The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 321 มุ่งหน้าสู่หยานจิง!
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 321 มุ่งหน้าสู่หยานจิง!
หลังจากเตรียมการทั้งหมดเสร็จสิ้นในที่สุดจี้เฟิงก็สงบลง เขาคิดคำพูดที่เหมาะสมในใจและโทรหาอาสามของเขา
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องโทรหาฉันแน่!”พอรับสายเสียงหัวเราะของจี้เจิ้นผิงก็ดังขึ้น “ไอ้หนู นายเป็นห่วงสุขภาพของคุณปู่ของนายงั้นเหรอ”
จี้เฟิงหัวเราะตามไปด้วย“อาสาม อาแน่ใจได้ยังไงว่าผมจะโทรหา”
“เหอะๆ!เจ้าเด็กเหลือขอ นายซื้อโรงงานผลิตยา แถมยังติดต่อกับจี้ช่าวเหลยแทบจะตลอดขนาดนี้ ฉันจะเดาไม่ออกเลยเชียวเหรอ” เสียงของจี้เจิ้นผิงดูมีความสุขมาก “เสี่ยวเฟิง เมื่อสองวันก่อนนายอยู่ที่โรงงานผลิตยาทั้งคืน ไม่ใช่เพราะกำลังทำยาพิเศษบางอย่างอยู่หรอกเหรอ?”
อาสามรู้ได้ยังไงจี้เฟิงอึ้งไปทันที เรื่องยาชนิดพิเศษในมือเขา แม้แต่หยางเต๋อจ้าวกับพนักงานในห้องแล็บก็ยังไม่รู้ คนรอบตัวเขาทุกคนไม่มีใครรู้ แต่อาสามรู้?
“มันไม่ง่ายเลย!”จี้เจิ้นผิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายถึงขนาดซื้อโรงงานผลิตยามาก็เพื่อค้นคว้ายาตัวใหม่ที่เหมาะสมกับร่างกายของคุณปู่นายโดยเฉพาะไม่ใช่เหรอ ใช้เวลาทั้งคืนอยู่ในห้องแล็บ เห็นได้ชัดว่าการวิจัยยาตัวใหม่มีความก้าวหน้าอย่างมาก ถูกหรือเปล่า?”
“….”จี้เฟิงอึ้งไปพักใหญ่ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ครับ! ใช่แล้วครับ! ยาตัวใหม่ที่ผมกำลังวิจัยอยู่มีความคืบหน้าจนทำให้ผมต้องอยู่ทำมันทั้งคืนและตอนนี้ก็มีแนวโน้มที่จะสำเร็จสูงมาก!”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอาสามถึงพูดแบบนี้ในความเป็นจริงอาสามไม่รู้ว่าเขามีสูตรยาชนิดพิเศษอยู่ในมือ สิ่งที่อาสามพูดเป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น
แน่นอนว่าไม่แปลกใจเลยที่จี้เจิ้นผิงจะคิดแบบนี้ตอนที่จี้เฟิงซื้อโรงงานผลิตยา เป็นช่วงที่สุขภาพร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าทรุดหนัก การกระทำของจี้เฟิงทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นความกตัญญูที่มีต่อคุณปู่ของเขาและไม่มีใครสงสัยเลยว่าจี้เฟิงจะซื้อโรงงานผลิตยามาเพื่อทำยาสูตรพิเศษของมนุษย์ต่างดาว!
เมื่อเข้าใจเรื่องนี้จี้เฟิงก็โล่งใจขอเพียงเรื่องที่เขามีสูตรยาพิเศษอยู่ในมือไม่รั่วไหลออกไป ทุกอย่างก็จะจัดการได้ง่าย
เขาพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาทันที“อาสามผมอยากพบผู้อาวุโส”
“ไอ้หนู!นายมั่นใจในยาตัวใหม่ของนายมากขนาดนั้นเลยเหรอ” จี้เจิ้นผิงอดหัวเราะออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้ “การมีความกตัญญูเป็นเรื่องที่ดี แต่ยาของนายคงเอาไปใช้กับคุณปู่ของนายไม่ได้หรอก แม้ว่าฉันจะเห็นด้วยแต่เบื้องบนไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ล้มเลิกความคิดนี้ซะ!”
ถ้าฉันคิดที่จะล้มเลิกความตั้งใจนี้แล้วฉันจะติดต่อไปหาอาทำไม! จี้เฟิงบ่นอยู่ในใจ แต่ปากกลับพูดว่า “อาสามยาที่ฉันมีอยู่ มันใช้ได้ผลกับสุขภาพร่างกายของผู้อาวุโสจริงๆประสิทธิภาพของมันดีมาก!”
“หืม!”
