The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 332 ทำตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 10 ปี !
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 332 ทำตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 10 ปี !
เมื่อเห็นชายชราที่โกรธเกรี้ยวกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างดุเดือดในที่สุดใบหน้าที่เย็นชาไร้อารมณ์ของเถี่ยจุนก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา
เขาเหลือบมองชายวัยกลางคนที่อยู่ถัดจากชายชราอีกฝ่ายทำได้แค่เพียงยิ้มออกมาอย่างจนใจ
“เจ้าเด็กเหลือขอมัวมองอะไรอยู่! ยังไม่รีบหลบไปอีก” ชายชราพ่นลมฟึดฟัดด้วยความไม่พอใจ “ต้องโดนตาแก่อย่างข้าทุบด้วยไม้เท้าก่อนใช่ไหมถึงจะยอมหลีกไป!”
มุมปากของเถี่ยจุนกระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “คุณอาถัง…”
เถี่ยจุนเพิ่งจะอ้าปากเรียกก็ถูกเสียงไม่พอใจของชายชราขัดจังหวะทันที“เจ้าเด็กไร้มารยาท! แม้แต่ลำดับการเรียกผู้อาวุโสก็ลืมไปแล้วงั้นหรือ อาถังอะไรของเจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าข้าแก่กว่าพ่อของเจ้าซะอีก จำใส่หัวเอาไว้ให้ดีต้องเรียกข้าว่าลุงถัง!”
เถี่ยจุนพยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว“ครับ ลุงถังครับ จำได้แล้วครับ!”
ท่าทีของชายชราดูสงบลงเล็กน้อยจากนั้นก็พูดด้วยเสียงอันดังอีกครั้งว่า“ดี! ในเมื่อเจ้าจำได้แล้วก็ดี ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ลุงถังขอสั่งให้เจ้าหลีกไปให้พ้นทางเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการเข้าพบท่านหัวหน้า! หรือเจ้าต้องการจะขัดขวางข้าอีกเป็นครั้งที่สอง ข้าจะได้วิ่งไปที่ปากกระบอกปืนของเจ้าให้รู้แล้วรู้รอดไป!”
บนหน้าผากของเถี่ยจุนเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆที่ไหลออกมาเขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ลุงถังครับผมแค่ทำตามคำสั่งของท่านหัวหน้าเท่านั้น เอาอย่างนี้แล้วกัน อย่างน้อยก็ให้ผมได้ไปรายงานท่านหัวหน้าก่อนแล้วกันนะครับ”
ชายชราผู้นี้เถี่ยจุนไม่อาจล่วงเกินได้จริงๆและเขาก็ไม่สามารถดูหมิ่นได้แม้แต่นิดเดียว เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าพ่อของเขารู้เข้าแล้วเขาไม่ถูกหักขาก็คงจะแปลกแล้ว!
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปซะสิ!”ชายชราก่นด่าสาปแช่งอีกครั้ง “ไอ้ลูกหมาน้อยสงสัยถ้าไม่โดนสักที คงจะไม่ดีขึ้นเลยจริงๆ!” ระหว่างที่พูดชายชราก็ถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมจะเข้าไปทุบตีเถี่ยจุน
“พ่อครับ!พ่อ! ใจเย็นๆก่อนเถอะ!” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆรีบดึงชายชราไว้และส่งสายตาให้เถี่ยจุนรีบไป
เถี่ยจุนไม่กล้าพูดอะไรอีกเขารีบวิ่งไปยังห้องพยาบาลพิเศษของผู้อาวุโสจี้
เมื่อเคาะประตูเถี่ยจุนไม่รอให้ใครตอบรับเขารีบผลักประตูเข้าไปในห้องของผู้อาวุโสจี้ทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบและพูดขึ้นด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน “ท่านหัวหน้าครับ ผู้เฒ่าถังขอพบท่าน ท่านจะ…”
“เสี่ยวถังมางั้นหรือ”ผู้อาวุโสจี้อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา “ข้าก็ว่าอยู่ ใครมันจะกล้าบุกเข้ามาแบบนี้ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง เจ้าไปพาเขาเข้ามาเถอะ!”
เถี่ยจุนพยักหน้าทันที“ครับท่านหัวหน้า!”
เขาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่ท่านหัวหน้าอนุญาต ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปบอกชายชราว่าอย่างไรดี ชายชราคนนี้อารมณ์ร้อนมาก แม้แต่พ่อของเขาเองก็ยังปวดหัว นับประสาอะไรกับเขา!
หลังจากที่เถี่ยจุนเดินออกไปได้ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีกครั้งและประตูห้องก็ถูกเคาะ
“เข้ามา!”ผู้อาวุโสจี้ยิ้ม
ประตูถูกผลักเปิดออกชายชราที่มีผมหงอกขาวและใบหน้าแดงก่ำก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
พอเห็นผู้อาวุโสจี้นั่งอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลชายชราก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เข้าเดินเข้าไปไม่กี่ก้าวและหยุดอยู่ที่ระยะสองเมตรก่อนจะถึงเตียงของโรงพยาบาลที่ผู้อาวุโสจี้นั่งอยู่
เขายืนตรงและโค้งคำนับ
“รายงานท่านหัวหน้าใหญ่ข้าองครักษ์ถังผู้จงรักภักดีมารายงานตัวครับ!” เสียงของชายชราดังมาก แม้ว่าท่าทางการยืนของเขาจะไม่สง่าผ่าเผยเหมือนก่อน แต่เขาก็พยายามยืดอกยืนตัวตรงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว การทักทายด้วยความเคารพก็เป็นมาตรฐานของชายชาติทหารอย่างหนึ่งเช่นกัน
ชายชราคนนี้ดูเคร่งครัดในเรื่องพวกนี้มากจริงๆ
“ดี!ดี!” ผู้อาวุโสจี้ก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน เขาพยักหน้าอยู่สองสามครั้ง “เสี่ยวถัง ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องมาแน่นอน!”
หลังจากที่ผู้เฒ่าถังทำความเคารพเสร็จเขาก็รีบก้าวเข้าไปหาผู้อาวุโสจี้อย่างรวดเร็ว “ท่านหัวหน้า ร่างกายของท่าน…”
“ข้าไม่เป็นไรมันไม่สามารถเอาชนะข้าได้หรอกหน่าก็แค่สร้างปัญหาให้ข้านิดๆหน่อยๆ!” ผู้อาวุโสจี้พูดคุยและโบกมืออย่างภาคภูมิใจราวกับเขาได้กลับไปสู่สมัยสงคราม
“เฮ้อ!เดิมทีข้าคิดจะจับหมอเทวดาคนหนึ่งมา แม้หมอเทวดาคนนั้นจะยังอายุน้อยแต่ฝีมือการรักษาของเขาก็ไม่ธรรมดาเลย แต่ตอนนี้ดูท่าว่าคงไม่จำเป็นแล้ว!” ผู้เฒ่าถังหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
“หมอเทวดา”ผู้อาวุโสจี้อึ้งไปเล็กน้อย
“ใช่แล้วท่านหัวหน้าข้าได้พบกับหมอเทวดาบนรถไฟในตอนที่เดินทางมาที่หยานจิง…” ผู้เฒ่าถังรีบเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถไฟทันที รวมถึงบอกแผนการและข้อสันนิษฐานของเขาให้ผู้อาวุโสจี้รับรู้
เมื่อฟังเรื่องราวจากผู้เฒ่าถังจบรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสจี้ก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเดาได้แล้วว่าหมอเทวดาตัวน้อยที่ผู้เฒ่าถังพูดถึงนั้นคือใคร เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าลิงน้อยกับเสี่ยวถังจะมีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ “ท่านหัวหน้าท่านคิดว่าสหายน้อยจี้เขา….” หลังจากที่ผู้เฒ่าถังพูดจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขอให้ผู้อาวุโสจี้ช่วยยืนยัน
ผู้อาวุโสจี้อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า“สหายน้อยที่เจ้าพูดถึงก็คือเจ้าลิงน้อยลูกชายของเจิ้นหัวและเป็นหลานชายของฉัน!”
“ข้าว่าแล้ว!จะมีความบังเอิญเช่นนั้นบนโลกนี้ได้อย่างไรท่านหัวหน้า แล้วตอนนี้เจ้าเด็กนั่นอยู่ที่ไหน ข้าขอพบเขาหน่อยได้ไหม?” ผู้เฒ่าถังหัวเราะด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าคิดที่จะจับตัวเขา ขอให้ข้าได้ขอโทษเขาเสียหน่อยเถอะ!”
“ไม่ได้ไม่ได้! เจ้าเด็กนั่นจะนิสัยเสียเอา!” ผู้อาวุโสจี้โบกมือเพื่อหยุดความคิดของผู้เฒ่าถัง แม้ว่าการที่เขามีหลานชายเช่นนี้จะทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสมควรที่จะให้ผู้เฒ่าถังไปขอโทษหลานชายของตนได้
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงที่ยืนหลบอยู่ในส่วนหนึ่งของห้องพยาบาลพิเศษก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างหนักจนผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้เรียบเรียงเรื่องราวที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่
ชายชราที่เขาบังเอิญช่วยไว้บนรถไฟในวันที่เดินทางมาหยานจิงกลับกลายเป็นผู้เฒ่าถังซึ่งเป็นลูกน้องของคุณปู่ และที่สำคัญผู้เฒ่าถังคนนี้ยังวางแผนที่จะจับตัวเขาอีกต่างหาก?!
