The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 293 อาละวาด
เซียวฉางเหอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“ผู้จัดการหลินน่ะเหรอ เขาเป็นคนที่มีความสามารถนะ เรียนจบปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เขาเคยทำงานอยู่ในบริษัทข้ามชาติอยู่สามปี จากนั้นก็ทำเกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจอยู่สักพัก แต่เป็นเพราะเขาไม่ชอบการกระทำของคนบางคนในนั้นเขาจึงลาออกมา”
“ถือได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่งเลย!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าด้วยความชื่นชม
“ถูกต้องก่อนหน้านี้บริษัทยาของฉันสามารถทำธุรกิจกับโรงพยาบาลและคลินิกในย่านชานเมืองเท่านั้น ถ้าในเจียงโจวก็จะมีเพียงคลินิกเล็กๆไม่กี่แห่ง แต่ตั้งแต่ผู้จัดการหลินเข้ามา ธุรกิจของบริษัทก็ขยับขยายไปยังสถานพยาบาลที่ใหญ่ขึ้นในเจียงโจว ผู้จัดการหลินเข้ามาทำงานที่บริษัทของเพียงสองปีเท่านั้นแต่สามารถทำให้ธุรกิจของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่าสี่เท่า” เซียวฉางเหอพูดถึงผู้จัดการหลินด้วยความชื่นชม เขาทำงานหนักมากว่า 20 ปี และปริมาณธุรกิจประจำปีของบริษัทไม่เกิน 10 ล้านซึ่งในปัจจุบันนี้มี 40 ถึง 50 ล้านหยวนต่อปี
ยิ่งกว่านั้นยังไม่นับรวมโรงพยาบาลทั้ง3 แห่งที่เพิ่งตกลงสร้างความสัมพันธ์ร่วมมือกัน มิฉะนั้นแล้วปริมาณธุรกิจประจำปีจะเกิน 100 ล้านเป็นอย่างน้อย
ด้วยธุรกิจรวมกว่า100 ล้านหยวน กำไรของบริษัทต้องไม่ต่ำกว่า 20 ล้านหยวน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งจริงๆ
แต่ในความเป็นจริงเมื่อต้องเทียบกับบริษัทใหญ่ๆถือได้ว่าเป็นเพียงตัวเลขที่เล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับเซียวฉางเหอถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจมาก
เขาเคยทำงานหนักเพียงเพื่อให้ชีวิตของภรรยาและลูกของเขาดีขึ้นแต่ตอนนี้เขาต้องการทำให้บริษัทเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพไปนานๆ โดยหวังว่าบริษัทที่เขาทิ้งไว้ให้กับลูกสาวจะมั่นคงพอเมื่อถึงวันที่เขาเกษียณ
“เสี่ยวเฟิงแล้วทำไมจู่ๆถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ” เซียวฉางเหอถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยแล้วยิ้ม“ไม่มีอะไรหรอกครับ เพราะผมเรียนเศรษฐศาสตร์ผมเลยสนใจการทำงานของผู้จัดการหลินมากและหวังว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้ขอคำแนะนำจากเขาบ้าง”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เองถ้ามีเวลาเธอต้องขอคำแนะนำจากผู้จัดการหลินจริงๆนั่นแหละ ฉันว่าเขาต้องช่วยเธอได้มากทีเดียว!” เซียวฉางเหอยิ้มน้อยๆ
ในใจของเซียวฉางเหอนั้นคิดไว้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะมอบบริษัทนี้ส่งต่อให้กับลูกสาวของเขาและหลินเซิงผิงก็เป็นคนที่ทำงานเก่งนิสัยส่วนตัวก็ดีทีเดียว และถ้าเป็นไปได้เขาก็หวังว่าหลินเซิงผิงจะอยู่ในบริษัทนี้นานๆ ดังนั้นถ้าจี้เฟิงได้มาทำความรู้จักสนิทสนมกับหลินเซิงผิงไว้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“คงต้องรอโอกาสเหมาะที่ผู้จัดการหลินไม่ยุ่งนั่นแหละครับ”
เซียวหยูซวนเหลืองมองจี้เฟิงอย่างครุ่นคิดแต่เมื่อเห็นว่าเขากำลังพูดคุยกับพ่อของตัวเองอยู่ เธอจึงไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดจากคิ้วที่ขมวดอยู่เล็กน้อยของเธอสามารถบอกได้ว่าเธอมีความคิดอะไรบางอย่าง
