The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 359 คำสอนของพ่อ
พวกเขาสามคนมาที่บาร์แห่งหนึ่งหลังจากดื่มเหล้าไปสองสามแก้วแบบลวกๆ จี้เฟิงก็ขอตัวกลับก่อน
จะอยู่ต่อไปทำไมเมื่อเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสองคนนี้มีความรู้สึกดีๆต่อกันฝ่ายชายก็แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชอบฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายหญิงก็ดูเหมือนจะมีใจ จี้เฟิงไม่อยากกลายเป็นส่วนเกินและที่สำคัญไปกว่านั้น ภารกิจที่คุณปู่มอบหมายให้เขามาช่วยพี่รองคว้าตัวภรรยาในอนาคต ก็ดูเหมือนจะสำเร็จไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว จี้เฟิงเองก็ไม่ใช่เด็กๆเขารู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร ดังนั้นเขาจะอยู่ต่อเป็นก้างขวางคอไปเพื่ออะไร
และความประทับใจแรกที่จี้เฟิงมีต่อเซียงยี่โหรวก็ค่อนข้างดีมากทีเดียวแม้ว่าเซียงยี่โหรวจะมาจากตระกูลใหญ่แห่งหยานจิง แต่เธอกลับไม่มีความเย่อหยิ่งเหมือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์เลย แต่เธอกลับดูเป็นผู้หญิงที่ร่าเริงและมีความกล้าหาญอย่างที่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปไม่มี
ท่ามกลางความองอาจกล้าหาญนี้กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าดึงดูด เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นมาก!
เมื่อเห็นเซียงยี่โหรวก็ทำให้จี้เฟิงพลันนึกถึงเหวินเว่ยซินขึ้นมามันทำให้จี้เฟิงอดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงที่เกิดในตระกูลระดับสามอย่างเหวินเว่ยซิน แต่กลับทำตัวหยิ่งยโสจนสร้างความประทับใจแรกให้จี้เฟิงได้เลวร้ายมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเซียงยี่โหรวแล้วดูเหมือนว่าเหวินเว่ยซินคนนี้จะไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นรองเท้าของเซียงยี่โหรวเลยด้วยซ้ำ!
จะไปนึกถึงผู้หญิงคนนั้นทำไมคิดไปก็รกสมองเปล่าๆ! จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย และเมื่อเขาเหยียบคันเร่ง รถก็เร่งความเร็วขึ้นและจมหายไปในความมืด
รถคันนี้เป็นรถของจี้ช่าวเหลยเดิมทีจี้เฟิงตั้งใจจะเรียกรถแท็กซี่กลับ แต่จู่ๆจี้ช่าวเหลยก็โยนกุญแจรถมาให้จี้เฟิงด้วยท่าทางกระตือรือร้นแปลกๆ มันทำให้จี้เฟิงตกตะลึง แต่ในไม่ช้าจี้เฟิงก็มองเห็นความร้อนรนในสายตาของเขา
จะชิงสุกก่อนห่าม
หลังจากที่ออกมาแล้วจี้เฟิงก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อนึกถึงใบหน้าที่แดงระเรื่อของเซียงยี่โหรว ดวงตาคู่งามของเธอเต็มไปด้วยความเขินอาย แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าเธอจะกัดฟันเบาๆ เหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง.. จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะภาวนาเอาใจช่วยพี่รองของเขา ผู้ชายคนนี้ใจร้อนเกินไปอย่าให้เขาทำเรื่องนี้พังเพราะอารมณ์ชั่ววูบก็แล้วกัน!
จี้เฟิงรู้สึกว่าความกังวลของเขาอาจกลายเป็นความจริงเซียงยี่โหรวคนนี้ไม่เหมือนกับผู้หญิงบางคนที่พอเห็นลูกหลานคนรวยก็ตัวสั่นอยากจะเอาตัวเองใส่พานถวาย แต่เธอคือไข่มุกอันล้ำค่าของตระกูลเซียง แถมยังเป็นผู้หญิงที่ดูองอาจกล้าหาญตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยเสน่ห์โดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร และถ้าพี่รองต้องการเอาชนะเธอ แล้วไม่แสดงความเป็นลูกผู้ชายที่ดีพอละก็… หึหึ! การจะพิชิตเธอก็คงจะยากสักหน่อย !
