องการยึดโกดังสินค้าของบริษัทยา
และจากคำพูดของทั้งสองก็เห็นได้ชัดว่าการมายึดโกดังสินค้าของบริษัทยาในครั้งนี้เป็นเพราะมีผู้อื่นอยู่เบื้องหลังอีกทีไม่อย่างนั้นทำไมพนักงานตัวเล็กๆถึงได้กล้าอวดดีขนาดนี้ ‘รังแกหรือไม่รังแกแล้วพวกคุณจะทำอะไรได้?’ งั้นเหรอ?!
เมื่อเห็นว่าเซียวหยูซวนกำลังจะเดินออกไปเจ้าหน้าที่จางที่มองตามเธอไปจนเธอก้าวพ้นจากประตูก็จำใจต้องถอนสายตากลับมาอย่างไม่เต็มใจนัก
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและจุดบุหรี่เขาพ่นควันออกช้าๆ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและคิดในใจ ไอ้คนแบบนี้นี่มันช่าง…
“เฮ้ไอ้หนู ทำไมถึงสูบบุหรี่คนเดียว ไม่เห็นเหรอว่ามีผู้ใหญ่นั่งอยู่ตรงนี้สองคน สงสัยจะไม่มีใครอบรมสั่งสอนการอยู่ในสังคม…” แต่ทันทีที่เขาเห็น สายตาอันเย็นเยียบของจี้เฟิงที่จ้องมองมา ก็ถึงกับตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว เขาถึงกับนิ่งเงียบและพูดไปออกไปพักใหญ่ๆ
จี้เฟิงจ้องไปที่เขาและเน้นคำพูดชัดๆทีละคำ“ฟังฉันให้ดี ถ้าคุณพูดจาดูหมิ่นและไม่ให้เกียรติคนอื่นอีกแม้แต่คำเดียว ปากเหม็นๆของคุณจะไม่มีโอกาสได้เปล่งเสียงออกมาอีกเลย!”
เดิมทีจี้เฟิงก็มีออร่างบางอย่างที่โดดเด่นอยู่รอบๆตัวเขามาตั้งแต่แรกแต่เมื่อบวกกับความทรงพลังของเขามันทำให้ร่างกายของเขาค่อยๆพัฒนาขึ้นจนออร่าที่โดดเด่นกลายเป็นออร่าแห่งความสง่างามและน่าเกรงขามอย่างที่คนใหญ่คนโตที่อยู่เหนือผู้อื่นมักจะมี และสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้ผู้คนพากันหวั่นเกรงและตกตะลึง
ความรู้สึกของเจ้าหน้าที่จางที่มองลึกเข้าไปในแววตาอันน่าสะพรึงกลัวของจี้เฟิงมันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังถูกปีศาจจากนรกกำลังจ้องมองมาที่เขา
ทันใดนั้นก็มีความเย็นที่ชวนขนลุกได้แผ่ซ่านขึ้นอย่างรวดเร็วจากกระดูกสันหลังของเขา และแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย เจ้าหน้าที่จางรู้สึกเหมือนตัวเขาได้ตกลงไปอยู่ในห้องใต้ดินอันหนาวเหน็บ ความรู้สึกเย็นยะเยือกส่งผลให้ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มจนแม้แต่ริมฝีปากก็ยังคงสั่นไปด้วยโดยไม่ตั้งใจ
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นเพราะแม้แต่หัวหน้าซูที่อยู่ข้างๆก็ถึงกับตกใจอย่างกะทันหัน ดวงตาของชายหนุ่มคนนี้ช่างเย็นชาเหลือเกิน!
จี้เฟิงถอนสายตาของเขาออกมาช้าๆเขาค่อยๆเดินไปที่โต๊ะทำงานและนั่งลงที่เก้าอี้อย่างช้าๆ พร้อมกับสูบบุหรี่ด้วยท่าทีที่สบาย
เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและพูดเบาๆว่า“เอาเท้าของพวกคุณลงจากโต๊ะแล้วเช็ดทำความสะอาดตรงจุดที่พวกคุณทำสกปรกเอาไว้ด้วย อย่าให้หลงเหลือคราบแม้แต่นิดเดียว!”
แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะราบเรียบแต่ก็เต็มไปด้วยความหมายที่ทำให้คนฟังไม่อาจปฏิเสธได้
ถ้าเซียวหยูซวนอยู่ที่นี่เธอจะรู้ได้ในทันทีว่าจี้เฟิงกำลังโกรธ
ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นแต่เป็นเพราะคนพวกนี้มองเธออย่างไร้ยางอายและไม่ให้เกียรติผู้หญิง ซึ่งไม่ต้องพูดถึงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นครอบครัวของเขา และแน่นอนว่ามันทำให้จี้เฟิงโกรธมาก
และเมื่อจี้เฟิงโกรธก็ไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลย!
คนหนึ่งดูสูงวัยกว่าหลายปีเขาน่าจะมีอายุประมาณสี่สิบห้าถึงห้าสิบปี ส่วนอีกคนยังดูหนุ่มๆอยู่น่าจะมีอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี
เมื่อจี้เฟิงและอีกสองคนเข้ามาก็เห็นคนที่มีอายุและเด็กหนุ่มกำลังนั่งเอนตัวพิงโซฟา ในปากของพวกเขาคาบบุหรี่และวางเท้าลงบนโต๊ะกลางหน้าโซฟาราวกับที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นควันบุหรี่ที่น่าอึดอัด ส่วนชายที่อายุสามสิบกว่าๆทำได้แค่เพียงหัวเราะแห้งๆอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ใบหน้าของทั้งสามคนก็จมลงทันที พวกเขาสองคนเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอาหารและยางั้นหรือ พวกเขาคิดว่ากำลังอยู่ที่ไหน?
“บอส!”ชายอายุ 30 ปีลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นเซียวฉางเหอ
เซียวฉางเหอพยายามระงับความโกรธของเขาและถามว่า“หลินเซิงผิง มันเกิดอะไรขึ้น แล้วพวกเขาเป็นใคร”
ชายวัย30 ปีคนนี้ชื่อว่าหลินเซิงผิง เขาเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัท
เมื่อได้ยินคำถามที่ไม่ค่อยพอใจของเซียวฉางเหอใบหน้าของเซิงผิงก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา เขาแอบขยิบตาให้เซียวฉางเหอและใบหน้าของเขาก็กลับมายิ้มอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว “บอส ผู้ชายสองคนนี้เป็นสหายจากสำนักงานอาหารและยา ผู้ชายท่านนี้คือหัวหน้าซู ส่วนท่านนี้คือเจ้าหน้าที่จาง!”
ชายวัยกลางคนคือหัวหน้าหน่วยซูส่วนชายหนุ่มคือเจ้าหน้าที่จาง ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงมาก แต่กลับทำตัวยิ่งใหญ่อย่างน่าขัน เมื่อหลินเซิงผิงแนะนำพวกเขา พวกเขาทั้งสองไม่แม้แต่จะลุกขึ้น พวกเขาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแม้ว่าเซียวฉางเหอจะทักทายตามมารยาทก็ตาม
กิริยาท่าทางของทั้งสองคนนี้ทำให้เซียวฉางเหออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่นหากไม่ติดว่าตัวตนของพวกเขาคือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอาหารและยา เกรงว่าเขาคงจะเรียก รปภ.มาลากคอสองคนนี้ออกไปเดี๋ยวนี้เลย
“ไม่ทราบว่าหัวหน้าทั้งสองมาที่บริษัทของเรามีคำแนะนำอะไรให้กับพวกเรางั้นหรือ” เซียวฉางเหอเดินไปที่โต๊ะทำงานอย่างช้าๆ เขานั่งลงบนเก้าอี้และถามด้วยเสียงเรียบ แต่ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะนิ่งมากและเมื่อฟังดูก็เป็นเพียงคำถามธรรมดา แต่ใครก็ตามที่ฉลาดพอจะเข้าใจได้ว่ามันเป็นคำพูดที่เย้ยหยัน
อย่างไรก็ตามหัวหน้าซูและเจ้าหน้าที่จางไม่เข้าใจและเมื่อพวกเขาได้ยินเซียวฉางเหอเรียกพวกเขาว่าหัวหน้า ทั้งสองคนก็เปิดปากหัวเราะที่ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ในนั้นเลย
โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่จางที่หัวเราะเสียงดังแต่เมื่อเขากวาดสายตาไปทั่วเรือนร่างของเซียวหยูซวน ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างเต็มไปด้วยแววตาที่ดูประหลาดใจจนลืมที่จะหัวเราะ เขาเพียงแค่จ้องมองไปที่เซียวหยูซวนอย่างไม่ปิดบัง
ดวงตาของจี้เฟิงและเซียวฉางเหอสว่างวาบออกมาพร้อมกันความรู้สึกของเซียวฉางเหอนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและโกรธเกรี้ยว ส่วนจี้เฟิงก็เหลือบมองเจ้าหน้าที่จางด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกอย่างไม่เปิดเผย
“ประธานเซียวฉันจะพูดเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ทางเราได้รับรายงานมาว่าบริษัทของคุณจำหน่ายยาปลอมและยาที่ไม่ได้คุณภาพ ทางเราจึงได้รับคำสั่งให้ปิดผนึกโกดังของคุณ และคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายยาเข้าสู่ตลาดจนกว่าจะได้รับการตรวจสอบโดยละเอียดและได้ผลสรุปออกมาอย่างชัดเจน!” ความรู้งานของหัวหน้าซูดีกว่าเจ้าหน้าที่จางอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยเขาก็รู้ลำดับความสำคัญ เซียวฉางเหอขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น“หัวหน้าซู ฉันเกรงว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมซักเท่าไหร่ คุณจะอาศัยเพียงแค่รายงานและมาปิดโกดังของบริษัทเราโดยไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดแบบนี้ มันเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎระเบียบแล้วงั้นหรือ”
“เหอๆถ้าเรื่องนี้ไม่มีมูลจริง แล้วพวกเราจะมากันทำไม!” หัวหน้าซูยิ้มอย่างไม่แยแสกับข้อโต้แย้งของเซียวฉางเหอ “ประธานเซียวพวกเรากำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ โปรดให้ความร่วมมือกับเราเพื่อเรื่องนี้จะได้ง่ายต่อทั้งสองฝ่าย คุณแค่เปิดโกดังและให้พวกเราทำการตรวจสอบ จากนั้นก็รอผลออกมาจึงจะตัดสินใจได้ว่าคลังยาของคุณควรที่จะได้รับอนุญาตให้เปิดเพื่อจัดจำหน่ายต่อได้หรือไม่”
“แล้วพวกคุณมีหลักฐานอะไรขอฉันดูหน่อยได้มั้ย” เซียวฉางเหอถามด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่หนักแน่น “ฉันมั่นใจและรู้ตัวเองดีว่าฉันไม่เคยกระทำความผิดอย่างที่พวกคุณได้รับรายงานมาแน่นอน อย่างไรก็ตามวันนี้บริษัทของเราจำเป็นต้องทำการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าของเรา และถ้าหากการจัดส่งสินค้าเกินกำหนดเวลาล่าช้ามันจะเป็นการผิดสัญญา ฉันจึงหวังว่าพวกคุณทั้งสองจะเข้าใจ ส่วนเรื่องการตรวจสอบก็ขอให้เป็นหลังจากที่บริษัทของเราได้จัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าให้เสร็จเรียบร้อยดีเสียก่อน แล้วถ้าพบว่าบริษัทของเราจัดจำหน่ายยาปลอมหรือยาด้อยคุณภาพทางเราก็มีความยินดีที่จะได้รับบทลงโทษใดๆที่กฎหมายได้กำหนดไว้!”
“เหอะ!แบบนั้นคงไม่ดีล่ะมั้ง!” ก่อนที่หัวหน้าซูจะทันได้พูดอะไร เจ้าหน้าที่จางก็ยิ้มเยาะ “ถ้ายาในโกดังของประธานเซียวเป็นยาปลอม เป็นยาที่ด้อยคุณภาพจริง แล้วทางเราอนุญาตให้คุณจัดส่งยาเหล่านั้นออกไป นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราละเลยหน้าที่และปล่อยให้ยาปลอมหรือยาด้อยคุณภาพเหล่านั้นไหลออกสู่ตลาดงั้นเหรอ หรือถึงแม้ว่ายาในโกดังคุณจะไม่ใช่ยาปลอมทั้งหมด แต่ถ้ามันมีอยู่จริง แล้วคุณอาศัยโอกาสนี้เพื่อขนย้ายหลบหนี มันจะเหลืออะไรให้พวกเราตรวจสอบได้อีกล่ะ?”