จี้เจิ้นผิงหัวเราะเบาๆ“ไหนบอกมาซิ มันดียังไง”
เขาไม่ได้คิดว่าจี้เฟิงโกหกแต่เขาก็ไม่เชื่อว่าโรงงานผลิตยาขนาดเล็ก จะสามารถผลิตยาที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมออกมาได้ภายในไม่กี่วัน!
จี้เฟิงรู้ดีว่าการจะโน้มน้าวอาสามไม่ใช่เรื่องง่ายเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สมองของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว และพูดขึ้นว่า “อาสามครับ เรื่องประสิทธิภาพของยา จะให้ผมอธิบายทางโทรศัพท์คงทำให้อาเข้าใจได้ไม่ชัดเจนพอ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะไปที่หยานจิง ถึงเวลานั้นอาสามก็หาคนมาทดสอบประสิทธิภาพของยาตัวนี้ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะใช้มันหรือเปล่า ตกลงมั้ยครับ”
จี้เจิ้นผิงยิ้มอย่างจนใจ“เสี่ยวเฟิง ฉันเพิ่งจะพูดไปว่าต่อให้ฉันเห็นด้วย เบื้องบนก็คงไม่ยอมอยู่ดี มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะยอมเสี่ยงใช้ยาตัวใหม่ที่ไม่เคยมีข้อมูลหรือหลักฐานชี้ชัดถึงความปลอดภัยกับคุณปู่ของนาย อะไรก็ตามที่มีความเสี่ยง แม้ว่าจะเล็กน้อย พวกเขาจะไม่มีทางยอมอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น มันจะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่เลยล่ะ!”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวเขารู้ดีว่าสิ่งที่อาสามพูดมานั้นสมเหตุสมผลมาก แต่เขากลับไม่สามารถบอกแหล่งที่มาของยาตัวใหม่ของเขาได้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง
“อาสามเอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะไปที่หยานจิงผมไม่สะดวกที่จะคุยทางโทรศัพท์ ถ้าผมไปถึงเมื่อไหร่ผมจะอธิบายให้อาฟังอย่างละเอียด!” จี้เฟิงพูดอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินจี้เฟิงพูดอย่างจริงจังจี้เจิ้นผิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดอย่างจริงจังเช่นกันว่า “ดีเหมือนกัน! นายควรจะมาปรากฏตัวที่หยานจิงได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงมีคนคิดว่าพวกเราไม่มีผู้สืบทอด!” จี้เฟิงขมวดคิ้ว“อาสามญาติสายรอง…”
เขายังไม่ทันพูดจบก็ถูกจี้เจิ้นผิงขัดจังหวะ“นายไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท้องฟ้าไม่มีวันร่วงหล่น!”
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เจิ้นผิงจี้เฟิงก็หัวเราะออกมาทันที เขารู้อยู่แล้วว่าพ่อและอาของเขาคงไม่อยู่เฉยๆให้อีกฝ่ายกระทำอยู่ฝ่ายเดียว แต่ที่พวกเขายังไม่เคลื่อนไหวนั่นก็หมายความว่ามันยังไม่ถึงเวลา!
คนรุ่นที่สองจะควบคุมคนกลุ่มใหญ่ได้อย่างไรหากยอมให้อีกฝ่ายทำอะไรตามใจราวกับตนเองไม่มีมือมีเท้าแบบนี้
แน่นอนว่าตอนนี้จี้เจิ้นหัวพ่อของจี้เฟิงคงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดันมันเป็นช่วงเวลาที่เขาจะต้องเฝ้าระมัดระวังทุกๆปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเซียวซูเหม่ยแม่ของจี้เฟิง เธอจะต้องอดทนมากแค่ไหนที่ต้องอยู่ท่ามกลางปัญหาที่หยานจิง! พอคิดถึงแม่จี้เฟิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ พ่อของเขาอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถระบายความโกรธแค้นแทนแม่ของเขาได้ ดังนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกชายได้ทำแทนก็แล้วกัน!
“ครับคุณอาอ้อ! อาสาม อาอย่าเพิ่งบอกใครเรื่องที่ผมจะเดินทางไปที่หยานจิงนะครับ รวมถึงพ่อด้วย” จี้เฟิงไม่รอให้อาของเขาถามหาเหตุผล เขาจึงชิงพูดก่อน “ส่วนเรื่องเหตุผลไว้ผมไปถึงหยานจิงแล้วผมจะอธิบายให้อาสามฟังอย่างละเอียด!”
จี้เจิ้นผิงพยักหน้าช่วยไม่ได้“งั้นไว้นายมาถึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะเจ้าเด็กตัวแสบ ถ้านายไม่มีคำอธิบายที่ดีพอล่ะก็ ฉันไม่ไว้ชีวิตนายแน่!”