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายพิชิตใครยังไงก็ตามอย่างน้อยพวกเขาทั้งคู่ก็มีความเสน่หาซึ่งกันและกัน จี้เฟิงสังเกตเห็นสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงขับรถออกไปอย่างสบายใจ
โชคดีที่รถมีระบบนำทางจี้เฟิงจึงค่อยๆหาเส้นทางและขับรถกลับได้ไม่ยาก
จี้เฟิงไม่ได้กลับไปหาปู่ของเขาที่ซื่อเหอหยวนเพราะตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว ผู้อาวุโสเฒ่าน่าจะหลับพักผ่อนไปนานแล้ว นอกจากนี้ตั้งแต่ที่เขามาถึงหยานจิง เขาใช้เวลาอยู่ที่บ้านของแม่น้อยมาก ดังนั้นจี้เฟิงจึงเลือกที่จะขับรถตรงกลับบ้าน
เมื่อจี้เฟิงขับรถกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว จี้เฟิงขับรถเข้าไปจอดในที่จอดรถ แต่ในขณะที่เขากำลังจะลงมา เขาก็พบว่ารถที่จอดอยู่ด้านข้างดูเหมือนจะเป็นรถของพ่อ จี้เฟิงสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ออกมาจากรถ พ่อเพิ่งจะกลับมาเหรอ จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะรู้ว่าตั้งแต่ที่ปู่ของเขาป่วย งานของพ่อก็ยุ่งมาก แต่ไม่ว่าเขาจะยุ่งมากแค่ไหน พ่อก็จะพยายามกลับมานอนที่บ้านทุกวัน แต่พอตอนนี้เขาได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง มันทำให้เขารู้สึกแน่นที่หน้าอกเล็กน้อย
พ่อของเขาซึ่งอยู่ในฐานะลูกชายคนโตของตระกูลจี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องกังวล มันไม่ง่ายเลยจริงๆ!
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและรีบเดินขึ้นบันไดไป
เสี่ยวอิงบอดี้การ์ดประจำตัวของแม่เป็นคนที่เปิดประตูให้ตั้งแต่วันที่จี้เฟิงแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนและขอโทษเธออย่างจริงใจ ทัศนคติของเธอที่มีต่อจี้เฟิงก็ดีขึ้นมาก อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ถลึงตาใส่เขาอีก
เมื่อจี้เฟิงเดินเข้ามาเขาพบว่าพ่อของเขากำลังดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นแม่ก็นั่งอยู่ข้างๆดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่ ท่าทางของพวกเขาดูผ่อนคลายมาก
ตั้งแต่ที่จี้เฟิงมาหยานจิงนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายของแม่ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ความพยายามของเขายังพอช่วยอะไรแม่ได้บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้แม่ต้องรู้สึกเป็นกังวลอีกต่อไป แค่นี้ก็ทำให้จี้เฟิงพอใจมากแล้ว
เจ้าลูกคนนี้ไปเที่ยวที่ไหนมาทำไมถึงได้กลับมาซะดึกดื่นเลยล่ะเนี่ย! เซียวซูเหม่ยเห็นลูกชายกลับมาก็ขมวดคิ้วทันที กลิ่นเหล้าหึ่งมาเชียว!