ฮึ่ม!
มือของเซียวฉางเหอยกสูงขึ้นทันทีเขาพยายามข่มกลั้นความโกรธเพื่อที่จะไม่ตบโต๊ะ แต่ไม่ว่าจะข่มอารมณ์อย่างไรเขาก็ไม่อาจปิดบังดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธได้
“หัวหน้าซูเจ้าหน้าที่จาง หากพวกคุณยังจะทำเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นไปตามหลักเหตุผลหรือข้อกฎหมายฉันจะถือว่าความคิดเห็นของเราไม่ตรงกัน!” เซียวฉางเหอกล่าว “พวกคุณต้องการอะไร ก็พูดมาออกมาตามตรงเลยดีกว่า”
ช่างเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดีคนที่สุภาพและมักจะใจเย็นอยู่เสมออย่างเซียวฉางเหอแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะทุบโต๊ะด้วยความโมโห
ลองคิดดูว่าถ้าหากมีคนคนหนึ่งพอที่จะมีอำนาจอยู่ในมือเพียงแค่สงสัยว่าคนอื่นมีความผิด ก็เลยยึดบ้านของคนอื่นอย่างหน้าด้านๆ โดยที่ไม่ถามความคิดเห็นหรือขอความยินยอม แบบนี้ยังเรียกว่าการตรวจสอบอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้อยู่อีกหรือ
“เหอะ!ประธานเซียวก็พูดติดตลกไปได้ สิ่งที่พวกเราพูดไปนั้นชัดเจนทุกอย่างแล้ว หากประธานเซียวต้องการแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด ก็แค่ยอมให้ความร่วมมือกับพวกเราในการตรวจสอบก็แค่นั้น!” หัวหน้าซูในเวลานี้ยิ้มเหมือนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ไม่มีผิดและแม้แต่คำพูดของเขาก็ดูใจเย็นจนน่าประหลาดใจ
เซียวฉางเหอโกรธมาก“สรุปว่าพวกคุณต้องการปิดคลังสินค้าของบริษัทเราเพื่อทำตามขั้นตอนทางกฎหมายใช่มั้ย ได้! งั้นคุณก็แสดงเอกสารการอนุมัติให้ฉันดู หากมีเอกสารที่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ เซียวฉางเหอคนนี้จะยอมให้ปิดโกดังและนำสินค้าไปตรวจสอบโดยไม่อิดออดเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าไม่มี ฉันจะยื่นฟ้องเรื่องการใช้อำนาจในทางที่ผิดและรบกวนการทำงานจนเกิดความเสียหายแก่บริษัทของเรา และความเสียหายทั้งหมดที่เกิดกับบริษัทเรา พวกคุณทั้งสองคนต้องเป็นคนรับผิดชอบ!”
“เหอะๆเอกสารการอนุมัติเหรอ ก็ต้องมีอยู่แล้วสิ! เพียงแต่ว่าพวกเราไม่ได้พกมันติดตัวมาด้วยในตอนนี้ แต่ตราบใดที่ประธานเซียวให้ความร่วมมือกับเราในการตรวจสอบ และกลับไปที่สำนักงานกับเรา ประธานเซียวก็จะได้เห็นเอกสารเองนั่นแหละ!” หัวหน้าซูหัวเราะและกล่าวต่ออีกว่า “และสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการตรวจสอบให้ชัดเจนว่าในโกดังของพวกคุณนั้นมียาปลอมและยาด้อยคุณภาพอย่างที่ได้พวกเรารับแจ้งมาอยู่จริงหรือไม่ และถ้ามีมันเป็นยาชนิดไหนบ้าง?!”
“ตลกสิ้นดี!”
เจ้าหน้าที่จางหัวเราะด้วยสีหน้าที่เยาะเย้ยและกล่าวว่า“จะทำเป็นเรื่องเยอะไปทำไม! พวกคุณกำลังค้าขายของปลอมและสินค้าด้อยคุณภาพ แค่นี้ก็สมเหตุสมผลมากพอแล้วไม่ใช่เหรอที่จะโดนตรวจสอบ ไม่ว่าจะได้รับการอนุมัติหรือไม่ สิ่งที่พวกเราพูดมันก็เหมือนกับการได้รับอนุมัติแล้วล่ะหน่า!”
