The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 323 ลืมบุญคุณ?
ชายวัยกลางคนที่ชื่อถังเจี้ยนกั๋วและชายหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวหวังจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของจี้เฟิงอย่างไม่ละสายตาอยู่ข้างๆพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ ถังเจี้ยนกั๋วกำหมัดแน่นจนตัวสั่นด้วยความประหม่า หากมีคนที่รู้จักมาเห็นเขาในตอนนี้คงตกใจจนพูดไม่ออก
คนที่คุ้นเคยกับถังเจี้ยนกั๋วมีหรือจะเคยเห็นเขาตกอยู่ในอาการประหม่าจนถึงขั้นวิตกกังวลขนาดนี้มาก่อน
จี้เฟิงไม่มีเวลามาสังเกตปฏิกิริยาของสองคนนั้นเขานั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงของชายชรา มือขวาจับข้อมือของชายชราเอาไว้และกระตุ้นกระแสชีวภาพอย่างระมัดระวังเพื่อช่วยการทำงานของยากระแสไฟฟ้าแบบเร่งรัดสูตรลดประสิทธิภาพที่เขาทำขึ้นมากับมือ ในขณะเดียวกันก็พยายามปรับคลื่นความถี่ของกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่อยู่ในร่างกายของชายชราให้คงที่เพื่อให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพของชายชราไปกระตุ้นเซลล์และเกิดวงจรการทำงานด้วยตัวของมันเอง และที่สำคัญคือเพื่อกำจัดผลข้างเคียงของยาพิเศษตัวนี้
กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่น้อยเลยทฤษฎีแนวทางในการปฏิบัตินั้นมีช่องว่างอยู่พอสมควร ตอนนี้จี้เฟิงเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง
การควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายผู้อื่นยากกว่าการควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของตัวเองมากจี้เฟิงทำได้แค่เพียงตั้งใจและระมัดระวังอย่างมากเท่านั้น
เขาไม่ต้องการให้นายพลเก่าคนนี้ต้องจากไปเพราะความประมาทของตัวเองแม้ว่าถังเจี้ยนกั๋วจะไม่โทษเขาหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่จี้เฟิงก็คงจะไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้
ผู้อาวุโสเหล่านี้เคยต่อสู้อย่างเต็มที่ในสนามรบเพื่อประเทศชาติพวกเขาควรได้รับความเคารพมากพอ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ชายชราคนนี้เป็นเพียงพลเมืองธรรมดา เขาก็สมควรได้รับความเคารพ ชีวิตของเขามีค่า!
กระแสไฟฟ้าชีวภาพของจี้เฟิงได้เข้าไปยังร่างกายของชายชราแล้วเขาปรับความผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพอย่างต่อเนื่อง และพยายามสร้างเรโซแนนซ์กับกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของชายชรา
ยากระแสไฟฟ้าแบบเร่งรัดนั้นยอดเยี่ยมมากหลังจากที่เขาเพิ่งกินมันไปได้ไม่ถึง 2 นาที ชายชราที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นสีหน้าของเขากลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง แต่เนื่องจากความชาที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายเขาจึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาของถังเจี้ยนกั๋วและเสี่ยวหวังก็ฉายแววปีติยินดีออกมา การที่ชายชราตื่นขึ้นมามันก็พิสูจน์ได้แล้วว่ายาของชายหนุ่มคนนี้ได้ผลอย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงจับชีพจรของชายชรา ถังเจี้ยนกั๋วก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมา เพียงแต่แววตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เรโซแนนซ์!ใบหน้าของจี้เฟิงแสดงออกถึงความดีใจ ในที่สุดเขาก็ทำให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของชายชราสะท้อนความถี่ตรงกับพลังงานไฟฟ้าชีวภาพของเขา ด้วยวิธีนี้กระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของชายชราจะเกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่องและไปกระตุ้นให้พลังงานของเซลล์เพิ่มขึ้นอย่างมาก และสิ่งนี้จะช่วยชดเชยผลข้างเคียงของกระแสไฟฟ้าแบบเร่งรัด ดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหาอะไรที่น่าเป็นกังวลอีก!
มันจบแล้ว!ทุกอย่างสำเร็จไปได้ด้วยดี!