ทั้งสามคนพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ในห้องทำงานของผู้จัดการทั่วไปส่วนหัวหน้าซูแจะจางเก๋อหลานที่อยู่ในห้องทำงานของเซียวฉางเหอช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หัวหน้าซูนั่งบนโซฟาและสูบบุหรี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดส่วนจางเก๋อหลานเดินวนไปวนมาด้วยสีหน้าร้อนรน
“หัวหน้าซูทำไมพี่เขยของฉันเขายังไม่มาอีกล่ะ หรือว่าเขาจะไม่กล้ามา!” จางเก๋อหลานถามด้วยความกังวล ตั้งแต่เห็นแววตาที่เย็นชาของจี้เฟิง และการแสดงออกที่ไม่ยอมลงให้พวกเขาง่ายๆ มันทำให้จางเก๋อหลานรู้สึกตงิดในใจและเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นไปได้รึเปล่าว่าไอ้เด็กจี้เฟิงนั่นมันจะเป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโตจริงๆ”จางเก๋อหลานอดไม่ได้ที่จะพึมพำอยู่ในใจ เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นมาในหัว มันก็ไม่สามารถลบล้างออกไปได้อีก และความคิดนี้มันยังคงกวนใจของเขาอยู่ตลอด จึงทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น
แต่เขาไม่กล้าพอที่จะโทรหาพี่เขยของเขาเพื่อเร่งเร้าหวงฉีตงไม่เคยมีทัศนคติที่ดีต่อเขาเลย หากไม่ใช่เพราะพี่สาวของเขาคอยช่วย เขาที่ไม่จบแม้กระทั่งม.ปลายจะได้เข้ามาเป็นพนักงานของสำนักงานอาหารและยาได้อย่างไร และกำลังจะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าแผนกเร็วๆนี้?
ดังนั้นจางเก๋อหลานที่ไม่สามารถทำอะไรได้ในเวลานี้นอกจากเดินวนไปวนมาอย่างเป็นกังวล หัวหน้าซูเริ่มรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเมื่อเห็นจางเก๋อหลานเดินวนไปวนมาไม่หยุดและอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะหงุดหงิดว่า“เก๋อหลาน ถ้าคุณไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ ก็โทรหาพี่สาวของคุณและถามเธอดูสิ เพื่อเธอจะรู้อะไรบ้าง!”
“ความคิดดี!”ดวงตาของจางเก๋อหลานเป็นประกายขึ้นมาทันที “ฉันจะโทรเดี๋ยวนี้หละ!”
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดหมายเลขของหยูหยินผิงพี่สาวของเขา “เฮ้พี่สาว พี่พอจะรู้มั้ยว่าพี่เขยเขาออกมาหรือยัง ผมกับหัวหน้าซูที่อยู่ทางนี้ไม่สามารถหยุดการส่งของของบริษัทนี้ได้!”
เสียงแหลมคมดังขึ้นทางโทรศัพท์“ไม่ต้องห่วงนะเก๋อหลาน พี่เขยของนายออกไปแล้วน่าจะถึงเร็วๆนี้แหละ นายแค่ต้องใจเย็นๆ ทำตัวสบายๆ อย่าหุนหันพลันแล่นโดยเด็ดขาด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเย่อหยิ่งมากแค่ไหนก็ปล่อยเขาไปก่อน เพราะทันทีที่พี่เขยของนายไปถึงเขาจะต้องมาก้มหัวให้นาย!”
“แต่…มีผู้ชายคนหนึ่งที่นี่ ดูเหมือนว่าเขาจะมีแบ็คดีไม่ใช่เล่นเลยนะพี่..” จางเก๋อหลานพูดอย่างไม่แน่ใจ “พี่เขยจะจัดการเขาได้ใช่มั้ย”
“จะแบ็คดีแบ็คใหญ่อะไรกันอย่าคิดมาก ฉันตรวจสอบประวัติของบริษัทนั้นมาเป็นอย่างดีแล้ว พวกเขาไม่ใช่ตระกูลใหญ่โตอะไรเป็นเพียงแค่ครอบครัวธรรมดาที่ตะเกียกตะกายดิ้นรนจนร่ำรวยด้วยตัวเองและต่อให้มีคนหนุนหลังก็ไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไรหรอก” หยูหยินผิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “และยิ่งไปกว่านั้น คราวนี้คุณชายชิวก็ไปกับพี่เขยของนายด้วย แบบนี้แล้วนายคิดว่าคนหนุนหลังของบริษัทนั้นยังจะใหญ่กว่าคุณชายชิวอีกงั้นหรอ”
“คุณชายชิวพี่เขยเป็นเพื่อนกับลูกชายของรองนายกเทศมนตรีเขตชิวเจิ้งฟางั้นเหรอ?!” จางเก๋อหลานรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที “ดีๆ คราวนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว จะมีสักกี่คนในเจียงโจวที่กล้ามีปัญหากับคุณชายชิว!”