หัวหน้าซูถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที“ไอ้หมูโง่” หัวหน้าซูแอบด่าเจ้าหน้าที่จางอยู่ในใจ แต่ในเมื่อเจ้าหน้าที่จางพูดออกไปแบบนั้นแล้ว เขาจึงได้แต่รีบพยายามแก้ไขสถานการณ์
หัวหน้าซูแสร้งเป็นหัวเราะแล้วพูดว่า“เสี่ยวจางของพวกเราชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย ฮ่าฮ่า! ในเมื่อพวกเรากล้าที่จะปิดโกดังของคุณ พวกเราก็ต้องมีเอกสารอนุมัติอยู่แล้ว!”
“หัวหน้าซูคุณไม่คิดหรือว่าการกระทำของคุณมันเป็นการรังแกประชาชนมากเกินไป” เซียวฉางเหอถามด้วยสีหน้าดำมืด เขามองไปที่เวลาและตอนนี้มันก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ถ้าเขาไม่สามารถไปส่งยาให้กับโรงพยาบาลอีกสิบกว่าแห่งได้ก่อนห้าโมงเย็น จะถือว่าพวกเขานั้นผิดสัญญา
“รังแกมากเกินไป”จู่ๆเจ้าหน้าที่จางก็ตะโกน “จะรังแกหรือไม่รังแก พวกคุณจะทำอะไรได้?!”
หัวหน้าซูยังคงไม่ยี่หระ“ประธานเซียวโปรดระวังคำพูดของคุณด้วย ยังไงพวกเราก็เป็นเจ้าหน้าที่และพวกเราก็มาทำตามหน้าที่ที่ได้รับแจ้งมา ทุกอย่างเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลตามข้อกฎหมาย ดังนั้นคุณอย่าได้ขัดขืนอีกเลย ไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่อดทนอีกต่อไป!”
ใบหน้าของเซียวฉางเหอเริ่มเป็นสีเขียวด้วยความโกรธจัดและพูดว่า“ฉันจะคอยดูว่าพวกคุณจะสามารถทำอะไรได้!”
หัวหน้าซูยิ้มอย่างชั่วร้าย“ประธานซู หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ฉันขอพูดอีกครั้ง นี่คือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ มันสมเหตุสมผลทุกประการและที่สำคัญมันถูกกฎหมาย!”
เซียวฉางเหอไม่อยากจะเสวนากับคนพวกนี้อีกดังนั้นเขาจึงเดินออกจากห้องทำงานด้วยความโมโห หลินเซิงผิงรีบตามหลังไปทันทีและพวกเขาทั้งสองคนก็ออกไปด้วยกัน
จี้เฟิงขยิบตาบอกให้เซียวหยูซวนตามพ่อของเธอออกไปในตอนนั้นเองเจ้าหน้าที่จางยังคงมองเซียวหยูซวนด้วยแววตาละโมบ กิริยาของเขามันทำให้จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเซียวหยูซวนไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้
อันที่จริงจี้เฟิงเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าตัวการของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่หัวหน้าซู ส่วนเจ้าหน้าที่จางก็เผลอพูดอะไรบางอย่างที่ดูมีพิรุธออกมาบ้างแล้ว
คนที่นามสกุลซูที่เป็นหัวหน้าดูจากการพูดการจาของเขาแล้วอยู่คนละระดับกับเจ้าหน้าที่หนุ่มนามสกุลจางที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเลย พวกเขาสองคนเหมือนสวรรค์กับโลกใต้ดิน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาสองคนนั้นมีเป้าหมายเดียวกัน พวกเขาต้องการยึดโกดังสินค้าของบริษัทยา
และจากคำพูดของทั้งสองก็เห็นได้ชัดว่าการมายึดโกดังสินค้าของบริษัทยาในครั้งนี้เป็นเพราะมีผู้อื่นอยู่เบื้องหลังอีกทีไม่อย่างนั้นทำไมพนักงานตัวเล็กๆถึงได้กล้าอวดดีขนาดนี้ ‘รังแกหรือไม่รังแกแล้วพวกคุณจะทำอะไรได้?’ งั้นเหรอ?!