จี้เฟิงค่อยๆดึงกระแสไฟฟ้าชีวภาพของเขากลับมาเขาปล่อยมือและลุกขึ้นยืน เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
“ฟู่~”จี้เฟิงรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ เขามองไปที่ถังเจี้ยนกั๋วและเสี่ยวหวังซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและพยักหน้า “ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี” ถังเจี้ยนกั๋วและเสี่ยวหวังแสดงสีหน้าดีใจอย่างที่สุดแต่ทั้งสองคนก็ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณจี้เฟิง
“น้องชายคุณได้ช่วยชีวิตพ่อของฉันไว้วันนี้เท่ากับว่าฉันเป็นหนี้ชีวิตคุณ!” ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าและก้มหัวเล็กน้อยให้กับจี้เฟิง ขณะเดียวกันเขาก็หยิบนามบัตรออกมาใบหนึ่งส่งให้จี้เฟิง “นี่คือข้อมูลการติดต่อของฉัน ในภายภาคหน้าถ้าน้องชายต้องการให้ช่วยเหลืออะไรขอให้บอกมา ถ้าฉันถังเจี้ยนกั๋วคนนี้สามารถทำให้ได้ฉันจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!”
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับพี่ชาย คุณก็ขอบคุณผมแล้วแค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ การตอบแทนอะไรมากกว่านี้ไม่ต้องแล้ว!”
อันที่จริงจี้เฟิงนั้นรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยแม้ว่าเขาจะช่วยพ่อของถังเจี้ยนกั๋วเอาไว้ได้ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองรักษาคนอื่นอย่างจริงจัง นั่นก็เท่ากับว่าเขาได้เอาชีวิตของชายชรามาเสี่ยง แต่เขากลับปิดบังความจริงที่สำคัญนี้ไว้แถมยังโกหกว่าเขาได้เรียนวิชาแพทย์มาบ้าง ถ้าพูดกันตามตรงจี้เฟิงได้หลอกลวงเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย
“รับไปเถอะ!ฉันถังเจี้ยนกั๋วพูดแล้วไม่คืนคำ!” ถังเจี้ยนกั๋วยัดนามบัตรใส่มือจี้เฟิงโดยไม่สนใจคำปฏิเสธของเขาเลยสักนิด จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินไปข้างเตียงของชายชรา แล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า “พ่อครับ รู้สึกยังไงบ้าง”
“ฟู่~~!”
ผู้เฒ่าถังถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อครู่นี้การหายใจของเขาลำบากมาก เขาตบหน้าอกตัวเองเบาๆแล้วพูดออกมาจากใจว่า “เมื่อครู่นี้เหมือนข้าเพิ่งจะไปเยือนประตูแห่งความตายมา แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล ใครจะสามารถควบคุมความเป็นความตายได้!”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าเล็กน้อยเขารู้ว่าพ่อของเขาเป็นคนอารมณ์ดี ชอบพูดทำนองนี้อยู่เป็นปกติ เขาแค่พูดว่า “พ่อไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตอนนี้ก็นอนพักผ่อนก่อนเถอะ อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะถึงหยานจิงแล้ว
ผู้เฒ่าถังส่ายหัวดวงตาของเขาจับจ้องไปที่จี้เฟิง “สหายน้อย เมื่อกี้เธอได้ช่วยคนแก่ใกล้จะลงโรงอย่างฉันเอาไว้ใช่มั้ย”
“ผมไม่ได้ทำอะไรมากเป็นเพราะโชคดีของผู้อาวุโสเองมากกว่า” จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า
“อืม…นอกจากโชคแล้วบางทีฝีมือและจิตใจก็เป็นเรื่องสำคัญ…” ผู้เฒ่าถังไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก เขาหันหน้าแล้วพูดว่า “เจี้ยนกั๋ว สหายน้อยคนนี้ได้ช่วยชีวิตพ่อของเจ้าไว้ เจ้ามีอะไรจะพูดหรือเปล่า”
ถังเจี้ยนกั๋วกล่าวทันทีว่า“พ่อ ผมได้บอกกับน้องชายคนนี้ไปแล้วว่า ตราบใดที่มีสิ่งที่เขาต้องการ ขอให้บอกผมจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อนช่วยเหลือเขา!”
“หึ!”ผู้เฒ่าถังดูไม่ค่อยพอใจนัก “จะให้เขาต้องการอะไร ต่อให้สหายน้อยคนนี้มีปัญหาจริงๆ เขาจะกล้ามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าอย่างงั้นรึ? ข้าเห็นว่าเจ้ายังวางตำแหน่งของตัวเองไม่ถูกต้อง สหายน้อยคนนี้คือผู้ช่วยชีวิตพ่อของเจ้า ไม่ใช่คนที่จะต้องมาขอให้เจ้าทำสิ่งต่างๆ!”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าทันที“ครับพ่อ! ผมทราบแล้วว่าควรต้องทำยังไง!”
ผู้เฒ่าถังพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วหันไปหาจี้เฟิง“สหายน้อย เธอเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตตาแก่อย่างฉัน แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเรียกเธอว่าอะไร”
“ผมชื่อจี้เฟิงครับ!”จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม จากคำพูดของผู้เฒ่าถังเมื่อครู่ มันทำให้จี้เฟิงรู้สึกดีกับเขามาก อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่มีบุญคุณต้องตอบแทน
“สกุลจี้งั้นรึ”ผู้เฒ่าติดใจสงสัยเล็กน้อย
“ครับผมสกุลจี้!” จี้เฟิงยิ้ม
ชายชราจ้องมองจี้เฟิงอย่างครุ่นคิดและถามว่า“สหายน้อย เธอเป็นคนหยานจิงหรือเปล่า”
“ไม่ครับผมเป็นคนหมางซือ!” จี้เฟิงยิ้ม “มันเป็นแค่เขตเล็กๆที่ห่างไกล ผู้อาวุโสอาจไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน!”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนงั้นรึที่หมางซือเป็นหนึ่งในสมรภูมิหลักของการต่อสู้ในเผิงเฉิง ฉันกับศัตรูต่อสู้กันสามวันสามคืน แล้วทำไมฉันถึงจะไม่เคยได้ยินชื่อเขตหมางซือมาก่อนล่ะ?” ผู้เฒ่าถังหัวเราะ
จี้เฟิงยิ้มพลางพยักหน้าและคิดในใจว่า ‘กลายเป็นว่าผู้อาวุโสท่านนี้เคยเข้าร่วมสงครามเมื่อในอดีตมาก่อนนี้เอง!’
ผู้เฒ่าถังดูแข็งแรงมากขึ้นไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งไปเหยียบขอบเหวแห่งความตายมานั่นเป็นเพราะพลังภายในเซลล์ของผู้เฒ่าถังเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาถามคำถามจี้เฟิงอีกหลายข้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำถามเกี่ยวกับตัวตนของจี้เฟิง
แต่จี้เฟิงกลับตอบได้อย่างรวดเร็วและชัดถ้อยชัดคำโดยที่ไม่ได้เปิดเผยว่าเขาเป็นคนของตระกูลจี้แห่งหยานจิง
ไม่ใช่เพราะว่าจี้เฟิงต้องการจะถ่อมตัวเพื่อแสร้งทำเป็นว่าเขาเป็นคนไม่สำคัญแต่เมื่อเจอคนระดับนี้เขาต้องระวังตัวให้ดี เพราะเขาไม่อาจรู้ได้ว่าใครอยู่ฝ่ายไหน แล้วมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจี้หรือไม่!
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดๆผู้เฒ่าถังจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดถามเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้ และเปลี่ยนไปถามว่า “สหายน้อยจี้ ฉันคิดว่าทักษะทางการแพทย์ของเธอดีมาก ถึงขนาดคนอย่างฉันที่ก้าวขาลงโลงไปแล้วข้างหนึ่งเธอยังสามารถนำกลับมาได้ น่าชื่นชมจริงๆ!”
ถังเจี้ยนกั๋วและเสี่ยวหวังที่อยู่ข้างๆพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าทักษะทางการแพทย์ของจี้เฟิงนั้นน่าตกตะลึงจริงๆ ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ แต่เขากลับสามารถช่วยชีวิตผู้อาวุโสถังได้สำเร็จ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากจริงๆ จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะบุญและโชควาสนาของผู้อาวุโสเองต่างหากล่ะครับ ผมแค่เคยเรียนรู้ทางด้านการแพทย์มาเล็กน้อย ไม่ได้มีความชำนาญมากนัก”
“สหายน้อยถ่อมตัวเกินไปแล้ว…ความจริงแล้วฉันยังมีเรื่องที่อยากจะขอร้องสหายน้อยจี้อีกสักเรื่อง ไม่รู้ว่าสหายน้อยจี้จะสะดวกหรือไม่” เฒ่าถังถามขึ้นทันที
จี้เฟิงพูดด้วยใบหน้าที่จริงจังทันที“ผู้อาวุโสโปรดบอกมา”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็พูดตรงๆเลยก็แล้วกันนะมีผู้เฒ่าท่านหนึ่งท่านเป็นหัวหน้าของฉันเอง ฉันเลยอยากจะเชิญสหายน้อยจี้ไปรักษาหัวหน้าของฉัน ไม่ทราบว่าสหายน้อยจี้พอจะมีเวลาว่างหรือไม่” ผู้เฒ่าถังตามเข้าประเด็นทันที
จี้เฟิงแสดงสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันทีเขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ผมต้องขอโทษผู้อาวุโสด้วยจริงๆครับ พอดีว่าผมก็มีธุระต้องไปโรงพยาบาลเพื่อไปเยี่ยมคุณปู่ของผมเช่นกัน ผมคงไม่สามารถทำตามคำขอของผู้อาวุโสได้จริงๆ… เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะให้ยานี้กับผู้อาวุโสถ้าหัวหน้าของผู้อาวุโสมีอาการทรุดหนักจนแม้แต่หมอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ขอให้ผู้อาวุโสป้อนยาเม็ดนี้ให้เขากิน มันจะช่วยยืดระยะเวลาเพื่อให้หมอสามารถรักษาเขาได้นานขึ้น”
จี้เฟิงเทยากระแสไฟฟ้าแบบเร่งรัดออกมาและยื่นให้
“แค่นี้ก็ยังดี!”ผู้เฒ่าถังดูไม่มีความสุข “ดูเหมือนว่าหัวหน้าของฉันจะโชคไม่ดีเอาซะเลย!”
จี้เฟิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเขาทำได้เพียงตอบรับอย่างลวกๆไปอีกสองสามประโยค จากนั้นก็รีบปีนขึ้นเตียงและแกล้งทำเป็นหลับ วิธีพื้นๆแบบนี้บางทีก็เป็นการรับมือที่ยอดเยี่ยม
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องคอยมองแววตาที่เหมือนสงสัยอะไรอยู่ตลอดเวลาของผู้เฒ่าถังอีก
จนถึงตอนนี้ผู้โดยสารคนอื่นๆในรถไฟเพิ่งจะมีปฏิกิริยากลับมาพวกเขามองไปทางจี้เฟิงด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มคนหนึ่งจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมได้ขนาดนี้ ถึงขนาดดึงชายแก่ที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายให้กลับมายืนพูดจาเจื้อยแจ้วได้โดยที่ไม่ต้องไปโรงพยาบาลเลย นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
จี้เฟิงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงประกาศของรถไฟตอนนี้รถไฟได้มาถึงสถานีหยานจิงแล้ว!
จี้เฟิงรีบเก็บสัมภาระและกระโดดลงจากเตียงพร้อมกับกระเป๋าของเขาเขากล่าวลากลุ่มของผู้เฒ่าถังอย่างรวบรัดแล้วรีบวิ่งลงจากรถไฟ ในขณะเดียวกันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออก
ในตอนนั้นเองผู้เฒ่าถังที่ยังอยู่ในรถไฟก็ออกคำสั่งว่า“เสี่ยวหวัง เจ้าไปติดตามเขาอย่าให้คลาดสายตา! ดูให้รู้ว่าเขาจะไปที่ไหน จำไว้ด้วยว่าอย่าให้เขารู้ตัวเด็ดขาด! เจี้ยนกั๋ว เจ้าไปเตรียมคนของเรามาสองสามคนและไปนำตัวเขากลับมา!”
ถังเจี้ยนกั๋วอึ้งไปทันที“พ่อครับ นี่…”
“เจ้าคิดว่าการปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเช่นนี้มันเนรคุณหรือ”ผู้เฒ่าถังมองไปที่ลูกชายของเขาและถามด้วยเสียงต่ำ
ถังเจี้ยนกั๋วไม่กล้าสบตากับพ่อของเขาแต่พยักหน้าเล็กน้อย “พ่อ ผมก็เป็นทหารคนหนึ่ง แถมสหายจี้คนนั้นยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตท่านเอาไว้…”
“ฮึ่ม!”ผู้เฒ่าถังแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ทักษะทางการแพทย์ของสหายน้อยจี้นั้นยอดเยี่ยมมาก ตอนนี้หัวหน้ากำลังป่วยหนัก สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในเวลานี้คือคนอย่างสหายน้อยจี้มาช่วยชีวิต… สำหรับหัวหน้าแล้ว ฉันยอมที่จะต้องกลายเป็นคนเนรคุณ!”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม“ครับพ่อ ผมรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร!”