จี้เฟิงหัวเราะ“อาสามมั่นใจได้เลย คำอธิบายของผมจะทำให้อาสามพอใจอย่างแน่นอน!”
จี้เจิ้นผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า“เออ เสี่ยวเฟิง วันที่นายจะเดินทางมา ให้ถามเสี่ยวหยูว่าเธอต้องการจะกลับมาด้วยเลยมั้ย ถ้าเธอยังไม่อยากกลับก็ให้แฟนสาวสองคนของนายดูแลเธอไปก่อนสักพัก!”
ใบหน้าของจี้เฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้เขากระแอมไอเบาๆและกล่าวว่า “ครับอาสาม ผมจะถามให้ ถ้าเสี่ยวหยูตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ต่ออาสามก็ไม่ต้องเป็นห่วง!”
อาสามรู้ว่าเขามีแฟนสาวสองคน…จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วน แบบนี้เขาจะไม่ดูเหมือนหนุ่มเพลย์บอยหรอกเหรอ
โชคดีที่จี้เจิ้นผิงดูเหมือนจะรู้ว่าจี้เฟิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเขาจึงไม่ได้พูดอะไรนอกจากแค่บ่นไปนิดๆหน่อยๆว่า “ไปอธิบายกับพ่อของนายเองเถอะเจ้าเด็กเหลือขอ! ยังไม่ทันไรเลย ก็เรียนรู้สิ่งสำคัญที่พวกลูกคุณหนูตัวแสบมักจะทำกันซะแล้ว!”
เมื่อพูดจบจี้เจิ้นผิงก็วางสายทันทีและทิ้งรอยยิ้มอย่างขมขื่นไว้บนใบหน้าของจี้เฟิง
แต่เพียงไม่นานจี้เฟิงก็ชกเข้ากับฝ่ามือของตัวเองอย่างตื่นเต้นขอแค่อาสามเห็นด้วยแผนก็สำเร็จไปมากกว่าครึ่ง! ส่วนเรื่องที่เขามีแฟนสองคน… ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร คงไม่มีใครหยิบเรื่องนี้มาใช้เป็นเครื่องมือทำให้เขาเดือดร้อนหรอกมั้ง
จี้เฟิงกลับไปที่ห้องนั่งเล่นเขาเห็นหญิงสาวสามคนกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ไม่รู้ว่าพวกเธอกำลังพูดคุยกันเรื่องอะไร จี้เฟิงยิ้มและนั่งลงบนโซฟาข้างๆ แล้วถามว่า “เสี่ยวหยู พี่คุยกับพ่อของเธอเมื่อกี้นี้ เขาฝากถามมาว่าเธอต้องการจะกลับไปที่หยานจิงพร้อมกับพี่เลยมั้ย”
รอยยิ้มของจี้เสี่ยวหยูหายไปทันทีใบหน้าของเธอเศร้าหมองลง “พี่ชาย พี่จะพาหนูกลับไปเหรอคะ”
“ไม่หรอกถ้าเธอไม่อยากกลับก็อยู่ที่นี่แหละ อยู่ได้นานเท่าที่ต้องการเลย!” จี้เฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่เหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นได้เขาจึงกล่าวว่า“อ้อ! แล้วเรื่องไปโรงเรียนล่ะ จะทำยังไง ตอนนี้เธออยู่ม.ปลายปีสาม เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดและต้องเรียนหนักมาก หยุดเรียนไปนานๆคงไม่ดี!”
จี้เสี่ยวหยูทำหน้าบึ้งเล็กน้อยแล้วพูดอย่างเขินอายว่า “พี่สาม หนู… หนูยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวลูกพี่ลูกน้องคนนั้นก็มารังแกหนูอีก หนูขออยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักนะคะ.. ได้มั้ย…”
เมื่อเห็นสีหน้าที่น่าสงสารของเสี่ยวหยูเซียวหยูซวนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “จี้เฟิง ทำไมนายถึงต้องบังคับให้เสี่ยวหยูกลับไปด้วยล่ะ! ให้เธออยู่ที่นี่ก่อนสักพักจนกว่าเธอจะโอเค ส่วนเรื่องการเรียนนายไม่ต้องเป็นห่วงเลย ฉันเป็นครูนะ นายลืมแล้วเหรอ? ฉันจะสอนเธอเอง!”
ถงเล่ยที่นั่งอยู่ข้างๆก็พยักหน้าและพูดอย่างเห็นด้วย“นั่นสิ ฉันก็พอจะช่วยสอนหลักสูตรอื่นๆได้ด้วย!”