เมื่อเห็นว่าเซียวหยูซวนกำลังจะเดินออกไปเจ้าหน้าที่จางที่มองตามเธอไปจนเธอก้าวพ้นจากประตูก็จำใจต้องถอนสายตากลับมาอย่างไม่เต็มใจนัก
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและจุดบุหรี่เขาพ่นควันออกช้าๆ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและคิดในใจ ไอ้คนแบบนี้นี่มันช่าง…
“เฮ้ไอ้หนู ทำไมถึงสูบบุหรี่คนเดียว ไม่เห็นเหรอว่ามีผู้ใหญ่นั่งอยู่ตรงนี้สองคน สงสัยจะไม่มีใครอบรมสั่งสอนการอยู่ในสังคม…” แต่ทันทีที่เขาเห็น สายตาอันเย็นเยียบของจี้เฟิงที่จ้องมองมา ก็ถึงกับตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว เขาถึงกับนิ่งเงียบและพูดไปออกไปพักใหญ่ๆ
จี้เฟิงจ้องไปที่เขาและเน้นคำพูดชัดๆทีละคำ“ฟังฉันให้ดี ถ้าคุณพูดจาดูหมิ่นและไม่ให้เกียรติคนอื่นอีกแม้แต่คำเดียว ปากเหม็นๆของคุณจะไม่มีโอกาสได้เปล่งเสียงออกมาอีกเลย!”
เดิมทีจี้เฟิงก็มีออร่างบางอย่างที่โดดเด่นอยู่รอบๆตัวเขามาตั้งแต่แรกแต่เมื่อบวกกับความทรงพลังของเขามันทำให้ร่างกายของเขาค่อยๆพัฒนาขึ้นจนออร่าที่โดดเด่นกลายเป็นออร่าแห่งความสง่างามและน่าเกรงขามอย่างที่คนใหญ่คนโตที่อยู่เหนือผู้อื่นมักจะมี และสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้ผู้คนพากันหวั่นเกรงและตกตะลึง
ความรู้สึกของเจ้าหน้าที่จางที่มองลึกเข้าไปในแววตาอันน่าสะพรึงกลัวของจี้เฟิงมันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังถูกปีศาจจากนรกกำลังจ้องมองมาที่เขา
ทันใดนั้นก็มีความเย็นที่ชวนขนลุกได้แผ่ซ่านขึ้นอย่างรวดเร็วจากกระดูกสันหลังของเขา และแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย เจ้าหน้าที่จางรู้สึกเหมือนตัวเขาได้ตกลงไปอยู่ในห้องใต้ดินอันหนาวเหน็บ ความรู้สึกเย็นยะเยือกส่งผลให้ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มจนแม้แต่ริมฝีปากก็ยังคงสั่นไปด้วยโดยไม่ตั้งใจ
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นเพราะแม้แต่หัวหน้าซูที่อยู่ข้างๆก็ถึงกับตกใจอย่างกะทันหัน ดวงตาของชายหนุ่มคนนี้ช่างเย็นชาเหลือเกิน!
จี้เฟิงถอนสายตาของเขาออกมาช้าๆเขาค่อยๆเดินไปที่โต๊ะทำงานและนั่งลงที่เก้าอี้อย่างช้าๆ พร้อมกับสูบบุหรี่ด้วยท่าทีที่สบาย
เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและพูดเบาๆว่า“เอาเท้าของพวกคุณลงจากโต๊ะแล้วเช็ดทำความสะอาดตรงจุดที่พวกคุณทำสกปรกเอาไว้ด้วย อย่าให้หลงเหลือคราบแม้แต่นิดเดียว!”
แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะราบเรียบแต่ก็เต็มไปด้วยความหมายที่ทำให้คนฟังไม่อาจปฏิเสธได้
ถ้าเซียวหยูซวนอยู่ที่นี่เธอจะรู้ได้ในทันทีว่าจี้เฟิงกำลังโกรธ
ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นแต่เป็นเพราะคนพวกนี้มองเธออย่างไร้ยางอายและไม่ให้เกียรติผู้หญิง ซึ่งไม่ต้องพูดถึงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นครอบครัวของเขา และแน่นอนว่ามันทำให้จี้เฟิงโกรธมาก
และเมื่อจี้เฟิงโกรธก็ไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลย!