The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 351 ตำแหน่ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะริมฝีปากที่คบกริบของจี้เฟิงหรือเป็นเพราะการสนับสนุนอย่างเปิดเผยของผู้เฒ่าถังกับผู้เฒ่าเถี่ยที่ทำให้จี้เอ้อเหย่และจี้เส้าหงไม่กล้ายั่วยุจี้เฟิงในที่สาธารณะอีกต่อไป
จนกระทั่งถึงมื้ออาหารก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้ามาหาเรื่องจี้เฟิงอีก และเห็นได้ชัดว่าสถานะของเซียวซูเหม่ยนั้นเพิ่มขึ้นจนกราฟแทบจะทะลุเพดาน! ไม่ต้องพูดถึงจางหยุนเอ๋อที่ไม่กล้าแม้แต่จะเข้ามาทักทาย เพราะแม้แต่ผู้หญิงคนอื่นๆที่อยากรู้อยากเห็นยังต้องใช้วิธีแอบมองมาเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำสายตาดูหมิ่นอีกเลยแม้แต่น้อย
พวกเธอต่างถูกสามีกล่าวเตือนไว้ว่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปยุ่งกับคนของสายตรงเป็นการชั่วคราวเพราะมันเท่ากับเป็นการหาเรื่องใส่ตัว!
เซียวซูเหม่ยและเหลียงหงตันรู้ได้ทันทีถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างสัมผัสพิเศษของผู้หญิงไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้เลย จิตใจของพวกเธอนั้นสัมผัสกับเรื่องละเอียดอ่อนได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะการจ้องมองที่เมื่อก่อนมีแต่ความดูถูกอยู่ในสายตา แต่ครั้งนี้เพียงแค่พวกเธอหันไปมอง บางคนก็รีบหลบสายตาทันที แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือสายตาของบางคนดูเหมือนจะฉายแววประจบสอพลออย่างชัดเจน…
หญิงวัยกลางคนทั้งสองก็พอจะรู้ได้ทันทีเลยว่าสถานะของพวกเธอในตระกูลนี้นั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเธอยังแน่ใจมากว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับการที่จี้เฟิงมาหยานจิงในครั้งนี้ เพราะก่อนหน้านี้พวกเธอไม่เคยมีสถานะแบบนี้ และแม้แต่คนของสาขารองก็ยังกล้าพูดจาเยาะเย้ยถากถางพวกเธออย่างไม่เกรงใจ
และแน่นอนว่าพวกเธอรู้ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของผู้อาวุโสเฒ่าเป็นอย่างมาก
การกลับมาหลังจากการฟื้นตัวของผู้อาวุโสเฒ่าไม่ต่างอะไรกับการดับความหวังอันริบหรี่ของสายเลือดรองหรืออย่างน้อยในช่วงนี้พวกเขาก็ยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
ต้องรู้ก่อนว่าหากพวกเขากระโดดโลดเต้นจนออกนอกหน้ามากเกินไปจนทำให้ผู้อาวุโสเฒ่าไม่พอใจอาศัยเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของผู้อาวุโสเฒ่าก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ความพยายามทั้งหมดของคนผู้นั้นต้องสูญเปล่า!
….เว้นเสียแต่ว่าจะออกจากตระกูลไป!จะได้ไม่ต้องรับฟังคำสั่งของผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในตระกูล!
จะมีสักกี่คนที่เก่งพอจะใช้ความสามารถของตัวเองเพียงอย่างเดียวเพื่อนำพาตัวเขามาอยู่ในจุดที่พวกเขาเป็นอยู่อย่างในปัจจุบันได้
นายหญิงคะถึงเวลาอาหารแล้วค่ะ! เสี่ยวอิงวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและ พูดกับเซียวซูเหม่ยด้วยเสียงเบา
เซียวซูเหม่ยพยักหน้าเล็กน้อย หงตัน พวกเรารีบไปกันเถอะ!
พี่สะใภ้ใหญ่พวกเราไม่ต้องรีบไปหรอก ให้พวกเขารอไปก่อน! แม้แต่เหลียงหงตันที่มีนิสัยอ่อนโยนรักความสงบก็ยังอดไม่ได้ที่จะกระซิบว่า เมื่อก่อนพวกเราเป็นฝ่ายนั่งรอเสมอ แทบจะไม่เคยเห็นหัวพวกเราเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้พวกเราต้องทำให้พวกนั้นรู้บ้าง ว่าการโดนทำแบบนั้นมันรู้สึกยังไง!
เพราะวันนี้มีคนมากันเยอะมากดังนั้นในตอนรับประทานอาหารจะต้องแยกเป็นผู้ชายโต๊ะหนึ่ง ผู้หญิงอีกโต๊ะหนึ่งแน่นอน และสิ่งที่เหลียงหงตันพูด เห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงเหล่านั้น
ดีงั้นพวกเราก็นั่งเล่นกันอีกสักพักแล้วค่อยไป! เซียวซูเหม่ยเองก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
พอลูกชายของเธอมาผู้อาวุโสเฒ่าก็หายดีจากอาการป่วยในที่สุดพวกเธอก็หายใจได้เต็มปอดเสียที ด้วยนิสัยที่ไม่ยอมคนของเซียวซูเหม่ย มันไม่ง่ายเลยที่จะอดทนมาได้จนถึงตอนนี้ ดังนั้นเธอจึงต้องแสดงความไม่พอใจออกมาบ้าง
หากถูกรังแกแล้วยังไม่ตอบโต้นั่นไม่ใช่นิสัยของเซียวซูเหม่ย ที่ก่อนหน้านี้เธอต้องอดทนเพราะเป็นห่วงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับสามี ไม่อย่างนั้นเซียวซูเหม่ยคงจากไปตั้งนานแล้ว อย่างมากก็แค่ออกไปจากหยานจิงแล้วกลับไปที่หมางซือ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน!
พี่สะใภ้คราวนี้ต้องขอบคุณเสี่ยวเฟิงเลยนะ! เหลียงหงตันกล่าวด้วยเสียงเบา อ้อ พี่สะใภ้ ฉันได้ยินเจิ้นผิงบอกมาว่า เสี่ยวเฟิงดูเหมือนจะซื้อโรงงานผลิตยาในเจียงโจวเหรอ
เซียวซูเหม่ยพยักหน้าเล็กน้อยเธอได้ยินจี้เจิ้นหัวพูดเรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกัน แต่เธอไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่
พี่สะใภ้เอาแบบนี้ดีไหม ในเมื่อเสี่ยวเฟิงก็มีความสามารถมากขนาดนี้ สามีของหยินหงก็เป็นวิศวกรรมทางด้านการแพทย์ ทำไมพี่ไม่ลองให้พวกเขาร่วมมือกันล่ะ เหลียงหงตันอดเสนอไม่ได้
จี้หยินหงที่อยู่ข้างๆอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นว่า พี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องนี้…
สำหรับข้อเสมอของเหลียงหงตันจี้หยินหงรู้สึกประทับใจมาก เธอรู้สึกเหมือนกับมีแสงแห่งความหวังโผล่ขึ้นมาจากที่มืด เธอกับสามีไม่ได้มีงานทำจริงจัง ยิ่งไปกว่านั้นสามีของเธอที่มีความรู้ความสามารถทางด้านวิศวกรรมการแพทย์ กลับไม่ได้นำออกมาใช้เลย เขาเป็นแค่พนักงานที่ซื่อสัตย์แถมยังไม่มักใหญ่ใฝ่สูง แต่นั่นก็ทำให้มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน เขามักจะถูกเอาเปรียบและถูกดูถูกเหยียดหยามอยู่บ่อยครั้ง เพราะด้วยฐานะที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากของครอบครัวเธอ
ถ้าจี้เฟิงเป็นเจ้าของโรงงานผลิตยาจริงๆเธอกับสามีจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
แต่สิ่งที่จี้หยินหงรู้สึกกังวลก็คือจี้เฟิงจะมีความคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เพราะเธอกับสามีเป็นคนของสาขารอง ดังนั้นจึงอาจจะทำให้จี้เฟิงไม่อยากร่วมมือกับพวกเธอ
อย่างไรก็ตามการมาหยานจิงของจี้เฟิงในครั้งนี้ จี้หยินหงเคยได้ยินเกี่ยวกับวีรกรรมที่แข็งแกร่งของจี้เฟิงมาบ้าง
เขากล้าสั่งให้ทหารยามเล็งปืนไปที่จี้เส้าโหยวและหลี่เยี่ยนถิงจนพวกเขาต้องคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสมเพช คนแบบนี้แข็งแกร่งมากขนาดไหน ไม่ต้องเห็นกับตาก็พอจะรู้!