จี้เสี่ยวหยูเป็นเด็กสาวที่มีนิสัยเรียบร้อยอ่อนโยนไม่ได้ดูหยิ่งยโสเหมือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนอื่นๆ จึงไม่แปลกเลยที่เซียวหยูซวนและถงเล่ยจะชื่นชอบเธอมากขนาดนี้
จี้เฟิงเองก็คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวหยูจะเป็นที่นิยมขนาดนี้เขาได้แต่แบมือทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว!”
อันที่จริงจี้เฟิงก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวหยูไม่อยากกลับไปในตอนนี้เพราะกลัวลูกพี่ลูกน้องของเธอที่หยานจิง
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะในใจจี้เสี่ยวหยูเป็นเด็กสาวที่น่ารักอ่อนโยนและรักความสงบ แต่เธอกลับถูกบีบบังคับจนต้องหนีมาแบบนี้ ลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวหยูจะต้องเป็นคนที่เก่งกล้าหน้าด้านมากขนาดไหน!
การเดินทางไปหยานจิงในครั้งนี้ย่อมไม่สงบสุขอย่างแน่นอน!
จี้เฟิงไม่มัวคิดอะไรให้มากความเขาโทรไปจองตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางไปหยานจิงในวันรุ่งขึ้นทันที แต่ปลายสายกลับแจ้งมาว่าตั๋วสำหรับการเดินทางไปหยานจิงของวันพรุ่งนี้นั้นเต็มหมดแล้ว เหลือแค่เป็นช่วงบ่ายของวันมะรืนนี้เท่านั้น “งั้นเหรอครับ…ขอบคุณครับ” จี้เฟิงกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพและวางสาย เขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ แม้แต่พระเจ้าก็ยังไม่เข้าข้างด้วยซ้ำ!
หากเป็นเที่ยวบินในตอนบ่ายของวันมะรืนนี้อย่างน้อยกว่าจะถึงที่หยานจิงก็คงจะเป็นเวลากลางคืน ซึ่งดูจะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยสะดวกนัก
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งจี้เฟิงก็โทรถามเรื่องการเดินทางไปหยานจิงด้วยรถไฟ และคำตอบที่ได้ก็เป็นที่น่าพอใจ คืนนี้มีรถไฟสายด่วนแบบตู้นอนไปหยานจิงรอบสี่ทุ่มครึ่ง จี้เฟิงสั่งจองตั๋วมา 1 ใบทันทีโดยไม่ลังเลเลย
พรุ่งนี้ตอนเช้าเขาก็น่าจะไปถึงที่หยานจิงพอดี!
จี้เฟิงปฏิเสธข้อเสนอของเซียวหยูซวนและถงเล่ยที่จะขับรถไปส่งเขาที่สถานีรถไฟเขาเพียงแค่ให้แฟนสาวทั้งสองของเขาช่วยเก็บกระเป๋าเดินทางให้เขาเท่านั้น และเขาก็นั่งแท็กซี่ไปที่สถานีรถไฟทันที แต่ก่อนที่จี้เฟิงจะจากไปเขาก็มอบปืนพกให้กับเซียวหยูซวนและถงเล่ยเพื่อเป็นการป้องกันตัวอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง
อันที่จริงจี้เฟิงตั้งใจจะนำปืนพกติดตัวไปที่หยานจิงด้วยเพราะเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง แต่เมื่อเทียบกับอันตรายที่ไม่รู้จักแล้ว ความปลอดภัยของหญิงสาวทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่นั้นสำคัญกว่ามาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้นำปืนพกติดตัวไปด้วย
……………
สถานีรถไฟที่แออัดไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของจี้เฟิงเลยแม้แต่น้อยพอขึ้นมาบนรถเขาก็เจอตู้นอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ตำแหน่งเตียงของจี้เฟิงนั้นอยู่ด้านล่างเขาโยนกระเป๋าสัมภาระลงบนที่นอนและใช้มันเป็นหมอน แล้วนอนลงทันที ในหัวของเขากำลังคาดเดาทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น
ในขณะนั้นมีชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำมายืนตรงเตียงของจี้เฟิงและถามอย่างสุภาพว่า“น้องชาย คุณพอจะเปลี่ยนตู้นอนกับพ่อของฉันได้มั้ย พ่อของฉันแก่แล้ว ฉันต้องคอยดูแลท่านตลอดเวลา มันจะสะดวกมากเลยถ้าได้ตู้นอนชั้นล่าง!”
จี้เฟิงลุกขึ้นนั่งทันทีเขาเพิ่งเห็นว่ามีชายชราผมหงอกกำลังยืนอยู่ที่ปลายเตียงของเขา ข้างกายของชายชรามีชายหนุ่มหน้าตาเด็ดเดี่ยวคนหนึ่งประคองเขาไว้ พวกเขาทั้งสองคนมองมาที่จี้เฟิงด้วยรอยยิ้มที่สุภาพ
ทหาร!