คนที่คุ้นเคยกับถังเจี้ยนกั๋วมีหรือจะเคยเห็นเขาตกอยู่ในอาการประหม่าจนถึงขั้นวิตกกังวลขนาดนี้มาก่อน
จี้เฟิงไม่มีเวลามาสังเกตปฏิกิริยาของสองคนนั้นเขานั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงของชายชรา มือขวาจับข้อมือของชายชราเอาไว้และกระตุ้นกระแสชีวภาพอย่างระมัดระวังเพื่อช่วยการทำงานของยากระแสไฟฟ้าแบบเร่งรัดสูตรลดประสิทธิภาพที่เขาทำขึ้นมากับมือ ในขณะเดียวกันก็พยายามปรับคลื่นความถี่ของกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่อยู่ในร่างกายของชายชราให้คงที่เพื่อให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพของชายชราไปกระตุ้นเซลล์และเกิดวงจรการทำงานด้วยตัวของมันเอง และที่สำคัญคือเพื่อกำจัดผลข้างเคียงของยาพิเศษตัวนี้
กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่น้อยเลยทฤษฎีแนวทางในการปฏิบัตินั้นมีช่องว่างอยู่พอสมควร ตอนนี้จี้เฟิงเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง
การควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายผู้อื่นยากกว่าการควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของตัวเองมากจี้เฟิงทำได้แค่เพียงตั้งใจและระมัดระวังอย่างมากเท่านั้น
เขาไม่ต้องการให้นายพลเก่าคนนี้ต้องจากไปเพราะความประมาทของตัวเองแม้ว่าถังเจี้ยนกั๋วจะไม่โทษเขาหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่จี้เฟิงก็คงจะไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้
ผู้อาวุโสเหล่านี้เคยต่อสู้อย่างเต็มที่ในสนามรบเพื่อประเทศชาติพวกเขาควรได้รับความเคารพมากพอ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ชายชราคนนี้เป็นเพียงพลเมืองธรรมดา เขาก็สมควรได้รับความเคารพ ชีวิตของเขามีค่า!
กระแสไฟฟ้าชีวภาพของจี้เฟิงได้เข้าไปยังร่างกายของชายชราแล้วเขาปรับความผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพอย่างต่อเนื่อง และพยายามสร้างเรโซแนนซ์กับกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของชายชรา
ยากระแสไฟฟ้าแบบเร่งรัดนั้นยอดเยี่ยมมากหลังจากที่เขาเพิ่งกินมันไปได้ไม่ถึง 2 นาที ชายชราที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นสีหน้าของเขากลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง แต่เนื่องจากความชาที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายเขาจึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาของถังเจี้ยนกั๋วและเสี่ยวหวังก็ฉายแววปีติยินดีออกมา การที่ชายชราตื่นขึ้นมามันก็พิสูจน์ได้แล้วว่ายาของชายหนุ่มคนนี้ได้ผลอย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงจับชีพจรของชายชรา ถังเจี้ยนกั๋วก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมา เพียงแต่แววตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เรโซแนนซ์!ใบหน้าของจี้เฟิงแสดงออกถึงความดีใจ ในที่สุดเขาก็ทำให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของชายชราสะท้อนความถี่ตรงกับพลังงานไฟฟ้าชีวภาพของเขา ด้วยวิธีนี้กระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของชายชราจะเกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่องและไปกระตุ้นให้พลังงานของเซลล์เพิ่มขึ้นอย่างมาก และสิ่งนี้จะช่วยชดเชยผลข้างเคียงของกระแสไฟฟ้าแบบเร่งรัด ดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหาอะไรที่น่าเป็นกังวลอีก!
มันจบแล้ว!ทุกอย่างสำเร็จไปได้ด้วยดี!
จี้เฟิงค่อยๆดึงกระแสไฟฟ้าชีวภาพของเขากลับมาเขาปล่อยมือและลุกขึ้นยืน เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
“ฟู่~”จี้เฟิงรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่ เขามองไปที่ถังเจี้ยนกั๋วและเสี่ยวหวังซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและพยักหน้า “ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี” ถังเจี้ยนกั๋วและเสี่ยวหวังแสดงสีหน้าดีใจอย่างที่สุดแต่ทั้งสองคนก็ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณจี้เฟิง
“น้องชายคุณได้ช่วยชีวิตพ่อของฉันไว้วันนี้เท่ากับว่าฉันเป็นหนี้ชีวิตคุณ!” ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าและก้มหัวเล็กน้อยให้กับจี้เฟิง ขณะเดียวกันเขาก็หยิบนามบัตรออกมาใบหนึ่งส่งให้จี้เฟิง “นี่คือข้อมูลการติดต่อของฉัน ในภายภาคหน้าถ้าน้องชายต้องการให้ช่วยเหลืออะไรขอให้บอกมา ถ้าฉันถังเจี้ยนกั๋วคนนี้สามารถทำให้ได้ฉันจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!”
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับพี่ชาย คุณก็ขอบคุณผมแล้วแค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ การตอบแทนอะไรมากกว่านี้ไม่ต้องแล้ว!”
อันที่จริงจี้เฟิงนั้นรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยแม้ว่าเขาจะช่วยพ่อของถังเจี้ยนกั๋วเอาไว้ได้ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองรักษาคนอื่นอย่างจริงจัง นั่นก็เท่ากับว่าเขาได้เอาชีวิตของชายชรามาเสี่ยง แต่เขากลับปิดบังความจริงที่สำคัญนี้ไว้แถมยังโกหกว่าเขาได้เรียนวิชาแพทย์มาบ้าง ถ้าพูดกันตามตรงจี้เฟิงได้หลอกลวงเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย
“รับไปเถอะ!ฉันถังเจี้ยนกั๋วพูดแล้วไม่คืนคำ!” ถังเจี้ยนกั๋วยัดนามบัตรใส่มือจี้เฟิงโดยไม่สนใจคำปฏิเสธของเขาเลยสักนิด จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินไปข้างเตียงของชายชรา แล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า “พ่อครับ รู้สึกยังไงบ้าง”
“ฟู่~~!”
ผู้เฒ่าถังถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อครู่นี้การหายใจของเขาลำบากมาก เขาตบหน้าอกตัวเองเบาๆแล้วพูดออกมาจากใจว่า “เมื่อครู่นี้เหมือนข้าเพิ่งจะไปเยือนประตูแห่งความตายมา แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล ใครจะสามารถควบคุมความเป็นความตายได้!”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าเล็กน้อยเขารู้ว่าพ่อของเขาเป็นคนอารมณ์ดี ชอบพูดทำนองนี้อยู่เป็นปกติ เขาแค่พูดว่า “พ่อไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตอนนี้ก็นอนพักผ่อนก่อนเถอะ อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะถึงหยานจิงแล้ว
ผู้เฒ่าถังส่ายหัวดวงตาของเขาจับจ้องไปที่จี้เฟิง “สหายน้อย เมื่อกี้เธอได้ช่วยคนแก่ใกล้จะลงโรงอย่างฉันเอาไว้ใช่มั้ย”
“ผมไม่ได้ทำอะไรมากเป็นเพราะโชคดีของผู้อาวุโสเองมากกว่า” จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า
“อืม…นอกจากโชคแล้วบางทีฝีมือและจิตใจก็เป็นเรื่องสำคัญ…” ผู้เฒ่าถังไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก เขาหันหน้าแล้วพูดว่า “เจี้ยนกั๋ว สหายน้อยคนนี้ได้ช่วยชีวิตพ่อของเจ้าไว้ เจ้ามีอะไรจะพูดหรือเปล่า”
ถังเจี้ยนกั๋วกล่าวทันทีว่า“พ่อ ผมได้บอกกับน้องชายคนนี้ไปแล้วว่า ตราบใดที่มีสิ่งที่เขาต้องการ ขอให้บอกผมจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อนช่วยเหลือเขา!”
“หึ!”ผู้เฒ่าถังดูไม่ค่อยพอใจนัก “จะให้เขาต้องการอะไร ต่อให้สหายน้อยคนนี้มีปัญหาจริงๆ เขาจะกล้ามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าอย่างงั้นรึ? ข้าเห็นว่าเจ้ายังวางตำแหน่งของตัวเองไม่ถูกต้อง สหายน้อยคนนี้คือผู้ช่วยชีวิตพ่อของเจ้า ไม่ใช่คนที่จะต้องมาขอให้เจ้าทำสิ่งต่างๆ!”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าทันที“ครับพ่อ! ผมทราบแล้วว่าควรต้องทำยังไง!”
ผู้เฒ่าถังพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วหันไปหาจี้เฟิง“สหายน้อย เธอเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตตาแก่อย่างฉัน แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเรียกเธอว่าอะไร”
“ผมชื่อจี้เฟิงครับ!”จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม จากคำพูดของผู้เฒ่าถังเมื่อครู่ มันทำให้จี้เฟิงรู้สึกดีกับเขามาก อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่มีบุญคุณต้องตอบแทน
“สกุลจี้งั้นรึ”ผู้เฒ่าติดใจสงสัยเล็กน้อย
“ครับผมสกุลจี้!” จี้เฟิงยิ้ม
ชายชราจ้องมองจี้เฟิงอย่างครุ่นคิดและถามว่า“สหายน้อย เธอเป็นคนหยานจิงหรือเปล่า”
“ไม่ครับผมเป็นคนหมางซือ!” จี้เฟิงยิ้ม “มันเป็นแค่เขตเล็กๆที่ห่างไกล ผู้อาวุโสอาจไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน!”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนงั้นรึที่หมางซือเป็นหนึ่งในสมรภูมิหลักของการต่อสู้ในเผิงเฉิง ฉันกับศัตรูต่อสู้กันสามวันสามคืน แล้วทำไมฉันถึงจะไม่เคยได้ยินชื่อเขตหมางซือมาก่อนล่ะ?” ผู้เฒ่าถังหัวเราะ
จี้เฟิงยิ้มพลางพยักหน้าและคิดในใจว่า ‘กลายเป็นว่าผู้อาวุโสท่านนี้เคยเข้าร่วมสงครามเมื่อในอดีตมาก่อนนี้เอง!’
ผู้เฒ่าถังดูแข็งแรงมากขึ้นไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งไปเหยียบขอบเหวแห่งความตายมานั่นเป็นเพราะพลังภายในเซลล์ของผู้เฒ่าถังเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาถามคำถามจี้เฟิงอีกหลายข้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำถามเกี่ยวกับตัวตนของจี้เฟิง
แต่จี้เฟิงกลับตอบได้อย่างรวดเร็วและชัดถ้อยชัดคำโดยที่ไม่ได้เปิดเผยว่าเขาเป็นคนของตระกูลจี้แห่งหยานจิง
ไม่ใช่เพราะว่าจี้เฟิงต้องการจะถ่อมตัวเพื่อแสร้งทำเป็นว่าเขาเป็นคนไม่สำคัญแต่เมื่อเจอคนระดับนี้เขาต้องระวังตัวให้ดี เพราะเขาไม่อาจรู้ได้ว่าใครอยู่ฝ่ายไหน แล้วมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจี้หรือไม่!
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดๆผู้เฒ่าถังจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดถามเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้ และเปลี่ยนไปถามว่า “สหายน้อยจี้ ฉันคิดว่าทักษะทางการแพทย์ของเธอดีมาก ถึงขนาดคนอย่างฉันที่ก้าวขาลงโลงไปแล้วข้างหนึ่งเธอยังสามารถนำกลับมาได้ น่าชื่นชมจริงๆ!”