เมื่อวางสายจางเก๋อหลานก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ“หัวหน้าซู พี่เขยของฉันกำลังมาที่นี่พร้อมกับคุณชายชิว ดังนั้นพวกเรารออย่างสบายใจได้เลย เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปทันที”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวหน้าซูก็ผ่อนลมหายใจเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของจางเก๋อหลาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองอย่างดูถูก เกรงว่าคงไม่มีใครในสำนักงานอาหารและยาจะไม่รู้ว่าไอ้เด็กไร้ความสามารถคนนี้ได้เข้ามาทำงานเพราะเส้นสาย เป็นแค่เด็กที่จองหองงี่เง่าเก่งแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่พอเจอของจริงเข้าหน่อยก็หัวหดตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
แต่สิ่งที่เป็นที่เลื่องลือยิ่งกว่าเรื่องของจางเก๋อหลานก็คือเรื่องของหยูหยินผิงพี่สาวของเขาที่กางเกงหลวมยิ่งกว่ากระสอบเมื่อเธอยุ่งกับรองผู้อำนวยการหวงเจิ้งฟา มีคนจับได้หลายต่อครั้งจนกลายเป็นขี้ปากของคนทั้งสำนักงาน รองผู้อำนวยการหวงเจิ้งฟาจึงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากว่าไล่เธอออก แต่สุดท้ายเธอกลับกลายเป็นลูกสะใภ้ของรองผู้อำนวยการหวงเจิ้งฟาซะอย่างนั้น
เรื่องนี้กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ให้ผู้คนได้พูดคุยกันหลังอาหารค่ำอยู่เสมอๆดังนั้นทุกคนที่รู้เรื่องนี้จึงไม่มีใครให้ค่าแก่สองคนนี้
แต่เนื่องจากอิทธิพลของรองผู้อำนวยการพนักงานตัวเล็กๆอย่างพวกเขาหรือจะกล้าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าได้
หัวหน้าซูที่นั่งอยู่บนโซฟาคิดเยาะเย้ยอยู่ในใจในขณะที่จางเก๋อหลานตื่นเต้นมาก เขานั่งลงบนโซฟาและยื่นบุหรี่ให้หัวหน้าซูและพูดด้วยความตื่นเต้น “พี่สาวของฉันรักฉันมาก ถึงแม้เราจะเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกันแต่ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆซะอีก!”
“ใช่ๆน่าอิจฉาจริงๆ!” หัวหน้าซูหัวเราะหึๆ แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า <“น่าอิจฉากะผีอะไรล่ะถ้าฉันมีลูกพี่ลูกน้องแบบนี้คงไม่มีหน้าไปพบเจอผู้คนหรอก!”>
ความจริงแล้วการมาที่นี่ในครั้งนี้หัวหน้าซูก็ไม่ค่อยอยากจะมาสักเท่าไหร่แต่เมื่อได้กลิ่นเงินอันหอมหวนมันก็ยากที่จะอดใจไหว ปีนี้เขาก็มีอายุเกือบจะ 50 ปีแล้ว เหลืออีกไม่กี่ปีก็จะเกษียณ แต่เขายังคงเป็นแค่หัวหน้าแผนก และความปรารถนาในอำนาจของเขาได้จางหายไปอย่างมาก
แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับเงินเขาก็ไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ จนต้องมานั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้
ในตอนนั้นเองโทรศัพท์ของจางเก๋อหลานก็ดังขึ้นเขาหยิบมันขึ้นมามองดู แล้วก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “เฮ้ย! พี่เขยฉันโทรมา!”
เขารีบกดรับสายอย่างรวดเร็ว“พี่เขย ฉันเก๋อหลาน …. โอเค ฉันกับหัวหน้าซูจะออกไปรับพี่..”
หลังจากวางสายจางเก๋อหลานก็หันไปพูดกับหัวหน้าซูทันที“หัวหน้าซู พี่เขยของฉันกับคุณชายชิวมาถึงแล้ว ไปรับพวกเขาที่ประตูกัน!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับลูกชายของรองผู้อำนวยการหัวหน้าซูไม่กล้าที่จะทำตัวนิ่งเฉย เขารีบลุกขึ้น “ไปกันเถอะ!”