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของนักรบจากทั้งสามคน!
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องโทรหาฉันแน่!”พอรับสายเสียงหัวเราะของจี้เจิ้นผิงก็ดังขึ้น “ไอ้หนู นายเป็นห่วงสุขภาพของคุณปู่ของนายงั้นเหรอ”
จี้เฟิงหัวเราะตามไปด้วย“อาสาม อาแน่ใจได้ยังไงว่าผมจะโทรหา”
“เหอะๆ!เจ้าเด็กเหลือขอ นายซื้อโรงงานผลิตยา แถมยังติดต่อกับจี้ช่าวเหลยแทบจะตลอดขนาดนี้ ฉันจะเดาไม่ออกเลยเชียวเหรอ” เสียงของจี้เจิ้นผิงดูมีความสุขมาก “เสี่ยวเฟิง เมื่อสองวันก่อนนายอยู่ที่โรงงานผลิตยาทั้งคืน ไม่ใช่เพราะกำลังทำยาพิเศษบางอย่างอยู่หรอกเหรอ?”
อาสามรู้ได้ยังไงจี้เฟิงอึ้งไปทันที เรื่องยาชนิดพิเศษในมือเขา แม้แต่หยางเต๋อจ้าวกับพนักงานในห้องแล็บก็ยังไม่รู้ คนรอบตัวเขาทุกคนไม่มีใครรู้ แต่อาสามรู้?
“มันไม่ง่ายเลย!”จี้เจิ้นผิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายถึงขนาดซื้อโรงงานผลิตยามาก็เพื่อค้นคว้ายาตัวใหม่ที่เหมาะสมกับร่างกายของคุณปู่นายโดยเฉพาะไม่ใช่เหรอ ใช้เวลาทั้งคืนอยู่ในห้องแล็บ เห็นได้ชัดว่าการวิจัยยาตัวใหม่มีความก้าวหน้าอย่างมาก ถูกหรือเปล่า?”
“….”จี้เฟิงอึ้งไปพักใหญ่ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ครับ! ใช่แล้วครับ! ยาตัวใหม่ที่ผมกำลังวิจัยอยู่มีความคืบหน้าจนทำให้ผมต้องอยู่ทำมันทั้งคืนและตอนนี้ก็มีแนวโน้มที่จะสำเร็จสูงมาก!”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอาสามถึงพูดแบบนี้ในความเป็นจริงอาสามไม่รู้ว่าเขามีสูตรยาชนิดพิเศษอยู่ในมือ สิ่งที่อาสามพูดเป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น
แน่นอนว่าไม่แปลกใจเลยที่จี้เจิ้นผิงจะคิดแบบนี้ตอนที่จี้เฟิงซื้อโรงงานผลิตยา เป็นช่วงที่สุขภาพร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าทรุดหนัก การกระทำของจี้เฟิงทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นความกตัญญูที่มีต่อคุณปู่ของเขาและไม่มีใครสงสัยเลยว่าจี้เฟิงจะซื้อโรงงานผลิตยามาเพื่อทำยาสูตรพิเศษของมนุษย์ต่างดาว!
เมื่อเข้าใจเรื่องนี้จี้เฟิงก็โล่งใจขอเพียงเรื่องที่เขามีสูตรยาพิเศษอยู่ในมือไม่รั่วไหลออกไป ทุกอย่างก็จะจัดการได้ง่าย
เขาพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาทันที“อาสามผมอยากพบผู้อาวุโส”
“ไอ้หนู!นายมั่นใจในยาตัวใหม่ของนายมากขนาดนั้นเลยเหรอ” จี้เจิ้นผิงอดหัวเราะออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้ “การมีความกตัญญูเป็นเรื่องที่ดี แต่ยาของนายคงเอาไปใช้กับคุณปู่ของนายไม่ได้หรอก แม้ว่าฉันจะเห็นด้วยแต่เบื้องบนไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ล้มเลิกความคิดนี้ซะ!”
ถ้าฉันคิดที่จะล้มเลิกความตั้งใจนี้แล้วฉันจะติดต่อไปหาอาทำไม! จี้เฟิงบ่นอยู่ในใจ แต่ปากกลับพูดว่า “อาสามยาที่ฉันมีอยู่ มันใช้ได้ผลกับสุขภาพร่างกายของผู้อาวุโสจริงๆประสิทธิภาพของมันดีมาก!”
“หืม!”
จี้เจิ้นผิงหัวเราะเบาๆ“ไหนบอกมาซิ มันดียังไง”
เขาไม่ได้คิดว่าจี้เฟิงโกหกแต่เขาก็ไม่เชื่อว่าโรงงานผลิตยาขนาดเล็ก จะสามารถผลิตยาที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมออกมาได้ภายในไม่กี่วัน!
จี้เฟิงรู้ดีว่าการจะโน้มน้าวอาสามไม่ใช่เรื่องง่ายเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สมองของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว และพูดขึ้นว่า “อาสามครับ เรื่องประสิทธิภาพของยา จะให้ผมอธิบายทางโทรศัพท์คงทำให้อาเข้าใจได้ไม่ชัดเจนพอ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะไปที่หยานจิง ถึงเวลานั้นอาสามก็หาคนมาทดสอบประสิทธิภาพของยาตัวนี้ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะใช้มันหรือเปล่า ตกลงมั้ยครับ”
จี้เจิ้นผิงยิ้มอย่างจนใจ“เสี่ยวเฟิง ฉันเพิ่งจะพูดไปว่าต่อให้ฉันเห็นด้วย เบื้องบนก็คงไม่ยอมอยู่ดี มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะยอมเสี่ยงใช้ยาตัวใหม่ที่ไม่เคยมีข้อมูลหรือหลักฐานชี้ชัดถึงความปลอดภัยกับคุณปู่ของนาย อะไรก็ตามที่มีความเสี่ยง แม้ว่าจะเล็กน้อย พวกเขาจะไม่มีทางยอมอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น มันจะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่เลยล่ะ!”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวเขารู้ดีว่าสิ่งที่อาสามพูดมานั้นสมเหตุสมผลมาก แต่เขากลับไม่สามารถบอกแหล่งที่มาของยาตัวใหม่ของเขาได้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง
“อาสามเอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะไปที่หยานจิงผมไม่สะดวกที่จะคุยทางโทรศัพท์ ถ้าผมไปถึงเมื่อไหร่ผมจะอธิบายให้อาฟังอย่างละเอียด!” จี้เฟิงพูดอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินจี้เฟิงพูดอย่างจริงจังจี้เจิ้นผิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดอย่างจริงจังเช่นกันว่า “ดีเหมือนกัน! นายควรจะมาปรากฏตัวที่หยานจิงได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงมีคนคิดว่าพวกเราไม่มีผู้สืบทอด!” จี้เฟิงขมวดคิ้ว“อาสามญาติสายรอง…”
เขายังไม่ทันพูดจบก็ถูกจี้เจิ้นผิงขัดจังหวะ“นายไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท้องฟ้าไม่มีวันร่วงหล่น!”
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เจิ้นผิงจี้เฟิงก็หัวเราะออกมาทันที เขารู้อยู่แล้วว่าพ่อและอาของเขาคงไม่อยู่เฉยๆให้อีกฝ่ายกระทำอยู่ฝ่ายเดียว แต่ที่พวกเขายังไม่เคลื่อนไหวนั่นก็หมายความว่ามันยังไม่ถึงเวลา!
คนรุ่นที่สองจะควบคุมคนกลุ่มใหญ่ได้อย่างไรหากยอมให้อีกฝ่ายทำอะไรตามใจราวกับตนเองไม่มีมือมีเท้าแบบนี้
แน่นอนว่าตอนนี้จี้เจิ้นหัวพ่อของจี้เฟิงคงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดันมันเป็นช่วงเวลาที่เขาจะต้องเฝ้าระมัดระวังทุกๆปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเซียวซูเหม่ยแม่ของจี้เฟิง เธอจะต้องอดทนมากแค่ไหนที่ต้องอยู่ท่ามกลางปัญหาที่หยานจิง! พอคิดถึงแม่จี้เฟิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ พ่อของเขาอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถระบายความโกรธแค้นแทนแม่ของเขาได้ ดังนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกชายได้ทำแทนก็แล้วกัน!
“ครับคุณอาอ้อ! อาสาม อาอย่าเพิ่งบอกใครเรื่องที่ผมจะเดินทางไปที่หยานจิงนะครับ รวมถึงพ่อด้วย” จี้เฟิงไม่รอให้อาของเขาถามหาเหตุผล เขาจึงชิงพูดก่อน “ส่วนเรื่องเหตุผลไว้ผมไปถึงหยานจิงแล้วผมจะอธิบายให้อาสามฟังอย่างละเอียด!”
จี้เจิ้นผิงพยักหน้าช่วยไม่ได้“งั้นไว้นายมาถึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะเจ้าเด็กตัวแสบ ถ้านายไม่มีคำอธิบายที่ดีพอล่ะก็ ฉันไม่ไว้ชีวิตนายแน่!”
จี้เฟิงหัวเราะ“อาสามมั่นใจได้เลย คำอธิบายของผมจะทำให้อาสามพอใจอย่างแน่นอน!”
จี้เจิ้นผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า“เออ เสี่ยวเฟิง วันที่นายจะเดินทางมา ให้ถามเสี่ยวหยูว่าเธอต้องการจะกลับมาด้วยเลยมั้ย ถ้าเธอยังไม่อยากกลับก็ให้แฟนสาวสองคนของนายดูแลเธอไปก่อนสักพัก!”
ใบหน้าของจี้เฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้เขากระแอมไอเบาๆและกล่าวว่า “ครับอาสาม ผมจะถามให้ ถ้าเสี่ยวหยูตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ต่ออาสามก็ไม่ต้องเป็นห่วง!”
อาสามรู้ว่าเขามีแฟนสาวสองคน…จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วน แบบนี้เขาจะไม่ดูเหมือนหนุ่มเพลย์บอยหรอกเหรอ
โชคดีที่จี้เจิ้นผิงดูเหมือนจะรู้ว่าจี้เฟิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเขาจึงไม่ได้พูดอะไรนอกจากแค่บ่นไปนิดๆหน่อยๆว่า “ไปอธิบายกับพ่อของนายเองเถอะเจ้าเด็กเหลือขอ! ยังไม่ทันไรเลย ก็เรียนรู้สิ่งสำคัญที่พวกลูกคุณหนูตัวแสบมักจะทำกันซะแล้ว!”
เมื่อพูดจบจี้เจิ้นผิงก็วางสายทันทีและทิ้งรอยยิ้มอย่างขมขื่นไว้บนใบหน้าของจี้เฟิง
แต่เพียงไม่นานจี้เฟิงก็ชกเข้ากับฝ่ามือของตัวเองอย่างตื่นเต้นขอแค่อาสามเห็นด้วยแผนก็สำเร็จไปมากกว่าครึ่ง! ส่วนเรื่องที่เขามีแฟนสองคน… ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร คงไม่มีใครหยิบเรื่องนี้มาใช้เป็นเครื่องมือทำให้เขาเดือดร้อนหรอกมั้ง
จี้เฟิงกลับไปที่ห้องนั่งเล่นเขาเห็นหญิงสาวสามคนกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ไม่รู้ว่าพวกเธอกำลังพูดคุยกันเรื่องอะไร จี้เฟิงยิ้มและนั่งลงบนโซฟาข้างๆ แล้วถามว่า “เสี่ยวหยู พี่คุยกับพ่อของเธอเมื่อกี้นี้ เขาฝากถามมาว่าเธอต้องการจะกลับไปที่หยานจิงพร้อมกับพี่เลยมั้ย”
รอยยิ้มของจี้เสี่ยวหยูหายไปทันทีใบหน้าของเธอเศร้าหมองลง “พี่ชาย พี่จะพาหนูกลับไปเหรอคะ”
“ไม่หรอกถ้าเธอไม่อยากกลับก็อยู่ที่นี่แหละ อยู่ได้นานเท่าที่ต้องการเลย!” จี้เฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่เหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นได้เขาจึงกล่าวว่า“อ้อ! แล้วเรื่องไปโรงเรียนล่ะ จะทำยังไง ตอนนี้เธออยู่ม.ปลายปีสาม เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดและต้องเรียนหนักมาก หยุดเรียนไปนานๆคงไม่ดี!”
จี้เสี่ยวหยูทำหน้าบึ้งเล็กน้อยแล้วพูดอย่างเขินอายว่า “พี่สาม หนู… หนูยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวลูกพี่ลูกน้องคนนั้นก็มารังแกหนูอีก หนูขออยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักนะคะ.. ได้มั้ย…”
เมื่อเห็นสีหน้าที่น่าสงสารของเสี่ยวหยูเซียวหยูซวนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “จี้เฟิง ทำไมนายถึงต้องบังคับให้เสี่ยวหยูกลับไปด้วยล่ะ! ให้เธออยู่ที่นี่ก่อนสักพักจนกว่าเธอจะโอเค ส่วนเรื่องการเรียนนายไม่ต้องเป็นห่วงเลย ฉันเป็นครูนะ นายลืมแล้วเหรอ? ฉันจะสอนเธอเอง!”
ถงเล่ยที่นั่งอยู่ข้างๆก็พยักหน้าและพูดอย่างเห็นด้วย“นั่นสิ ฉันก็พอจะช่วยสอนหลักสูตรอื่นๆได้ด้วย!”
จี้เสี่ยวหยูเป็นเด็กสาวที่มีนิสัยเรียบร้อยอ่อนโยนไม่ได้ดูหยิ่งยโสเหมือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนอื่นๆ จึงไม่แปลกเลยที่เซียวหยูซวนและถงเล่ยจะชื่นชอบเธอมากขนาดนี้
จี้เฟิงเองก็คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวหยูจะเป็นที่นิยมขนาดนี้เขาได้แต่แบมือทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว!”
อันที่จริงจี้เฟิงก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวหยูไม่อยากกลับไปในตอนนี้เพราะกลัวลูกพี่ลูกน้องของเธอที่หยานจิง
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะในใจจี้เสี่ยวหยูเป็นเด็กสาวที่น่ารักอ่อนโยนและรักความสงบ แต่เธอกลับถูกบีบบังคับจนต้องหนีมาแบบนี้ ลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวหยูจะต้องเป็นคนที่เก่งกล้าหน้าด้านมากขนาดไหน!
การเดินทางไปหยานจิงในครั้งนี้ย่อมไม่สงบสุขอย่างแน่นอน!
จี้เฟิงไม่มัวคิดอะไรให้มากความเขาโทรไปจองตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางไปหยานจิงในวันรุ่งขึ้นทันที แต่ปลายสายกลับแจ้งมาว่าตั๋วสำหรับการเดินทางไปหยานจิงของวันพรุ่งนี้นั้นเต็มหมดแล้ว เหลือแค่เป็นช่วงบ่ายของวันมะรืนนี้เท่านั้น “งั้นเหรอครับ…ขอบคุณครับ” จี้เฟิงกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพและวางสาย เขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ แม้แต่พระเจ้าก็ยังไม่เข้าข้างด้วยซ้ำ!
หากเป็นเที่ยวบินในตอนบ่ายของวันมะรืนนี้อย่างน้อยกว่าจะถึงที่หยานจิงก็คงจะเป็นเวลากลางคืน ซึ่งดูจะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยสะดวกนัก
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งจี้เฟิงก็โทรถามเรื่องการเดินทางไปหยานจิงด้วยรถไฟ และคำตอบที่ได้ก็เป็นที่น่าพอใจ คืนนี้มีรถไฟสายด่วนแบบตู้นอนไปหยานจิงรอบสี่ทุ่มครึ่ง จี้เฟิงสั่งจองตั๋วมา 1 ใบทันทีโดยไม่ลังเลเลย
พรุ่งนี้ตอนเช้าเขาก็น่าจะไปถึงที่หยานจิงพอดี!
จี้เฟิงปฏิเสธข้อเสนอของเซียวหยูซวนและถงเล่ยที่จะขับรถไปส่งเขาที่สถานีรถไฟเขาเพียงแค่ให้แฟนสาวทั้งสองของเขาช่วยเก็บกระเป๋าเดินทางให้เขาเท่านั้น และเขาก็นั่งแท็กซี่ไปที่สถานีรถไฟทันที แต่ก่อนที่จี้เฟิงจะจากไปเขาก็มอบปืนพกให้กับเซียวหยูซวนและถงเล่ยเพื่อเป็นการป้องกันตัวอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง
อันที่จริงจี้เฟิงตั้งใจจะนำปืนพกติดตัวไปที่หยานจิงด้วยเพราะเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง แต่เมื่อเทียบกับอันตรายที่ไม่รู้จักแล้ว ความปลอดภัยของหญิงสาวทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่นั้นสำคัญกว่ามาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้นำปืนพกติดตัวไปด้วย
……………
สถานีรถไฟที่แออัดไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของจี้เฟิงเลยแม้แต่น้อยพอขึ้นมาบนรถเขาก็เจอตู้นอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ตำแหน่งเตียงของจี้เฟิงนั้นอยู่ด้านล่างเขาโยนกระเป๋าสัมภาระลงบนที่นอนและใช้มันเป็นหมอน แล้วนอนลงทันที ในหัวของเขากำลังคาดเดาทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น
ในขณะนั้นมีชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำมายืนตรงเตียงของจี้เฟิงและถามอย่างสุภาพว่า“น้องชาย คุณพอจะเปลี่ยนตู้นอนกับพ่อของฉันได้มั้ย พ่อของฉันแก่แล้ว ฉันต้องคอยดูแลท่านตลอดเวลา มันจะสะดวกมากเลยถ้าได้ตู้นอนชั้นล่าง!”
จี้เฟิงลุกขึ้นนั่งทันทีเขาเพิ่งเห็นว่ามีชายชราผมหงอกกำลังยืนอยู่ที่ปลายเตียงของเขา ข้างกายของชายชรามีชายหนุ่มหน้าตาเด็ดเดี่ยวคนหนึ่งประคองเขาไว้ พวกเขาทั้งสองคนมองมาที่จี้เฟิงด้วยรอยยิ้มที่สุภาพ
ทหาร!
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของนักรบจากทั้งสามคน!