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกด้วยความกลัวเขายังมีประสบการณ์ชีวิตน้อยเกินไป เกรงว่าถ้าไม่ใช่เพราะฮุ่ยอี้มารับเขาได้ทันเวลาล่ะก็ ตอนนี้เขาคงได้มาพบคุณปู่ด้วยวิธีอื่น
“ดูเหมือนว่าในอนาคตฉันจะต้องใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ให้มากขึ้นทักษะที่ดีไม่ได้หมายความว่าจะช่วยให้ทุกอย่างเรียบร้อย บางทีประสบการณ์ก็สำคัญกว่าความแข็งแกร่ง!” จี้เฟิงแอบเตือนตัวเองอยู่ในใจ
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงผู้เฒ่าถังพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านหัวหน้าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนพวกเรายังคุยโทรศัพท์กันอยู่เลย แล้วทำไมอยู่ดีๆท่านหัวหน้าถึงได้…”
หัวใจของจี้เฟิงเต้นรัวความจริงแล้วเขาเองก็สงสัยเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
เขาจำได้ว่าเมื่อสองเดือนก่อนพี่รองพูดเกี่ยวกับร่างกายคุณปู่แม้ว่าคุณปู่จะแก่มากแล้วแต่อาการป่วยของเขาก็ยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นนี้ แล้วทำไมภายในระยะเวลาแค่สองเดือนถึงได้ทรุดหนักลงจนมาเป็นแบบนี้ได้
แม้ว่าคนเฒ่าคนแก่จะเจ็บจะป่วยบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่มีใครสามารถฝืนกฎแห่งกรรมได้ แต่คนเราก็ใช่ว่าจู่ๆจะป่วยหนักในทันที มันจะต้องมีอาการอะไรมาก่อนบ้าง เห็นได้ชัดว่าที่คุณปู่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในครั้งนี้จะต้องมีเบื้องหลังอะไรมากกว่านี้
แววตาของจี้เฟิงส่องประกายเย็นยะเยือกหูตั้งตรงและตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง
ผู้อาวุโสจี้ส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวอย่างแผ่วเบา“อายุปูนนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องมีอาการเจ็บป่วยกันบ้างเป็นธรรมดา!”
ผู้เฒ่าถังพยักหน้าเขานิ่งเงียบไปด้วยความอดทน แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวที่พ่นลมหายใจออกมา ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจอย่างมาก
จี้เฟิงสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าในน้ำเสียงปู่ของเขาคิ้วของเขายิ่งขมวดแน่นขึ้น ปู่ของเขาไม่อยากจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด และถ้าเขาอยากรู้เขาคงต้องไปถามอาหรือพ่อของเขาโดยตรง
แต่ตอนนี้ร่างกายของคุณปู่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่เวลานี้จึงไม่เหมาะที่จะจากไป
“ดูเหมือนว่าฉันคงต้องปล่อยมันไปก่อน”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ สิ่งที่ทำให้คุณปู่ไม่อยากพูดถึง เพราะมันจะทำให้เขาต้องลำบากใจหรือแค่ยังไม่อยากพูดถึงมันเฉยๆ
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้คุณปู่ต้องลำบากใจ…ก็ดูเหมือนจะมีไม่มาก! ดังนั้นมีความเป็นไปได้อย่างสุดท้ายที่คุณปู่ไม่ต้องการจะคิดถึงมันอีกนั่นก็แสดงให้เห็นว่าคุณปู่กำลังลำบากใจ
จี้เฟิงตัดสินใจที่จะวางเรื่องนี้เอาไว้ก่อนและฟังผู้เฒ่าถังที่อยู่ด้านนอกพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านหัวหน้าท่านรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้ ทำไมเจ้าเถี่ยหลงถึงไม่โผล่หน้ามาเยี่ยมท่านบ้างล่ะ”
“เจ้าเสือเฒ่าถัง!”ผู้อาวุโสจี้หัวเราะ “เสี่ยวเถี่ยมาเยี่ยมข้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงคอยแต่จะหาเรื่องเสี่ยวเถี่ยอยู่อีกล่ะ”
“โธ่!ท่านหัวหน้าข้าไม่ได้หาเรื่องเจ้าเถี่ยหลงเสียหน่อย ข้าทำตามคำสอนของท่านทุกอย่าง ในแต่ละวันข้าก็มุ่งมั่นตั้งใจอยู่แต่กับเรื่องทางการทหาร ข้าไม่มีเวลาไปหาเรื่องเจ้าเถี่ยหลงนั่นหรอกหน่า เรื่องแบบนี้ข้าเลิกทำมาตั้งนานแล้ว!” ผู้เฒ่าถังรู้สึกเขินอายมาก มีเพียงหัวหน้าใหญ่คนนี้เท่านั้นที่เขาจะเปิดเผยด้านนี้ของตัวเองออกมาได้
ผู้เฒ่าถังอยู่ในห้องพยาบาลพิเศษกับผู้อาวุโสจี้อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ลุกขึ้นและขอตัวกลับไปแม้ว่าเขาจะตื่นเต้นและดีใจมากที่ได้เห็นหัวหน้าของเขาสุขภาพดีขึ้น แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะรบกวนเวลาพักผ่อนของหัวหน้า
รอจนผู้เฒ่าถังจากไปจี้เฟิงถึงได้เดินออกมาผู้อาวุโสจี้ก็กล่าวชมเขาทันทีว่า “เจ้าลิงน้อย ทำดีกับคนอื่น ช่างเป็นการกระทำที่น่าชื่นชมนัก ดีมาก! ดีมาก!”
จี้เฟิงหัวเราะออกมาทันที“เป็นเรื่องบังเอิญที่ผมก็คิดไม่ถึงจริงๆ”
ผู้อาวุโสจี้พยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “แม้แต่เสี่ยวถังก็ยังนั่งไม่ติด เจ้าก็ลองคิดดูแล้วกันว่าสถานการณ์ที่บ้านจะเป็นอย่างไร… เจ้าลิงน้อยบอกกับปู่มาตามตรงเถอะ ว่ากระดูกแก่ๆอย่างปู่ถ้าหายดีแล้วจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน!”
จี้เฟิงอึ้งไปทันทีเขามองไปที่ใบหน้าของชายชราที่กำลังเศร้าหมองอย่างลังเลและไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีแม้ว่ากระแสไฟฟ้าชีวภาพของเขาจะมีประสิทธิภาพอย่างน่าอัศจรรย์ แต่เรื่องที่ว่าคุณปู่แก่มากแล้วก็ยังคงเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้..
“เจ้าลิงน้อยมีอะไรก็พูดออกมาตามตรงเถอะปู่ของเจ้าถึงขนาดไปเดินวนอยู่ปากประตูผีจนกลับมาแล้ว ยังจะมีอะไรให้กลัวอีก” ผู้อาวุโสจี้กล่าว
จี้เฟิงรู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อยเขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆก่อนที่จะกล่าวว่า “คุณปู่ครับผมขอพูดตามตรง ถ้าหลังจากนี้ไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น ด้วยสภาพร่างกายของคุณปู่หลังจากที่หายดีแล้ว จะไม่เกิดปัญหาอะไรเกิดขึ้นแน่นอนภายในระยะเวลาสิบปี แต่หลังจากนั้น…”
“สิบปี!”ดวงตาของผู้อาวุโสจี้เป็นประกายและพยักหน้าอย่างมีความสุข “สิบปีก็พอแล้ว เพียงพอแล้ว!”
จี้เฟิงเข้าใจความหมายของคำว่าเพียงพอแล้วของคุณปู่ได้ไม่ชัดเจนนักแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาต้องการเห็นคือ ปู่ของเขาจะต้องได้ใช้ช่วงเวลาในบั้นปลายชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ใช่จนถึงสิบปีสุดท้ายของชีวิตแล้วเขาก็ยังต้องปูทางและวางรากฐานให้ลูกหลานอยู่อีก นี่ไม่ใช่ชีวิตที่คนเฒ่าคนแก่ควรมี!
“คุณปู่ครับไม่ต้องห่วงคุณปู่ยังมีผมอยู่!” พอเห็นสีหน้าของปู่ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของจี้เฟิงก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีและเขาก็โพล่งออกมา “ภายในสิบปีผมจะขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก ให้ปู่ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรอีก และได้ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างมีสงบสุข!”
เสียงของจี้เฟิงไม่ดังนักแต่คำพูดของเขากลับเต็มไปด้วยความมุมานะอุตสาหะพากเพียรไม่ย่อท้อ และความมั่นใจในตัวเองอย่างแรงกล้าว่าเขาจะไม่มีหันหลังกลับหากเขาไปไม่ถึงจุดหมาย
เป้าหมายนี้เป็นสัญญาที่จี้เฟิงให้ไว้กับคุณปู่ของเขาที่ทำงานมาทั้งชีวิตและเป็นคำสาบานกับตัวเองในเวลาเดียวกัน!
ภายในสิบปีสู่จุดสูงสุดของโลก! ผู้อาวุโสจี้มองใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวของหลานชายราวกับเห็นตัวเองตอนสมัยยังหนุ่ม เขาพยักหน้าและพึมพำกับตัวเอง “ตระกูลจี้มีอนาคต ข้าก็ตายตาหลับแล้ว…”
เขาเหลือบมองชายวัยกลางคนที่อยู่ถัดจากชายชราอีกฝ่ายทำได้แค่เพียงยิ้มออกมาอย่างจนใจ
“เจ้าเด็กเหลือขอมัวมองอะไรอยู่! ยังไม่รีบหลบไปอีก” ชายชราพ่นลมฟึดฟัดด้วยความไม่พอใจ “ต้องโดนตาแก่อย่างข้าทุบด้วยไม้เท้าก่อนใช่ไหมถึงจะยอมหลีกไป!”
มุมปากของเถี่ยจุนกระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “คุณอาถัง…”
เถี่ยจุนเพิ่งจะอ้าปากเรียกก็ถูกเสียงไม่พอใจของชายชราขัดจังหวะทันที“เจ้าเด็กไร้มารยาท! แม้แต่ลำดับการเรียกผู้อาวุโสก็ลืมไปแล้วงั้นหรือ อาถังอะไรของเจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าข้าแก่กว่าพ่อของเจ้าซะอีก จำใส่หัวเอาไว้ให้ดีต้องเรียกข้าว่าลุงถัง!”
เถี่ยจุนพยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว“ครับ ลุงถังครับ จำได้แล้วครับ!”
ท่าทีของชายชราดูสงบลงเล็กน้อยจากนั้นก็พูดด้วยเสียงอันดังอีกครั้งว่า“ดี! ในเมื่อเจ้าจำได้แล้วก็ดี ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ลุงถังขอสั่งให้เจ้าหลีกไปให้พ้นทางเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการเข้าพบท่านหัวหน้า! หรือเจ้าต้องการจะขัดขวางข้าอีกเป็นครั้งที่สอง ข้าจะได้วิ่งไปที่ปากกระบอกปืนของเจ้าให้รู้แล้วรู้รอดไป!”
บนหน้าผากของเถี่ยจุนเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆที่ไหลออกมาเขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ลุงถังครับผมแค่ทำตามคำสั่งของท่านหัวหน้าเท่านั้น เอาอย่างนี้แล้วกัน อย่างน้อยก็ให้ผมได้ไปรายงานท่านหัวหน้าก่อนแล้วกันนะครับ”
ชายชราผู้นี้เถี่ยจุนไม่อาจล่วงเกินได้จริงๆและเขาก็ไม่สามารถดูหมิ่นได้แม้แต่นิดเดียว เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าพ่อของเขารู้เข้าแล้วเขาไม่ถูกหักขาก็คงจะแปลกแล้ว!
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปซะสิ!”ชายชราก่นด่าสาปแช่งอีกครั้ง “ไอ้ลูกหมาน้อยสงสัยถ้าไม่โดนสักที คงจะไม่ดีขึ้นเลยจริงๆ!” ระหว่างที่พูดชายชราก็ถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมจะเข้าไปทุบตีเถี่ยจุน
“พ่อครับ!พ่อ! ใจเย็นๆก่อนเถอะ!” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆรีบดึงชายชราไว้และส่งสายตาให้เถี่ยจุนรีบไป
เถี่ยจุนไม่กล้าพูดอะไรอีกเขารีบวิ่งไปยังห้องพยาบาลพิเศษของผู้อาวุโสจี้
เมื่อเคาะประตูเถี่ยจุนไม่รอให้ใครตอบรับเขารีบผลักประตูเข้าไปในห้องของผู้อาวุโสจี้ทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบและพูดขึ้นด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน “ท่านหัวหน้าครับ ผู้เฒ่าถังขอพบท่าน ท่านจะ…”
“เสี่ยวถังมางั้นหรือ”ผู้อาวุโสจี้อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา “ข้าก็ว่าอยู่ ใครมันจะกล้าบุกเข้ามาแบบนี้ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง เจ้าไปพาเขาเข้ามาเถอะ!”
เถี่ยจุนพยักหน้าทันที“ครับท่านหัวหน้า!”
เขาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่ท่านหัวหน้าอนุญาต ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปบอกชายชราว่าอย่างไรดี ชายชราคนนี้อารมณ์ร้อนมาก แม้แต่พ่อของเขาเองก็ยังปวดหัว นับประสาอะไรกับเขา!