………………
หวงฉีตงคุณชายชิว และคนอื่นๆ ลงจากรถที่หน้าอาคารสำนักงานบริษัทยาฉางเหอ ส่วนจางเก๋อหลานกับหัวหน้าซูก็เพิ่งเดินมาถึงพอดี พวกเขาทั้งสองคนรีบเข้าไปทักทาย “นายน้อยหวง นายน้อยชิว!”
หวงฉีตงพยักหน้าแค่เพียงเล็กน้อยส่วนชิวเผิงเฟยไม่ได้พยักหน้าหรือตอบรับใดๆไม่แต่จะเหลือบมองมาที่พวกเขาด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะไม่พอใจ
“พี่เขยบริษัทยานั้นอยู่ชั้นบน” จางเก๋อหลานพูด “คนพวกนั้นหยิ่งผยองมากเกินไป เขาไม่แม้แต่จะเห็นแก่หน้าพี่เขยของฉันเลย!” หัวหน้าซูกล่าวเตือนอย่างระมัดระวัง“นายน้อยหวง นายน้อยชิว บนนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะมีภูมิหลังบางอย่าง คุณสองคน…”
“จะพูดอีกนานมั้ยนำไปสิ! ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่ามันเป็นใครถึงได้กล้าทำตัวกร่างในเจียงโจวแบบนี้ แต่ก็คงจะไม่พ้นพวกลูกเศรษฐีใหม่ที่เพิ่งจะมีอำนาจเลยอยากลองของเท่านั้นละมั้ง!” หวงฉีตง พูดด้วยความรังเกียจ เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้หัวหน้าซูและจางเก๋อหลานเดินนำไป
………………
“ปัง!”
ประตูสำนักงานถูกผลักเปิดออกอย่างแรงหลินเซิงผิงวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “บอสครับ มีคนกลุ่มหนึ่งมาจากข้างนอก พวกเขามาที่บริษัทของเราด้วยท่าทางไม่พอใจ”
เซียวฉางเหอขมวดคิ้วทันทีแต่จี้เฟิงกลับยิ้มบางๆ “ดูท่าว่านายท่านจะมากันแล้ว!” เขาหันศีรษะไปพูดกับเซียวฉางเหอ “คุณลุงครับผมขอออกไปดูหน่อยแล้วกันนะครับ”
เซียวฉางเหอกล่าวว่า“ยังไงฉันก็เป็นเจ้าของบริษัท คงไม่ดีถ้าจะให้ฉันนั่งหลบอยู่แต่ข้างหลังตลอดเวลา”
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในเวลานี้หวงฉีตง คุณชายชิว และคนอื่นๆกำลังยืนอยู่ที่แผนกต้อนรับของบริษัทยาฉางเหอ พวกเขากำลังส่งเสียงดังโวยวายอยู่ที่แผนกต้อนรับ “ฉันจะให้เวลาคุณแค่สองนาที รีบไปตามเจ้านายของคุณมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
พนักงานต้อนรับรู้สึกตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูกจนหวงฉีตงตะโกนออกมาอีกครั้ง “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
“อ่า…!!”
พนักงานต้อนรับสะดุ้งตกใจและรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นท่าทีตื่นตระหนกของพนักงานต้อนรับทุกคนก็พากันหัวเราะ โดยเฉพาะจางเก๋อหลานที่หัวเราะเสียงดังกว่าใคร ตั้งแต่จี้เฟิงมาที่นี่ เขาถูกกดขี่จนหัวหด ไม่ต้องพูดถึงว่ามีใครในบริษัทนี้ต้อนรับเขาเป็นอย่างดีหรือไม่ เพราะแม้แต่น้ำชายังไม่มีใครรินให้เขาเลย ซึ่งทำให้เขาโกรธมาก
เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายตื่นตระหนกไปด้วยความหวาดกลัวมักก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจและสะใจมาก และในที่สุดจางเก๋อหลานก็กลับมาเป็นคนที่มีลักษณะเย่อหยิ่งและดูโง่เขลา
อย่างไรก็ตามพนักงานบริษัทยาฉางเหอคนอื่นๆที่อยู่ในละแวกนั้นต่างประหม่าและถอยห่างออกไปทีละคน ไม่มีใครกล้าเสนอตัวออกมาหยุดพวกเขา แม้แต่ รปภ.สองคนที่อยู่ตรงประตูยังไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวและได้แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น
เมื่อเห็นฉากนี้หวงฉีตงและคนอื่นๆก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนายน้อยอย่างพวกเขามีพนักงานตัวเล็กๆที่ไหนบ้างที่กล้าพอจะสบตานายน้อยอย่างพวกเขา
“ถือได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่งเลย!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าด้วยความชื่นชม
“ถูกต้องก่อนหน้านี้บริษัทยาของฉันสามารถทำธุรกิจกับโรงพยาบาลและคลินิกในย่านชานเมืองเท่านั้น ถ้าในเจียงโจวก็จะมีเพียงคลินิกเล็กๆไม่กี่แห่ง แต่ตั้งแต่ผู้จัดการหลินเข้ามา ธุรกิจของบริษัทก็ขยับขยายไปยังสถานพยาบาลที่ใหญ่ขึ้นในเจียงโจว ผู้จัดการหลินเข้ามาทำงานที่บริษัทของเพียงสองปีเท่านั้นแต่สามารถทำให้ธุรกิจของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่าสี่เท่า” เซียวฉางเหอพูดถึงผู้จัดการหลินด้วยความชื่นชม เขาทำงานหนักมากว่า 20 ปี และปริมาณธุรกิจประจำปีของบริษัทไม่เกิน 10 ล้านซึ่งในปัจจุบันนี้มี 40 ถึง 50 ล้านหยวนต่อปี
ยิ่งกว่านั้นยังไม่นับรวมโรงพยาบาลทั้ง3 แห่งที่เพิ่งตกลงสร้างความสัมพันธ์ร่วมมือกัน มิฉะนั้นแล้วปริมาณธุรกิจประจำปีจะเกิน 100 ล้านเป็นอย่างน้อย
ด้วยธุรกิจรวมกว่า100 ล้านหยวน กำไรของบริษัทต้องไม่ต่ำกว่า 20 ล้านหยวน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งจริงๆ
แต่ในความเป็นจริงเมื่อต้องเทียบกับบริษัทใหญ่ๆถือได้ว่าเป็นเพียงตัวเลขที่เล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับเซียวฉางเหอถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจมาก
เขาเคยทำงานหนักเพียงเพื่อให้ชีวิตของภรรยาและลูกของเขาดีขึ้นแต่ตอนนี้เขาต้องการทำให้บริษัทเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพไปนานๆ โดยหวังว่าบริษัทที่เขาทิ้งไว้ให้กับลูกสาวจะมั่นคงพอเมื่อถึงวันที่เขาเกษียณ
“เสี่ยวเฟิงแล้วทำไมจู่ๆถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ” เซียวฉางเหอถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยแล้วยิ้ม“ไม่มีอะไรหรอกครับ เพราะผมเรียนเศรษฐศาสตร์ผมเลยสนใจการทำงานของผู้จัดการหลินมากและหวังว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้ขอคำแนะนำจากเขาบ้าง”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เองถ้ามีเวลาเธอต้องขอคำแนะนำจากผู้จัดการหลินจริงๆนั่นแหละ ฉันว่าเขาต้องช่วยเธอได้มากทีเดียว!” เซียวฉางเหอยิ้มน้อยๆ
ในใจของเซียวฉางเหอนั้นคิดไว้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะมอบบริษัทนี้ส่งต่อให้กับลูกสาวของเขาและหลินเซิงผิงก็เป็นคนที่ทำงานเก่งนิสัยส่วนตัวก็ดีทีเดียว และถ้าเป็นไปได้เขาก็หวังว่าหลินเซิงผิงจะอยู่ในบริษัทนี้นานๆ ดังนั้นถ้าจี้เฟิงได้มาทำความรู้จักสนิทสนมกับหลินเซิงผิงไว้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“คงต้องรอโอกาสเหมาะที่ผู้จัดการหลินไม่ยุ่งนั่นแหละครับ”
เซียวหยูซวนเหลืองมองจี้เฟิงอย่างครุ่นคิดแต่เมื่อเห็นว่าเขากำลังพูดคุยกับพ่อของตัวเองอยู่ เธอจึงไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดจากคิ้วที่ขมวดอยู่เล็กน้อยของเธอสามารถบอกได้ว่าเธอมีความคิดอะไรบางอย่าง
ทั้งสามคนพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ในห้องทำงานของผู้จัดการทั่วไปส่วนหัวหน้าซูแจะจางเก๋อหลานที่อยู่ในห้องทำงานของเซียวฉางเหอช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หัวหน้าซูนั่งบนโซฟาและสูบบุหรี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดส่วนจางเก๋อหลานเดินวนไปวนมาด้วยสีหน้าร้อนรน
“หัวหน้าซูทำไมพี่เขยของฉันเขายังไม่มาอีกล่ะ หรือว่าเขาจะไม่กล้ามา!” จางเก๋อหลานถามด้วยความกังวล ตั้งแต่เห็นแววตาที่เย็นชาของจี้เฟิง และการแสดงออกที่ไม่ยอมลงให้พวกเขาง่ายๆ มันทำให้จางเก๋อหลานรู้สึกตงิดในใจและเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นไปได้รึเปล่าว่าไอ้เด็กจี้เฟิงนั่นมันจะเป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโตจริงๆ”จางเก๋อหลานอดไม่ได้ที่จะพึมพำอยู่ในใจ เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นมาในหัว มันก็ไม่สามารถลบล้างออกไปได้อีก และความคิดนี้มันยังคงกวนใจของเขาอยู่ตลอด จึงทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น
แต่เขาไม่กล้าพอที่จะโทรหาพี่เขยของเขาเพื่อเร่งเร้าหวงฉีตงไม่เคยมีทัศนคติที่ดีต่อเขาเลย หากไม่ใช่เพราะพี่สาวของเขาคอยช่วย เขาที่ไม่จบแม้กระทั่งม.ปลายจะได้เข้ามาเป็นพนักงานของสำนักงานอาหารและยาได้อย่างไร และกำลังจะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าแผนกเร็วๆนี้?
ดังนั้นจางเก๋อหลานที่ไม่สามารถทำอะไรได้ในเวลานี้นอกจากเดินวนไปวนมาอย่างเป็นกังวล หัวหน้าซูเริ่มรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเมื่อเห็นจางเก๋อหลานเดินวนไปวนมาไม่หยุดและอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะหงุดหงิดว่า“เก๋อหลาน ถ้าคุณไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ ก็โทรหาพี่สาวของคุณและถามเธอดูสิ เพื่อเธอจะรู้อะไรบ้าง!”
“ความคิดดี!”ดวงตาของจางเก๋อหลานเป็นประกายขึ้นมาทันที “ฉันจะโทรเดี๋ยวนี้หละ!”
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดหมายเลขของหยูหยินผิงพี่สาวของเขา “เฮ้พี่สาว พี่พอจะรู้มั้ยว่าพี่เขยเขาออกมาหรือยัง ผมกับหัวหน้าซูที่อยู่ทางนี้ไม่สามารถหยุดการส่งของของบริษัทนี้ได้!”
เสียงแหลมคมดังขึ้นทางโทรศัพท์“ไม่ต้องห่วงนะเก๋อหลาน พี่เขยของนายออกไปแล้วน่าจะถึงเร็วๆนี้แหละ นายแค่ต้องใจเย็นๆ ทำตัวสบายๆ อย่าหุนหันพลันแล่นโดยเด็ดขาด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเย่อหยิ่งมากแค่ไหนก็ปล่อยเขาไปก่อน เพราะทันทีที่พี่เขยของนายไปถึงเขาจะต้องมาก้มหัวให้นาย!”
“แต่…มีผู้ชายคนหนึ่งที่นี่ ดูเหมือนว่าเขาจะมีแบ็คดีไม่ใช่เล่นเลยนะพี่..” จางเก๋อหลานพูดอย่างไม่แน่ใจ “พี่เขยจะจัดการเขาได้ใช่มั้ย”
“จะแบ็คดีแบ็คใหญ่อะไรกันอย่าคิดมาก ฉันตรวจสอบประวัติของบริษัทนั้นมาเป็นอย่างดีแล้ว พวกเขาไม่ใช่ตระกูลใหญ่โตอะไรเป็นเพียงแค่ครอบครัวธรรมดาที่ตะเกียกตะกายดิ้นรนจนร่ำรวยด้วยตัวเองและต่อให้มีคนหนุนหลังก็ไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไรหรอก” หยูหยินผิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “และยิ่งไปกว่านั้น คราวนี้คุณชายชิวก็ไปกับพี่เขยของนายด้วย แบบนี้แล้วนายคิดว่าคนหนุนหลังของบริษัทนั้นยังจะใหญ่กว่าคุณชายชิวอีกงั้นหรอ”
“คุณชายชิวพี่เขยเป็นเพื่อนกับลูกชายของรองนายกเทศมนตรีเขตชิวเจิ้งฟางั้นเหรอ?!” จางเก๋อหลานรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที “ดีๆ คราวนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว จะมีสักกี่คนในเจียงโจวที่กล้ามีปัญหากับคุณชายชิว!”
เมื่อวางสายจางเก๋อหลานก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ“หัวหน้าซู พี่เขยของฉันกำลังมาที่นี่พร้อมกับคุณชายชิว ดังนั้นพวกเรารออย่างสบายใจได้เลย เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปทันที”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวหน้าซูก็ผ่อนลมหายใจเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของจางเก๋อหลาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองอย่างดูถูก เกรงว่าคงไม่มีใครในสำนักงานอาหารและยาจะไม่รู้ว่าไอ้เด็กไร้ความสามารถคนนี้ได้เข้ามาทำงานเพราะเส้นสาย เป็นแค่เด็กที่จองหองงี่เง่าเก่งแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่พอเจอของจริงเข้าหน่อยก็หัวหดตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
แต่สิ่งที่เป็นที่เลื่องลือยิ่งกว่าเรื่องของจางเก๋อหลานก็คือเรื่องของหยูหยินผิงพี่สาวของเขาที่กางเกงหลวมยิ่งกว่ากระสอบเมื่อเธอยุ่งกับรองผู้อำนวยการหวงเจิ้งฟา มีคนจับได้หลายต่อครั้งจนกลายเป็นขี้ปากของคนทั้งสำนักงาน รองผู้อำนวยการหวงเจิ้งฟาจึงไม่มีทางเลือกนอกเสียจากว่าไล่เธอออก แต่สุดท้ายเธอกลับกลายเป็นลูกสะใภ้ของรองผู้อำนวยการหวงเจิ้งฟาซะอย่างนั้น
เรื่องนี้กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ให้ผู้คนได้พูดคุยกันหลังอาหารค่ำอยู่เสมอๆดังนั้นทุกคนที่รู้เรื่องนี้จึงไม่มีใครให้ค่าแก่สองคนนี้
แต่เนื่องจากอิทธิพลของรองผู้อำนวยการพนักงานตัวเล็กๆอย่างพวกเขาหรือจะกล้าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าได้
หัวหน้าซูที่นั่งอยู่บนโซฟาคิดเยาะเย้ยอยู่ในใจในขณะที่จางเก๋อหลานตื่นเต้นมาก เขานั่งลงบนโซฟาและยื่นบุหรี่ให้หัวหน้าซูและพูดด้วยความตื่นเต้น “พี่สาวของฉันรักฉันมาก ถึงแม้เราจะเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกันแต่ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆซะอีก!”
“ใช่ๆน่าอิจฉาจริงๆ!” หัวหน้าซูหัวเราะหึๆ แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า <“น่าอิจฉากะผีอะไรล่ะถ้าฉันมีลูกพี่ลูกน้องแบบนี้คงไม่มีหน้าไปพบเจอผู้คนหรอก!”>
ความจริงแล้วการมาที่นี่ในครั้งนี้หัวหน้าซูก็ไม่ค่อยอยากจะมาสักเท่าไหร่แต่เมื่อได้กลิ่นเงินอันหอมหวนมันก็ยากที่จะอดใจไหว ปีนี้เขาก็มีอายุเกือบจะ 50 ปีแล้ว เหลืออีกไม่กี่ปีก็จะเกษียณ แต่เขายังคงเป็นแค่หัวหน้าแผนก และความปรารถนาในอำนาจของเขาได้จางหายไปอย่างมาก
แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับเงินเขาก็ไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ จนต้องมานั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้
ในตอนนั้นเองโทรศัพท์ของจางเก๋อหลานก็ดังขึ้นเขาหยิบมันขึ้นมามองดู แล้วก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “เฮ้ย! พี่เขยฉันโทรมา!”
เขารีบกดรับสายอย่างรวดเร็ว“พี่เขย ฉันเก๋อหลาน …. โอเค ฉันกับหัวหน้าซูจะออกไปรับพี่..”
หลังจากวางสายจางเก๋อหลานก็หันไปพูดกับหัวหน้าซูทันที“หัวหน้าซู พี่เขยของฉันกับคุณชายชิวมาถึงแล้ว ไปรับพวกเขาที่ประตูกัน!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับลูกชายของรองผู้อำนวยการหัวหน้าซูไม่กล้าที่จะทำตัวนิ่งเฉย เขารีบลุกขึ้น “ไปกันเถอะ!”