ถังเจี้ยนกั๋วและเสี่ยวหวังที่อยู่ข้างๆพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าทักษะทางการแพทย์ของจี้เฟิงนั้นน่าตกตะลึงจริงๆ ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ แต่เขากลับสามารถช่วยชีวิตผู้อาวุโสถังได้สำเร็จ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากจริงๆ จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะบุญและโชควาสนาของผู้อาวุโสเองต่างหากล่ะครับ ผมแค่เคยเรียนรู้ทางด้านการแพทย์มาเล็กน้อย ไม่ได้มีความชำนาญมากนัก”
“สหายน้อยถ่อมตัวเกินไปแล้ว…ความจริงแล้วฉันยังมีเรื่องที่อยากจะขอร้องสหายน้อยจี้อีกสักเรื่อง ไม่รู้ว่าสหายน้อยจี้จะสะดวกหรือไม่” เฒ่าถังถามขึ้นทันที
จี้เฟิงพูดด้วยใบหน้าที่จริงจังทันที“ผู้อาวุโสโปรดบอกมา”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็พูดตรงๆเลยก็แล้วกันนะมีผู้เฒ่าท่านหนึ่งท่านเป็นหัวหน้าของฉันเอง ฉันเลยอยากจะเชิญสหายน้อยจี้ไปรักษาหัวหน้าของฉัน ไม่ทราบว่าสหายน้อยจี้พอจะมีเวลาว่างหรือไม่” ผู้เฒ่าถังตามเข้าประเด็นทันที
จี้เฟิงแสดงสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันทีเขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ผมต้องขอโทษผู้อาวุโสด้วยจริงๆครับ พอดีว่าผมก็มีธุระต้องไปโรงพยาบาลเพื่อไปเยี่ยมคุณปู่ของผมเช่นกัน ผมคงไม่สามารถทำตามคำขอของผู้อาวุโสได้จริงๆ… เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะให้ยานี้กับผู้อาวุโสถ้าหัวหน้าของผู้อาวุโสมีอาการทรุดหนักจนแม้แต่หมอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ขอให้ผู้อาวุโสป้อนยาเม็ดนี้ให้เขากิน มันจะช่วยยืดระยะเวลาเพื่อให้หมอสามารถรักษาเขาได้นานขึ้น”
จี้เฟิงเทยากระแสไฟฟ้าแบบเร่งรัดออกมาและยื่นให้
“แค่นี้ก็ยังดี!”ผู้เฒ่าถังดูไม่มีความสุข “ดูเหมือนว่าหัวหน้าของฉันจะโชคไม่ดีเอาซะเลย!”
จี้เฟิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเขาทำได้เพียงตอบรับอย่างลวกๆไปอีกสองสามประโยค จากนั้นก็รีบปีนขึ้นเตียงและแกล้งทำเป็นหลับ วิธีพื้นๆแบบนี้บางทีก็เป็นการรับมือที่ยอดเยี่ยม
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องคอยมองแววตาที่เหมือนสงสัยอะไรอยู่ตลอดเวลาของผู้เฒ่าถังอีก
จนถึงตอนนี้ผู้โดยสารคนอื่นๆในรถไฟเพิ่งจะมีปฏิกิริยากลับมาพวกเขามองไปทางจี้เฟิงด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มคนหนึ่งจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมได้ขนาดนี้ ถึงขนาดดึงชายแก่ที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายให้กลับมายืนพูดจาเจื้อยแจ้วได้โดยที่ไม่ต้องไปโรงพยาบาลเลย นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
จี้เฟิงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงประกาศของรถไฟตอนนี้รถไฟได้มาถึงสถานีหยานจิงแล้ว!
จี้เฟิงรีบเก็บสัมภาระและกระโดดลงจากเตียงพร้อมกับกระเป๋าของเขาเขากล่าวลากลุ่มของผู้เฒ่าถังอย่างรวบรัดแล้วรีบวิ่งลงจากรถไฟ ในขณะเดียวกันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออก
ในตอนนั้นเองผู้เฒ่าถังที่ยังอยู่ในรถไฟก็ออกคำสั่งว่า“เสี่ยวหวัง เจ้าไปติดตามเขาอย่าให้คลาดสายตา! ดูให้รู้ว่าเขาจะไปที่ไหน จำไว้ด้วยว่าอย่าให้เขารู้ตัวเด็ดขาด! เจี้ยนกั๋ว เจ้าไปเตรียมคนของเรามาสองสามคนและไปนำตัวเขากลับมา!”
ถังเจี้ยนกั๋วอึ้งไปทันที“พ่อครับ นี่…”
“เจ้าคิดว่าการปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเช่นนี้มันเนรคุณหรือ”ผู้เฒ่าถังมองไปที่ลูกชายของเขาและถามด้วยเสียงต่ำ
ถังเจี้ยนกั๋วไม่กล้าสบตากับพ่อของเขาแต่พยักหน้าเล็กน้อย “พ่อ ผมก็เป็นทหารคนหนึ่ง แถมสหายจี้คนนั้นยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตท่านเอาไว้…”
“ฮึ่ม!”ผู้เฒ่าถังแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ทักษะทางการแพทย์ของสหายน้อยจี้นั้นยอดเยี่ยมมาก ตอนนี้หัวหน้ากำลังป่วยหนัก สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในเวลานี้คือคนอย่างสหายน้อยจี้มาช่วยชีวิต… สำหรับหัวหน้าแล้ว ฉันยอมที่จะต้องกลายเป็นคนเนรคุณ!”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม“ครับพ่อ ผมรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร!”