หลังจากที่เถี่ยจุนเดินออกไปได้ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีกครั้งและประตูห้องก็ถูกเคาะ
“เข้ามา!”ผู้อาวุโสจี้ยิ้ม
ประตูถูกผลักเปิดออกชายชราที่มีผมหงอกขาวและใบหน้าแดงก่ำก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
พอเห็นผู้อาวุโสจี้นั่งอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลชายชราก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เข้าเดินเข้าไปไม่กี่ก้าวและหยุดอยู่ที่ระยะสองเมตรก่อนจะถึงเตียงของโรงพยาบาลที่ผู้อาวุโสจี้นั่งอยู่
เขายืนตรงและโค้งคำนับ
“รายงานท่านหัวหน้าใหญ่ข้าองครักษ์ถังผู้จงรักภักดีมารายงานตัวครับ!” เสียงของชายชราดังมาก แม้ว่าท่าทางการยืนของเขาจะไม่สง่าผ่าเผยเหมือนก่อน แต่เขาก็พยายามยืดอกยืนตัวตรงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว การทักทายด้วยความเคารพก็เป็นมาตรฐานของชายชาติทหารอย่างหนึ่งเช่นกัน
ชายชราคนนี้ดูเคร่งครัดในเรื่องพวกนี้มากจริงๆ
“ดี!ดี!” ผู้อาวุโสจี้ก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน เขาพยักหน้าอยู่สองสามครั้ง “เสี่ยวถัง ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องมาแน่นอน!”
หลังจากที่ผู้เฒ่าถังทำความเคารพเสร็จเขาก็รีบก้าวเข้าไปหาผู้อาวุโสจี้อย่างรวดเร็ว “ท่านหัวหน้า ร่างกายของท่าน…”
“ข้าไม่เป็นไรมันไม่สามารถเอาชนะข้าได้หรอกหน่าก็แค่สร้างปัญหาให้ข้านิดๆหน่อยๆ!” ผู้อาวุโสจี้พูดคุยและโบกมืออย่างภาคภูมิใจราวกับเขาได้กลับไปสู่สมัยสงคราม
“เฮ้อ!เดิมทีข้าคิดจะจับหมอเทวดาคนหนึ่งมา แม้หมอเทวดาคนนั้นจะยังอายุน้อยแต่ฝีมือการรักษาของเขาก็ไม่ธรรมดาเลย แต่ตอนนี้ดูท่าว่าคงไม่จำเป็นแล้ว!” ผู้เฒ่าถังหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
“หมอเทวดา”ผู้อาวุโสจี้อึ้งไปเล็กน้อย
“ใช่แล้วท่านหัวหน้าข้าได้พบกับหมอเทวดาบนรถไฟในตอนที่เดินทางมาที่หยานจิง…” ผู้เฒ่าถังรีบเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถไฟทันที รวมถึงบอกแผนการและข้อสันนิษฐานของเขาให้ผู้อาวุโสจี้รับรู้
เมื่อฟังเรื่องราวจากผู้เฒ่าถังจบรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสจี้ก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเดาได้แล้วว่าหมอเทวดาตัวน้อยที่ผู้เฒ่าถังพูดถึงนั้นคือใคร เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าลิงน้อยกับเสี่ยวถังจะมีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ “ท่านหัวหน้าท่านคิดว่าสหายน้อยจี้เขา….” หลังจากที่ผู้เฒ่าถังพูดจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขอให้ผู้อาวุโสจี้ช่วยยืนยัน
ผู้อาวุโสจี้อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า“สหายน้อยที่เจ้าพูดถึงก็คือเจ้าลิงน้อยลูกชายของเจิ้นหัวและเป็นหลานชายของฉัน!”
“ข้าว่าแล้ว!จะมีความบังเอิญเช่นนั้นบนโลกนี้ได้อย่างไรท่านหัวหน้า แล้วตอนนี้เจ้าเด็กนั่นอยู่ที่ไหน ข้าขอพบเขาหน่อยได้ไหม?” ผู้เฒ่าถังหัวเราะด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าคิดที่จะจับตัวเขา ขอให้ข้าได้ขอโทษเขาเสียหน่อยเถอะ!”
“ไม่ได้ไม่ได้! เจ้าเด็กนั่นจะนิสัยเสียเอา!” ผู้อาวุโสจี้โบกมือเพื่อหยุดความคิดของผู้เฒ่าถัง แม้ว่าการที่เขามีหลานชายเช่นนี้จะทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสมควรที่จะให้ผู้เฒ่าถังไปขอโทษหลานชายของตนได้
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงที่ยืนหลบอยู่ในส่วนหนึ่งของห้องพยาบาลพิเศษก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างหนักจนผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้เรียบเรียงเรื่องราวที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่
ชายชราที่เขาบังเอิญช่วยไว้บนรถไฟในวันที่เดินทางมาหยานจิงกลับกลายเป็นผู้เฒ่าถังซึ่งเป็นลูกน้องของคุณปู่ และที่สำคัญผู้เฒ่าถังคนนี้ยังวางแผนที่จะจับตัวเขาอีกต่างหาก?!
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกด้วยความกลัวเขายังมีประสบการณ์ชีวิตน้อยเกินไป เกรงว่าถ้าไม่ใช่เพราะฮุ่ยอี้มารับเขาได้ทันเวลาล่ะก็ ตอนนี้เขาคงได้มาพบคุณปู่ด้วยวิธีอื่น
“ดูเหมือนว่าในอนาคตฉันจะต้องใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ให้มากขึ้นทักษะที่ดีไม่ได้หมายความว่าจะช่วยให้ทุกอย่างเรียบร้อย บางทีประสบการณ์ก็สำคัญกว่าความแข็งแกร่ง!” จี้เฟิงแอบเตือนตัวเองอยู่ในใจ
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงผู้เฒ่าถังพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านหัวหน้าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนพวกเรายังคุยโทรศัพท์กันอยู่เลย แล้วทำไมอยู่ดีๆท่านหัวหน้าถึงได้…”
หัวใจของจี้เฟิงเต้นรัวความจริงแล้วเขาเองก็สงสัยเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
เขาจำได้ว่าเมื่อสองเดือนก่อนพี่รองพูดเกี่ยวกับร่างกายคุณปู่แม้ว่าคุณปู่จะแก่มากแล้วแต่อาการป่วยของเขาก็ยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นนี้ แล้วทำไมภายในระยะเวลาแค่สองเดือนถึงได้ทรุดหนักลงจนมาเป็นแบบนี้ได้
แม้ว่าคนเฒ่าคนแก่จะเจ็บจะป่วยบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่มีใครสามารถฝืนกฎแห่งกรรมได้ แต่คนเราก็ใช่ว่าจู่ๆจะป่วยหนักในทันที มันจะต้องมีอาการอะไรมาก่อนบ้าง เห็นได้ชัดว่าที่คุณปู่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในครั้งนี้จะต้องมีเบื้องหลังอะไรมากกว่านี้
แววตาของจี้เฟิงส่องประกายเย็นยะเยือกหูตั้งตรงและตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง
ผู้อาวุโสจี้ส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวอย่างแผ่วเบา“อายุปูนนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องมีอาการเจ็บป่วยกันบ้างเป็นธรรมดา!”
ผู้เฒ่าถังพยักหน้าเขานิ่งเงียบไปด้วยความอดทน แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวที่พ่นลมหายใจออกมา ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจอย่างมาก
จี้เฟิงสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าในน้ำเสียงปู่ของเขาคิ้วของเขายิ่งขมวดแน่นขึ้น ปู่ของเขาไม่อยากจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด และถ้าเขาอยากรู้เขาคงต้องไปถามอาหรือพ่อของเขาโดยตรง
แต่ตอนนี้ร่างกายของคุณปู่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่เวลานี้จึงไม่เหมาะที่จะจากไป
“ดูเหมือนว่าฉันคงต้องปล่อยมันไปก่อน”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ สิ่งที่ทำให้คุณปู่ไม่อยากพูดถึง เพราะมันจะทำให้เขาต้องลำบากใจหรือแค่ยังไม่อยากพูดถึงมันเฉยๆ
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้คุณปู่ต้องลำบากใจ…ก็ดูเหมือนจะมีไม่มาก! ดังนั้นมีความเป็นไปได้อย่างสุดท้ายที่คุณปู่ไม่ต้องการจะคิดถึงมันอีกนั่นก็แสดงให้เห็นว่าคุณปู่กำลังลำบากใจ
จี้เฟิงตัดสินใจที่จะวางเรื่องนี้เอาไว้ก่อนและฟังผู้เฒ่าถังที่อยู่ด้านนอกพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านหัวหน้าท่านรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้ ทำไมเจ้าเถี่ยหลงถึงไม่โผล่หน้ามาเยี่ยมท่านบ้างล่ะ”
“เจ้าเสือเฒ่าถัง!”ผู้อาวุโสจี้หัวเราะ “เสี่ยวเถี่ยมาเยี่ยมข้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงคอยแต่จะหาเรื่องเสี่ยวเถี่ยอยู่อีกล่ะ”
“โธ่!ท่านหัวหน้าข้าไม่ได้หาเรื่องเจ้าเถี่ยหลงเสียหน่อย ข้าทำตามคำสอนของท่านทุกอย่าง ในแต่ละวันข้าก็มุ่งมั่นตั้งใจอยู่แต่กับเรื่องทางการทหาร ข้าไม่มีเวลาไปหาเรื่องเจ้าเถี่ยหลงนั่นหรอกหน่า เรื่องแบบนี้ข้าเลิกทำมาตั้งนานแล้ว!” ผู้เฒ่าถังรู้สึกเขินอายมาก มีเพียงหัวหน้าใหญ่คนนี้เท่านั้นที่เขาจะเปิดเผยด้านนี้ของตัวเองออกมาได้
ผู้เฒ่าถังอยู่ในห้องพยาบาลพิเศษกับผู้อาวุโสจี้อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ลุกขึ้นและขอตัวกลับไปแม้ว่าเขาจะตื่นเต้นและดีใจมากที่ได้เห็นหัวหน้าของเขาสุขภาพดีขึ้น แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะรบกวนเวลาพักผ่อนของหัวหน้า
รอจนผู้เฒ่าถังจากไปจี้เฟิงถึงได้เดินออกมาผู้อาวุโสจี้ก็กล่าวชมเขาทันทีว่า “เจ้าลิงน้อย ทำดีกับคนอื่น ช่างเป็นการกระทำที่น่าชื่นชมนัก ดีมาก! ดีมาก!”
จี้เฟิงหัวเราะออกมาทันที“เป็นเรื่องบังเอิญที่ผมก็คิดไม่ถึงจริงๆ”
ผู้อาวุโสจี้พยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “แม้แต่เสี่ยวถังก็ยังนั่งไม่ติด เจ้าก็ลองคิดดูแล้วกันว่าสถานการณ์ที่บ้านจะเป็นอย่างไร… เจ้าลิงน้อยบอกกับปู่มาตามตรงเถอะ ว่ากระดูกแก่ๆอย่างปู่ถ้าหายดีแล้วจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน!”
จี้เฟิงอึ้งไปทันทีเขามองไปที่ใบหน้าของชายชราที่กำลังเศร้าหมองอย่างลังเลและไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีแม้ว่ากระแสไฟฟ้าชีวภาพของเขาจะมีประสิทธิภาพอย่างน่าอัศจรรย์ แต่เรื่องที่ว่าคุณปู่แก่มากแล้วก็ยังคงเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้..
“เจ้าลิงน้อยมีอะไรก็พูดออกมาตามตรงเถอะปู่ของเจ้าถึงขนาดไปเดินวนอยู่ปากประตูผีจนกลับมาแล้ว ยังจะมีอะไรให้กลัวอีก” ผู้อาวุโสจี้กล่าว
จี้เฟิงรู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อยเขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆก่อนที่จะกล่าวว่า “คุณปู่ครับผมขอพูดตามตรง ถ้าหลังจากนี้ไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น ด้วยสภาพร่างกายของคุณปู่หลังจากที่หายดีแล้ว จะไม่เกิดปัญหาอะไรเกิดขึ้นแน่นอนภายในระยะเวลาสิบปี แต่หลังจากนั้น…”
“สิบปี!”ดวงตาของผู้อาวุโสจี้เป็นประกายและพยักหน้าอย่างมีความสุข “สิบปีก็พอแล้ว เพียงพอแล้ว!”
จี้เฟิงเข้าใจความหมายของคำว่าเพียงพอแล้วของคุณปู่ได้ไม่ชัดเจนนักแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาต้องการเห็นคือ ปู่ของเขาจะต้องได้ใช้ช่วงเวลาในบั้นปลายชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ใช่จนถึงสิบปีสุดท้ายของชีวิตแล้วเขาก็ยังต้องปูทางและวางรากฐานให้ลูกหลานอยู่อีก นี่ไม่ใช่ชีวิตที่คนเฒ่าคนแก่ควรมี!
“คุณปู่ครับไม่ต้องห่วงคุณปู่ยังมีผมอยู่!” พอเห็นสีหน้าของปู่ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของจี้เฟิงก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีและเขาก็โพล่งออกมา “ภายในสิบปีผมจะขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก ให้ปู่ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรอีก และได้ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างมีสงบสุข!”
เสียงของจี้เฟิงไม่ดังนักแต่คำพูดของเขากลับเต็มไปด้วยความมุมานะอุตสาหะพากเพียรไม่ย่อท้อ และความมั่นใจในตัวเองอย่างแรงกล้าว่าเขาจะไม่มีหันหลังกลับหากเขาไปไม่ถึงจุดหมาย
เป้าหมายนี้เป็นสัญญาที่จี้เฟิงให้ไว้กับคุณปู่ของเขาที่ทำงานมาทั้งชีวิตและเป็นคำสาบานกับตัวเองในเวลาเดียวกัน!
ภายในสิบปีสู่จุดสูงสุดของโลก! ผู้อาวุโสจี้มองใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวของหลานชายราวกับเห็นตัวเองตอนสมัยยังหนุ่ม เขาพยักหน้าและพึมพำกับตัวเอง “ตระกูลจี้มีอนาคต ข้าก็ตายตาหลับแล้ว…”