เซียวซูเหม่ยพูดขึ้นด้วยท่าทีลังเล น้องหยินหง เรื่องนี้พี่เองก็ไม่สามารถรับปากอะไรได้ เพราะเสี่ยวเฟิงดำเนินงานเกี่ยวกับโรงงานไปแค่ไหน เขาซื้อมาแล้วมีแผนจะทำอะไร พี่ก็ยังไม่รู้เลย… เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวพอกลับไปแล้ว พี่จะถามเขาอย่างละเอียดเลย เพราะพี่ก็เห็นด้วยนะ การที่ได้ทำงานร่วมกับคนในตระกูลยังไงก็ดีกว่า!
งั้นต้องรบกวนพี่สะใภ้แล้ว จี้หยินหงพยักหน้าทันที แน่นอนว่าเธอรู้ดีว่าเซียวซูเหม่ยพูดความจริง อันที่จริงมีไม่มากนักที่ผู้หญิงในตระกูลใหญ่อย่างพวกเธอจะได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องงานหรือธุรกิจอื่นๆอย่างจริงๆจังๆ ดังนั้นเรื่องที่เซียวซูเหม่ยที่เป็นแม่ของจี้เฟิงจะไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
จี้หยินหงยังรู้อีกว่าตอนนี้ธุรกิจทางด้านห้างสรรพสินค้าของสาขารองกำลังเกิดความวุ่นวายและต้องการคนเข้าไปทำงานแต่เธอก็รู้ดีเช่นกันว่าถ้าเธอเข้าไปขอให้พวกเขาร่วมมือกับสามีของเธอ มันก็ไม่ต่างจากเข้าไปขอความเมตตา จี้หยินหงยอมอดตายดีกว่ายอมให้คนอื่นมาดูถูก!
หญิงวัยกลางคนทั้งสามพูดคุยและหัวเราะรอจนกระทั่งมีพนักงานที่มีหน้าที่ดูแลซื่อเหอหยวนได้รับคำสั่งให้มาเชิญพวกเธออีกครั้งพวกเธอจึงยิ้มให้กัน จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วพากันเดินไป
เมื่อทั้งสามคนมาถึงทุกคนก็นั่งลงกันหมดแล้ว โต๊ะที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลางเป็นโต๊ะของผู้อาวุโสจี้ มีผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆ และเหล่าผู้ชายทั้งสาขาหลักและสาขารอง ส่วนรุ่นที่สามของสาขารองนั้นนั่งอยู่ด้วยกันอีกโต๊ะหนึ่ง และโต๊ะสุดท้ายเป็นโต๊ะของบรรดาผู้หญิงที่ติดตามสามีมา
เมื่อเห็นเซียวซูเหม่ยและคนอื่นๆเดินเข้ามาเหล่าชายหนุ่มจากสาขารองก็รีบลุกขึ้นยืนและทักทายไม่หยุด
พวกเขาได้ยินเรื่องก่อนหน้านี้แล้วจี้เฟิงคนนั้นเป็นลูกชายของสะใภ้ใหญ่ นายหญิงแห่งตระกูลจี้คนนี้ เด็กที่ชื่อจี้เฟิงไม่เพียงแต่จะกล้ายั่วโมโหเอ้อเหย่ กับจี้เส้าหงเขาก็ทำให้อับอายขายหน้ามาแล้ว!
ไม่ต้องพูดถึงพวกคนหนุ่มสาวที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นพวกเขาและเธอได้แต่นั่งสงบเสงี่ยมไม่กล้ากระโดดโลดเต้นเหมือนอย่างเคย
ส่วนบรรดาผู้หญิงที่มักใช้สายตาดูถูกมองเซียวซูเหม่ยและอีกสองคนมาตลอดตอนนี้มีท่าทีที่ดูลนลานเล็กน้อย ตอนนี้เซียวซูเหม่ยกุมอำนาจในการเป็นฝ่ายรุกอย่างเต็มที่ เธอเป็นนายหญิงของตระกูลจี้ และถ้าจู่ๆเธอต้องการจะไล่ใครออก ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้
ตอนนี้พวกเธอรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้มากที่แท้ผู้หญิงบ้านนอกที่พวกเธอดูถูกมาตลอดกลับได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสแห่งตระกูลจี้และลูกชายที่แข็งแกร่งของเธอ นี่คือสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นนายหญิงแห่งตระกูลจี้ที่แท้จริงไม่ใช่แค่ในนามเท่านั้น
บางคนอดกลัวไม่ได้ว่าเซียวซูเหม่ยจะใช้โอกาสนี้ชำระบัญชีกับพวกเธอในตอนนี้…
แต่ผิดคาดเซียวซูเหม่ยไม่เพียงแต่จะไม่ชำระบัญชีกับพวกเธอแต่เธอยังทักทายทุกคนอย่างมีสุภาพอีกด้วย เซียวซูเหม่ยแทบจะจำชื่อของทุกคนบนโต๊ะได้ อีกทั้งยังพูดชื่นชมด้วยรอยยิ้มอีกสองสามประโยค มันทำให้คนเหล่านั้นถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในขณะเดียวกันก็แอบตื่นเต้นด้วย
การได้รับคำชมจากนายหญิงแห่งตระกูลจี้ถือเป็นเกียรติไม่น้อยมันทำให้พวกเขารู้สึกได้หน้า!
แต่จางหยุนเอ๋อและคนอื่นๆได้แต่นั่งอึ้งด้วยความหวาดกลัวและทำตัวไม่ถูก พวกเธอไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องยอมจำนน
ทุกกิริยาและการวางตัวของเซียวซูเหม่ยไม่ต่างจากชนชั้นสูงที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีเธอดูสง่างามสมกับที่เป็นนายหญิงแห่งตระกูลจี้ที่แท้จริง นั่นจึงทำให้ทุกคนไม่กล้าล่วงเกินเธออีก!
เมื่อจี้เฟิงเห็นท่าทีการแสดงออกของแม่เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ความแข็งแกร่งของเขาในที่สุดมันก็เห็นผล ด้วยการสนับสนุนจากเขา จึงทำให้แม่มีความมั่นใจมากขึ้น
เจ้าหนูมานั่งตรงนี้!
เสียงที่ร่าเริงและเต็มไปด้วยพลังดึงดูดความสนใจของทุกคน
ภายในห้องโถงรับแขกที่โต๊ะรูปไข่ ตำแหน่งของทุกๆคนรวมถึงผู้อาวุโสจี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่จู่ๆ ผู้เฒ่าถังก็ดึงเก้าอี้อีกตัวจากด้านข้างและเอามาวางไว้ข้างๆเขา
มานั่งข้างๆข้า! ผู้เฒ่าถังตบเก้าอี้เบาๆ โดยไม่สนใจสีหน้าหรือความรู้สึกของคนอื่น
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแต่สายตาของเขามองไปที่ใบหน้าคุณปู่ของเขา อันที่จริงการไปนั่งตรงนั้นไม่ใช่แค่การ ‘นั่ง’ เฉยๆ แต่มันยังเป็นสัญลักษณ์ของ ‘สถานะ’ ด้วย และที่สำคัญจะต้องให้คุณปู่ของเขาพยักหน้าเห็นด้วย
เจ้าลิงน้อยเจ้ามานั่งนี่เถอะ! ผู้อาวุโสเฒ่ายิ้มและพยักหน้า ในช่วงเวลาที่สำคัญ เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังที่จะสนับสนุนหลานชายคนโตของเขา โดยเฉพาะจี้เฟิงที่เป็นหลานชายคนโปรด!