………………
หวงฉีตงคุณชายชิว และคนอื่นๆ ลงจากรถที่หน้าอาคารสำนักงานบริษัทยาฉางเหอ ส่วนจางเก๋อหลานกับหัวหน้าซูก็เพิ่งเดินมาถึงพอดี พวกเขาทั้งสองคนรีบเข้าไปทักทาย “นายน้อยหวง นายน้อยชิว!”
หวงฉีตงพยักหน้าแค่เพียงเล็กน้อยส่วนชิวเผิงเฟยไม่ได้พยักหน้าหรือตอบรับใดๆไม่แต่จะเหลือบมองมาที่พวกเขาด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะไม่พอใจ
“พี่เขยบริษัทยานั้นอยู่ชั้นบน” จางเก๋อหลานพูด “คนพวกนั้นหยิ่งผยองมากเกินไป เขาไม่แม้แต่จะเห็นแก่หน้าพี่เขยของฉันเลย!” หัวหน้าซูกล่าวเตือนอย่างระมัดระวัง“นายน้อยหวง นายน้อยชิว บนนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะมีภูมิหลังบางอย่าง คุณสองคน…”
“จะพูดอีกนานมั้ยนำไปสิ! ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่ามันเป็นใครถึงได้กล้าทำตัวกร่างในเจียงโจวแบบนี้ แต่ก็คงจะไม่พ้นพวกลูกเศรษฐีใหม่ที่เพิ่งจะมีอำนาจเลยอยากลองของเท่านั้นละมั้ง!” หวงฉีตง พูดด้วยความรังเกียจ เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้หัวหน้าซูและจางเก๋อหลานเดินนำไป
………………
“ปัง!”
ประตูสำนักงานถูกผลักเปิดออกอย่างแรงหลินเซิงผิงวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “บอสครับ มีคนกลุ่มหนึ่งมาจากข้างนอก พวกเขามาที่บริษัทของเราด้วยท่าทางไม่พอใจ”
เซียวฉางเหอขมวดคิ้วทันทีแต่จี้เฟิงกลับยิ้มบางๆ “ดูท่าว่านายท่านจะมากันแล้ว!” เขาหันศีรษะไปพูดกับเซียวฉางเหอ “คุณลุงครับผมขอออกไปดูหน่อยแล้วกันนะครับ”
เซียวฉางเหอกล่าวว่า“ยังไงฉันก็เป็นเจ้าของบริษัท คงไม่ดีถ้าจะให้ฉันนั่งหลบอยู่แต่ข้างหลังตลอดเวลา”
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในเวลานี้หวงฉีตง คุณชายชิว และคนอื่นๆกำลังยืนอยู่ที่แผนกต้อนรับของบริษัทยาฉางเหอ พวกเขากำลังส่งเสียงดังโวยวายอยู่ที่แผนกต้อนรับ “ฉันจะให้เวลาคุณแค่สองนาที รีบไปตามเจ้านายของคุณมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
พนักงานต้อนรับรู้สึกตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูกจนหวงฉีตงตะโกนออกมาอีกครั้ง “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
“อ่า…!!”
พนักงานต้อนรับสะดุ้งตกใจและรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นท่าทีตื่นตระหนกของพนักงานต้อนรับทุกคนก็พากันหัวเราะ โดยเฉพาะจางเก๋อหลานที่หัวเราะเสียงดังกว่าใคร ตั้งแต่จี้เฟิงมาที่นี่ เขาถูกกดขี่จนหัวหด ไม่ต้องพูดถึงว่ามีใครในบริษัทนี้ต้อนรับเขาเป็นอย่างดีหรือไม่ เพราะแม้แต่น้ำชายังไม่มีใครรินให้เขาเลย ซึ่งทำให้เขาโกรธมาก
เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายตื่นตระหนกไปด้วยความหวาดกลัวมักก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจและสะใจมาก และในที่สุดจางเก๋อหลานก็กลับมาเป็นคนที่มีลักษณะเย่อหยิ่งและดูโง่เขลา
อย่างไรก็ตามพนักงานบริษัทยาฉางเหอคนอื่นๆที่อยู่ในละแวกนั้นต่างประหม่าและถอยห่างออกไปทีละคน ไม่มีใครกล้าเสนอตัวออกมาหยุดพวกเขา แม้แต่ รปภ.สองคนที่อยู่ตรงประตูยังไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวและได้แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น
เมื่อเห็นฉากนี้หวงฉีตงและคนอื่นๆก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนายน้อยอย่างพวกเขามีพนักงานตัวเล็กๆที่ไหนบ้างที่กล้าพอจะสบตานายน้อยอย่างพวกเขา