บอกตามตรงไม่ว่าเขาจะเก่งขึ้นแค่ไหนเขาก็ยังคงกลัวแม่ของเขาอยู่ดี เมื่อเห็นว่าแม่ของเขาโกรธ เขาก็หดหัวลงแล้วรีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่พ่อของเขา
เห็นท่าทางของลูกชายจี้เจิ้นหัวก็อดหัวเราะไม่ได้ลูกชายของเขาขอความช่วยเหลือจากเขา นี่เป็นความใกล้ชิดอย่างหนึ่ง ดังนั้นมันจึงทำให้เขามีความสุขมาก
ซูเหม่ยอย่าเพิ่งไปโมโหลูกเลย เสี่ยวเฟิงไปงานเลี้ยงกับช่าวเหลย… จี้เจิ้นหัวรีบเล่าเรื่องของจี้ช่าวเหลยกับเซียงยี่โหรวให้เซียวซูเหม่ยฟัง
คุณยังจะพูดปกป้องเจ้าเด็กตัวแสบนี่อีกเหรอเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเชียว หัดเรียนรู้เรื่องพวกนี้ซะแล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ แต่กลับชอบมีเรื่องแถมยังดื่มเหล้ามาอีก! ยังไม่ทันไรก็กลายเป็นคุณชายเสเพลซะแล้ว! เซียวซูเหม่ยถลึงตาใส่สามี แต่สีหน้าของเธอกลับผ่อนคลายลงไม่น้อย ที่จริงแล้วเซียวซูเหม่ยก็ไม่ถึงกับโกรธเคืองลูกชายของเธอ แต่สิ่งที่เธอเป็นกังวลมากที่สุดก็คือเธอกลัวว่าลูกชายของเธอจะไปเรียนรู้แต่สิ่งไม่ดีมา ดังนั้นเธอจึงต้องดุด่าว่ากล่าวเพื่อเป็นการเตือนสติเขาเอาไว้ก่อน
จี้เฟิงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น แม่ ผมรู้ดีครับว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ
นี่ขนาดรู้นะเนี่ย! เซียวซูเหม่ยถลึงตาใส่ลูกชายอีกครั้ง จากนั้นก็พูดว่า รีบไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งทั้งตัว… เขาไม่รอให้แม่พูดจบก็รีบวิ่งไปอาบน้ำทันทีราวกับได้รับการอภัยโทษ
เมื่อจี้เฟิงมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็พบว่าสีหน้าแม่ของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว แถมที่โต๊ะกลางหน้าโซฟายังมีจานที่เต็มไปด้วยผลไม้และกาน้ำชาวางอยู่ด้วย
ดื่มสิยังร้อนอยู่เผื่อมันจะช่วยให้สร่างได้บ้าง น้ำเสียงของเซียวซูเหม่ยกลับมาเป็นปกติแล้ว เธอพูดกับลูกชายด้วยความเป็นห่วง อายุยังน้อย ร่างกายต้องรับแต่สิ่งดีๆสิ แล้วถ้าในอนาคตยังดื่มเหล้าแบบนี้อยู่อีก เกิดสุขภาพร่างกายแย่ขึ้นมาจะทำยังไง…
เมื่อได้ยินแม่ของเขาพูดด้วยความเป็นห่วงหัวใจของจี้เฟิงก็รู้สึกเหมือนได้เติมเต็มความสุขและสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากผู้เป็นแม่ที่เขาห่างเหินมานาน
สักวันหนึ่งฉันจะต้องได้ตะโกนเวลาที่ฉันกลับมาบ้าน พ่อ แม่ ผมกลับมาแล้ว!
เรื่องนี้เป็นความหวังสำหรับจี้เฟิง! ในที่สุดตอนนี้ครอบครัวของเขาก็สมบูรณ์แล้วตอนนี้จี้เฟิงรู้สึกแปลกๆในหัวใจ มันทำให้เขารู้สึกเจ็บจมูกเล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆและหยิบถ้วยน้ำชามาดื่ม หลังจากที่ดื่มจนหมดถ้วยอารมณ์ของเขาก็สงบลง เขาหยิบผลไม้ขึ้นมาแล้วกัดมัน
เมื่อตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงจี้เฟิงไม่ได้ดื่มแม้แต่น้ำซักหยด ไม่ต้องพูดถึงอาหาร ในตอนที่เขาไปที่บาร์ เขาก็ดื่มเหล้าไปแค่สองสามแก้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงหิวมาก
เสี่ยวอิงไปเอาของว่างในครับมาให้ที เซียวซูเหม่ยเห็นลูกชายกัดผลไม้คำโต ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงไม่ได้กินข้าวเย็นมา เมื่อก่อนเวลาที่สามีกลับบ้านมาดึกๆ ก็มาหาของว่างกินแบบนี้ประจำ
จี้เจิ้นหัวมองจี้เฟิงแล้วยิ้มอย่างเงียบๆอยู่ด้านข้าง
จี้เจิ้นหัวรอจนเห็นว่าจี้เฟิงกินของว่างไปได้สักพักหนึ่งเขาจึงถามขึ้นว่า เสี่ยวเฟิง ไปงานเลี้ยงกับช่าวเหลย ได้เจอสองพี่น้องตระกูลเหอรึเปล่า
เจอแล้วครับ จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย
แล้วเจ้ามีความคิดเห็นยังไงกับสองคนนั้น จี้เจิ้นหัวถาม
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า สำหรับเหอหงเฉียงผมว่าน่าจะมองเขาให้เป็นเพียงแค่อากาศน่าจะดีที่สุด ส่วนเหอหงเหว่ยนั้นน่ากลัว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ธรรมดาเลย ผมได้ยินมาว่าเขาเป็นหนึ่งในสามของอะไรสักอย่างแห่งหยานจิง
*ซานเจี๋ยแห่งหยานจิง!ที่จริงแล้วเขาคือผู้นำรุ่นที่สามจากหนึ่งในสามตระกูล เดิมจี้ช่าวตงพี่ชายใหญ่ของเจ้าก็ไม่ได้มีข้อได้เปรียบอะไรนัก เพราะอีกสองคนก็ไม่เลวเหมือนกัน จี้เจิ้นหัวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า ครั้งนี้ที่คุณปู่ของเจ้าให้ไปงานเลี้ยงกับช่าวเหลย อันที่จริงก็หมายความว่าเขาอยากให้เจ้าได้รู้จักกับเหอหงเหว่ยเอาไว้ ยิ่งรู้อะไรเร็วขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเวลาเตรียมตัวให้พร้อมมากขึ้นเท่านั้น! จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า พ่อครับ คุณปู่คงไม่ได้จะให้ผมไปสู้กับเหอหงเหว่ยใช่มั้ย ผมยังเป็นนักเรียนอยู่เลยนะ!
เจ้าเด็กนี่!เหมือนที่ปู่ของเจ้าพูดไว้ไม่มีผิด เจ้ามันลื่นไถลเกินไป! จี้เจิ้นหัวถลึงตาใส่ลูกชาย แต่ไม่ได้โกรธอะไร เขาแค่อธิบายว่า เจ้าคิดเรื่องระหว่างตระกูลใหญ่เหล่านี้ตื้นเขินเกินไป อันที่จริงการแข่งขันระหว่างตระกูล ไม่ได้หมายถึงการเจอหน้ากันแล้วต่อสู้กัน แต่มันเป็นการแข่งขันแบบเงียบ
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อเขากำลังพูด
ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ของเจ้ากับเหอหงเหว่ยกำลังแข่งขันกัน แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาสองคนไม่ได้ต่อสู้กันโดยตรง พี่ใหญ่ของเจ้าใช้วิธีแสดงความสามารถของเขาออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งเป้าหมายของเขาก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา แนวคิดและการปกครองของเขาจะได้รับการยอมรับจากตระกูลหรือเบื้องบนหรือไม่ สถานะของเขาภายในตระกูลจะเป็นยังไง สิ่งนั้นจึงจะนำไปเปรียบเทียบกับเหอหงเหว่ย
จี้เจิ้นหัวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและชัดเจนมาก แม้ว่าเหอหงเหว่ยจะเดินตามเส้นทางทางการค้า แต่ความสำเร็จของเขาก็สามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของตัวเองได้ และยังสามารถยกระดับสถานะของเขาในตระกูลได้ด้วย ซึ่งมันก็เหมือนกับการกระทำของพี่ใหญ่ของเจ้า การเมือง ธุรกิจ กองทัพ แม้ว่าทั้งสามฝ่ายจะแตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงมันมีประเด็นหลักที่สำคัญอยู่ในนั้น ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างกันมาก!
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า ครับพ่อ ผมเข้าใจแล้ว ที่จริงการต่อสู้ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องผ่านการต่อสู้โดยตรง แต่คือการต่อสู้ในเส้นทางของตัวเองให้ประสบความสำเร็จสูงสุด! ยกตัวอย่างเช่นพี่ใหญ่ ถ้าเขาสามารถบรรลุตำแหน่งที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และใช้ประโยชน์ตรงนั้นมาผลักดันตระกูลให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น ตระกูลเหอก็ตกเป็นรองพวกเราทันที สิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นชัยชนะของตระกูลจี้!
จี้เจิ้นหัวยิ้มด้วยความปลื้มใจขึ้นมาทันที ดี! เจ้าเข้าใจอะไรได้ง่ายดี ฉลาดมาก!
จี้เฟิงยิ้มน้อยๆ น่าจะเพราะผมเป็นลูกของพ่อ ความฉลาดเลยสืบทอดมาเป็นอย่างดี!
เจ้าเด็กคนนี้ก็ช่างประจบสอพลอจริงๆ! เซียวซูเหม่ยที่อยู่ข้างๆ รู้สึกดีใจกับคำพูดของจี้เฟิง แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะบ่นลูกชายด้วยรอยยิ้ม
จี้เจิ้นหัวอารมณ์ดีมากจากคำเยินยอของลูกชายเขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า เสี่ยวเฟิง พี่ชายใหญ่ของเจ้าทำได้ดีมากในตอนนี้ เจ้าก็ต้องคิดให้รอบคอบว่าในอนาคตเจ้าต้องการจะเดินเส้นทางไหนหรืออยากทำอะไร ถ้าเจ้าอยากทำธุรกิจ ก็พยายามทำให้ดีที่สุด ต่อไปก็พยายามช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าพัฒนาตระกูลไปด้วยกัน! แต่ในอนาคตไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ตอนนี้เจ้าก็ต้องเริ่มคิดเกี่ยวกับมันไว้บ้าง และต้องคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน!
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยแต่เขาไม่ได้รีบตอบเพราะตอบนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
สิ่งที่จี้เฟิงต้องทำในตอนนี้คือวางแผนที่มีอยู่ในใจแล้วอย่างระมัดระวังและรัดกุมที่สุดเพราะเขามั่นใจว่าถ้าแผนของเขาเสร็จสมบูรณ์ เขาจะสามารถนำพาให้ทั้งตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้แน่นอน!
แต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถพูดถึงหรืออธิบายเกี่ยวกับแผนการที่อยู่ในใจของเขาได้เพราะสิ่งนี้มันเกี่ยวโยงไปถึงเจ้าสมองอัจฉริยะที่อยู่ในหัวของเขา!
จี้เจิ้นหัวเห็นสีหน้าลูกชายกำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังจี้เจิ้นหัวจึงไม่ได้พูดอะไรให้มาก เขาตบไหล่ลูกชายเบาๆ แล้วพูดว่า ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องนี้ค่อยๆคิดไปก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน!
จี้เฟิงพยักหน้าจากนั้นก็บอกราตรีสวัสดิ์พ่อกับแม่ของเขาแล้วลุกขึ้นจากไป จี้เจิ้นหัวมองตามหลังลูกชายไปเขาก็อดรู้สึกปลื้มใจไม่ได้ เขาหันไปพูดกับเซียวซูเหม่ยว่า ซูเหม่ย หลายปีที่ผ่านมา เธอคงลำบากมากสินะ ขอบคุณที่เลี้ยงดูลูกชายเรามาเป็นอย่างดี!
เซียวซูเหม่ยแค่นเสียง ฉันเลี้ยงลูกชายที่ดีให้คุณ แล้วใครเลี้ยงลูกสาวให้คุณเหรอ