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมาทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
ผู้อาวุโสเฒ่าเห็นด้วยกับการที่ให้จี้เฟิงไปนั่งอยู่ตรงนั้นนี่ไม่ได้หมายความว่าจี้เฟิงได้กลายเป็นทายาทของรุ่นที่สามในใจของผู้อาวุโสเฒ่าไปแล้วงั้นหรือ หลายคนมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักการกระทำของผู้อาวุโสเฒ่าทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด แต่จะมีใครกล้าโต้แย้ง อย่างไรก็ตามถ้าพูดกันตามหลัก ก็เหมือนกับที่จี้เฟิงเพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาเองก็อยู่ในฐานะแขกเช่นกัน ผู้อาวุโสเฒ่าที่เป็นเจ้าของบ้านจะจัดให้ใครนั่งตรงไหน ก็เป็นสิทธิของเขา แล้วพวกเขาจะเอาความกล้าที่ไหนไปคัดค้าน?!
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าใบหน้าของเขาไม่ได้ดูตื่นตกใจหรือแสดงความประหม่าใดๆเลย เขาเดินไปหาผู้เฒ่าถังและนั่งลงอย่างสงบ
ท่าทีและสีหน้าของคนอื่นหรือแม้แต่สิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่ในใจจี้เฟิงจะไม่คิดถึงมัน
เอาล่ะ!กินข้าวกันเถอะ!
ผู้อาวุโสจี้กล่าวเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผยอย่างไม่ต้องสงสัย
จี้เฟิงอดยิ้มออกมาไม่ได้คุณปู่กำลังใช้วิธีการต่างๆ ในวันนี้เพื่อสั่งสอนให้คนจากสาขารองได้รู้อะไรต่อมิอะไรมากขึ้นอย่างเงียบๆและในขณะเดียวกันก็วางตำแหน่งให้กับเขา
บนโต๊ะอาหารคนอื่นๆต่างยิ้มและพูดคุยกันด้วยเสียงเบาๆ มีเพียงผู้เฒ่าถังที่ชวนจี้เฟิงชนแก้วและหัวเราะเสียงดัง ดูเหมือนเขาจะมีความสุขมาก!
เมื่อพวกเขาทุกคนทานมื้อค่ำเสร็จท้องฟ้าก็มืดสนิท
อาจเป็นเพราะวันนี้มีเรื่องที่น่าอับอายขายหน้ามากเกินไปจี้เอ้อเหย่ไม่ยอมเสียเวลาอยู่ต่อให้นานขึ้นแม้แต่ครึ่งนาที ดังนั้นเขาจึงขึ้นรถของจี้เจิ้นเย่และจากไปอย่างรวดเร็ว คนอื่นๆก็ต่างพากันแยกย้ายกลับไปเช่นกัน
จี้เจิ้นหัวก็ต้องรีบไปเพราะมีงานอีกมากที่ต้องสะสาง
ตอนนี้เหลือเพียงสองหนุ่มจี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยเท่านั้นแต่จู่ๆจี้เฟิงก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าจี้เสี่ยวหยูและเว่ยซินก็ยังอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
ทั้งสี่คนอาศัยอยู่ในห้องพักสำหรับแขกในลานที่สองจี้ช่าวเหลยและอีกสองสาวเดินเข้าไปในห้องของจี้เฟิง
พี่รองดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอ จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
เฮ้อ!นอนไม่หลับอ่ะ ปวดหัว! จี้ช่าวเหลยส่ายหัวราวกับมีเรื่องที่แก้ไม่ตก เขายื่นบุหรี่ให้จี้เฟิงหนึ่งมวนแล้วทั้งสองก็จุดไฟเพื่อสูบบุหรี่
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและถามว่า เกิดอะไรขึ้น ตอนมื้อค่ำดื่มมากเกินไปเหรอ?
เรื่องดื่มเหล้ามันแค่เรื่องจิ๊บๆ! จี้ช่าวเหลยยิ้มเจื่อนๆ ประเด็นคือหลังจากที่กินข้าวเสร็จ อาสามส่งข้อความมาบอกว่าให้ฉันไปงานเลี้ยง… พูดตรงๆก็คือเป็นงานเลี้ยงระหว่างลูกหลานของตระกูลชนชั้นสูงบางตระกูล จุดประสงค์หลักๆก็เหมือนกับการไปดูตัวหรือนัดบอดอะไรพวกนั้นแหละ และถ้าเขาและเธอถูกใจกันจากนั้นพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายค่อยมาคุยกันอีกครั้ง!
นัดบอด! จี้เฟิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย