The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 366 คำขอของอาสาม
ยิมนาสติกที่จี้เฟิงสอนมันแปลกเกินไป!
ตอนแรกที่ทหารเหล่านี้ยืนดูก็ว่าแปลกมากพอแล้วรอจนกระทั่งลงมือทำด้วยตัวเองจริงๆถึงได้รู้ว่าคำว่า ‘แปลก’ ไม่สามารถนำมาอธิบายความแปลกประหลาดของยิมนาสติกชุดนี้ได้!
ใครมันจะไปทำได้!
นี่เป็นความคิดที่อยู่ในหัวของทุกคนแต่จี้เฟิงได้แสดงการเคลื่อนไหวนี้ต่อหน้าพวกเขาอย่างชัดเจน และภาพที่ฉายอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ก็เป็นยิมนาสติกที่จี้เฟิงเพิ่งทำไป มันทำให้ทหารทุกคนรู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ
แล้วจี้เฟิงทำได้ยังไง
เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนและการเคลื่อนไหวที่ดูไม่เข้าท่าเอาซะเลย จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาครูฝึกคนหนึ่งที่กำลังพยายามทำมันอย่างตั้งใจ เท้าทั้งสองข้างของเขาแยกออกจากกันแล้ว แต่ร่างกายส่วนบนของเขาไม่สามารถกดลงไปได้
“ก้มลงไปไม่ได้เหรอ”จี้เฟิงถาม
ครูฝึกพยักหน้าเล็กน้อย
จี้เฟิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เขาเอื้อมมือไปตบเอวของครูฝึก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันและกล่าวว่า “ร่างกายของคุณมัน… เกือบจะตายตัวแล้ว”
เมื่อครูฝึกได้ยินหัวใจของเขาก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที
จี้เจิ้นผิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็ถามทันที “มันเป็นยังไง”
จี้เฟิงถอนหายใจเบาๆและอธิบายว่า“การที่จะทำการเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดนี้ให้สำเร็จ อย่างน้อยร่างกายจะต้องมีความยืดหยุ่น แต่ร่างกายของทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างยาวนานเป็นอย่างดี รูปร่างของพวกเขาสมส่วนแล้ว… อาสามดูที่กล้ามเนื้อตรงเอวของเขาสิ มันแข็งยิ่งกว่าหินซะอีกแล้วจะยืดกล้ามเนื้อได้ยังไง”
ในความเป็นจริงจี้เฟิงรู้ดีว่าหน้าที่ที่แท้จริงของยิมนาสติกชุดนี้คือการกระตุ้นพลังงานกระแสชีวภาพไฟฟ้าในร่างกายของมนุษย์ และในที่สุดร่างกายที่ฝึกฝนจนชำนาญแล้วนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
และจะเกิดการผลิตกระแสไฟฟ้าชีวภาพภายในเซลล์แต่ละเซลล์ยิมนาสติกชุดนี้จะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายดีขึ้น แต่ถ้ากล้ามเนื้อแข็งเกินไปจะไม่สามารถกระตุ้นกระแสชีวภาพในเซลล์ได้อย่างเต็มที่ และผลของมันก็จะไม่ต่างจากการออกกำลังกายธรรมดาเลย
จี้เจิ้นผิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามขึ้นมาว่า“มีวิธีแก้ไขมั้ย”
จี้เฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น“ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ถ้าจะให้ผมแก้ไข บางทีพวกเขาจะไม่มีทางได้เข้าร่วมการประลองในกองทัพได้…”
“งั้นก็จัดการเลยเอาคนที่ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองก่อน เพราะยังไงพวกเขาก็ไม่ได้เข้าร่วมอยู่แล้ว!” จี้เจิ้นผิงพูดโดยแทบไม่ต้องคิด “ส่วนคนที่เหลือก็ให้รอไปก่อน ฝึกทหารชุดแรกให้สำเร็จแล้วค่อยมาสอนพวกเขาที่เหลือทีหลัง! หรือไม่ก็ให้พวกเขามาสอนกันเอง!”
“ทำน่ะทำได้แต่มันจะเจ็บปวดมาก!” จี้เฟิงกล่าว
“ไม่มีทางอื่นที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้เลยหรือ”จี้เจิ้นผิงขมวดคิ้วถาม ในฐานะผู้นำถ้าเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของทหารของเขาได้ ด้วยวิธีที่ไม่ต้องทำให้พวกเขาเจ็บปวดเขาก็ขอเลือกวิธีนั้น
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น“ปราศจากความเจ็บปวดโดยสิ้นเชิงคงไม่มี… แต่มันก็พอจะเบาบางลงได้บ้าง แต่ประเด็นสำคัญคือผมทำวิธีนี้ได้คนเดียว แล้วก็คงจะเป็นอะไรที่ยุ่งและเหนื่อยมากๆเลยล่ะ!”
จี้เจิ้นผิงถลึงตาใส่จี้เฟิงทันที“จะยุ่งก็ยุ่งไปสิ! เรื่องเหนื่อยก็ไม่ใช่ปัญหา เหนื่อยตอนไหนก็พัก แค่นั้นเอง! อย่างมากก็แค่ใช้เวลานานหน่อย ไอ้หนู นายอย่าขี้เกียจนักเลย การแข่งขันใหญ่ระดับประเทศในปีหน้า มันสำคัญมากสำหรับอาสามของนาย!”
เมื่อเห็นว่าอาสามเล่นบทโหดขนาดนี้จี้เฟิงก็ทำได้แค่เพียงพยักหน้าตอบรับและยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ คราวนี้ได้เหนื่อยของจริงแน่!
วิธีการของเขานั้นง่ายมากเพียงแค่ใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพไปกระตุ้นกล้ามเนื้อของทหารเหล่านี้โดยตรง ทำให้กล้ามเนื้อและร่างกายของพวกเขาเกิดการผ่อนคลายให้ได้มากที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถเคลื่อนไหวท่ายิมนาสติกได้
อย่างไรก็ตามมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้วิธีการนี้ได้ และมีทหารเกือบพันคนในที่นี้ หากเขาต้องใช้วิธีนี้เพื่อช่วยพวกเขาทั้งหมด ไม่ว่ากระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของจี้เฟิงจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน ยังไงก็ต้องถูกเผาผลาญไปจนหมดสิ้น! อันที่จริงแค่ครึ่งเดียวก็เกรงว่าจี้เฟิงคงจะลุกไม่ขึ้นแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือคุณปู่ของเขาเขาก็คงจะไม่ได้ฝึกควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่แสนจะยากเย็นแสนเข็ญนั่น และตอนนี้จี้เฟิงก็คงจะไม่สามารถแม้แต่จะช่วยเหลือทหารเพียงคนเดียวได้
แต่จี้เฟิงรู้ดีว่าถ้าเขาไม่ตอบตกลงอาสามจะไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆอย่างแน่นอน และนอกจากนี้เขาก็มีใจที่ต้องการจะช่วยเหลืออาสามของเขาอยู่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ต้องทำให้ร่างกายของคนในครอบครัวของเขาแข็งแรงที่สุด
“งั้นก็มาเริ่มกันเลยสองคนก่อน!” ในเมื่อตัดสินใจแล้ว จี้เฟิงก็ลงมือทันที เขาพยักหน้าและพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว
ครั้งนี้ไม่ต้องให้จี้เจิ้นผิงเอ่ยปากครูฝึกสองคนก็รีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาจี้เฟิงทันที
ในความเห็นของพวกเขาหากตนเองที่ได้ชื่อว่าเป็นครูผู้สอน ถ้าไม่สามารถเรียนรู้ได้ก่อน แล้วจะสอนทหารในสังกัดของตนเองได้อย่างไร
พวกเขาทั้งสองพยายามทำการเคลื่อนไหวท่าแรกตามท่าที่จี้เฟิงทำให้ดูก่อนหน้านี้แต่ในความเป็นจริงในสายตาของจี้เฟิง ท่าทางการเคลื่อนไหวเหล่านี้มันแทบจะเป็นคนละเรื่องกันเลย
เขาส่ายหัวเล็กน้อยและค่อยๆย่อตัวลงเขาเอื้อมมือออกไปและวางมันลงบนเอวของครูฝึกทั้งสองคนและเริ่มกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพ
การกระตุ้นร่างกายของคนเหล่านี้ด้วยกระแสไฟฟ้าชีวภาพนั้นแตกต่างจากการรักษาคุณปู่ของเขาด้วยกระแสไฟฟ้าชีวภาพอย่างน้อยจี้เฟิงก็ไม่ต้องระมัดระวังมากนัก นอกจากนี้ร่างกายของคนเหล่านี้ก็แข็งแรงมากพอที่จะทนต่อกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่แรงกว่าเล็กน้อยได้
“หืม!” ครูฝึกทั้งสองรู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาชาขึ้นมาทันทีรู้สึกเหมือนมีแมลงนับไม่ถ้วนคลานอยู่ในร่างกายของพวกเขา รู้สึกอึดอัดทรมานมาก
ร่างกายของพวกเขาค่อยๆโน้มลงตามสัญชาตญาณแต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าการกระทำแรกของพวกเขาจะเกิดขึ้นได้โดยลักษณะแบบนี้
จี้เจิ้นผิงและทหารคนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆ ต่างเบิกตากว้าง จี้เฟิงแค่สัมผัสที่เอวของพวกเขาก็ทำให้พวกเขาทำท่าที่แปลกประหลาดนั่นได้สำเร็จ
แต่ใครจะรู้ว่าครูฝึกสองคนนี้จะเจ็บปวดจนพูดไม่ออกเพื่อประหยัดแรงและพลังงาน จี้เฟิงจึงกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่เอวของพวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นจึงถ่ายเทกระแสไฟฟ้าชีวภาพให้กับแต่ละคน มันทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง อันเกิดจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพกำลังทำหน้าที่ของมันในการกระตุ้นกล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่างกายของพวกเขา
ความรู้สึกนี้เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนที่จี้เฟิงเรียนยิมนาสติกเป็นครั้งแรกเพราะตอนนั้นร่างกายของจี้เฟิงยังอ่อนแอมาก เหมาะแก่การเรียนรู้ท่วงท่าการเคลื่อนไหวต่างๆ แต่ร่างกายของครูฝึกได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักจนทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งไปจนเต็มพิกัดแล้ว คล้ายกับที่เขาเรียกว่าไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ดังนั้นเมื่อพวกเขาต้องมาเรียนรู้ที่จะทำท่าทางการเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดแรกตามหลักสูตรของระบบฝึกสุดยอดสายลับที่จี้เฟิงได้เรียนรู้มา แน่นอนว่ามันจะทำให้พวกเขานั้นรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น
โชคดีที่จี้เฟิงตัดสินใจไม่ให้พวกเขาเรียนรู้ท่าทางที่สองตั้งแต่แรกไม่เช่นนั้นกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของพวกเขาคงจะได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างแน่นอน
ต่อไปจี้เฟิงก็ทำการช่วยเหลือทีล่ะกลุ่มโดยแบ่งเป็นกลุ่มละสองคนเหมือนอย่างครั้งแรก เพื่อช่วยให้พวกเขาทำท่าแรกได้สำเร็จ
เมื่อคนสามถึงสี่ร้อยคนสามารถนั่งลงบนพื้นและกดตัวให้ก้มต่ำได้แล้วจี้เฟิงก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง แม้ว่าการช่วยเหลือคนสามถึงสี่ร้อยคนจะใช้เวลาไม่นานนัก แต่พลังงานและพละกำลังของเขาก็ถูกใช้ไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายที่เหลือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งจากปกติ
“ไปเอาเครื่องดื่มชูกำลังมาหนึ่งขวด!”จี้เจิ้นผิงตะโกนบอกฮุ่ยอี้ทันที เมื่อเห็นใบหน้าของจี้เฟิงเต็มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าของเขาดูอ่อนเพลียมาก จี้เจิ้นผิงจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรครับอาสาม!”จี้เฟิงรีบปฏิเสธ เขาส่ายหัวและพูดว่า “ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย นั่งพักสักแป็บก็น่าจะดีขึ้น อ้อ! จริงสิ อาสามบอกให้ทหารของอาสามอยู่ในท่านี้อย่างน้อยก็ 40 นาทีนะครับ พอครบเวลาก็ให้พวกเขาพักสักครู่หนึ่ง และทุกครั้งที่ทำจะต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก 10 นาที ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าพวกเขาจะสามารถเคลื่อนไหวท่าแรกได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วค่อยฝึกทำท่าที่สอง!”
“น้องสามวิธีการของนาย… มันจะได้ผลจริงๆเหรอ” จี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะถาม “ถึงท่านี้มันจะดูทำยาก แต่ดูยังไงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนเท่าโยคะ ทำแบบนี้แล้วจะทำให้คนกลายเป็นยอดฝีมือได้จริงๆน่ะเหรอ?”
เดิมทีจี้เฟิงก็เหนื่อยมากอยู่แล้วพอมาได้ยินคำถามที่สงสัยในวิชาของเขาอีกครั้ง จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างหงุดหงิด “ถ้าทำไปแล้วไม่ได้ผล พี่รองคิดว่าวิชากังฟูของผมมาจากไหน”
ดวงตาของจี้ช่าวเหลยเป็นประกายทันที“เออแฮะ! ถ้าอย่างนั้น น้องสาม ทำไมนายไม่ให้ฉันฝึกกับพวกเขาไปด้วยเลยล่ะ!”
แม้ว่าเขาจะเห็นสีหน้าและการแสดงออกที่ดูเหมือนจะเจ็บปวดมากของทหารเหล่านี้แต่จี้ช่าวเหลยก็เคยผ่านการฝึกซ้อมชกมวยที่หนักหน่วงมาแล้ว เขารู้สึกว่าไม่มีเหตุผลที่ตัวเองจะทนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนึกถึงใบหน้าของเซียงยี่โหรวที่ปกติจะเชิดสูงอยู่เสมอต้องก้มหัวให้กับเขาอย่างเชื่อฟัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระตือรือร้นอยากจะฝึกท่ายิมนาสติกของจี้เฟิงซะตอนนี้เลย!
จี้เฟิงโบกมือพลางหัวเราะ“ยังไม่ถึงเวลาของพี่ เอาไว้เรากลับไปเจียงโจวเมื่อไหร่ ผมจะหาเวลามาสอนพี่แบบพิเศษโดยเฉพาะเลย ตราบใดที่พี่ฝึกฝนทุกวัน ผมรับรองเลยว่าภายในครึ่งปีพี่จะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน!”
“แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะเซียงยี่โหรวได้หรือเปล่า”จี้ช่าวเหลยถามทันที อันที่จริงเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด
จี้เฟิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ทันที“ผมจะไปรู้ได้ยังไง! ผมไม่เคยสู้กับเธอนี่!”
จี้ช่าวเหลยยิ้มกว้าง“งั้นนายอยากลองสู้กับเธอดูมั้ยล่ะ ฉันจะได้นัดเธอออกมาให้ นายจะได้รู้ไง ดีมั้ย!”
“ไม่ดีอ่ะ!”จี้เฟิงเบ้ปาก “ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น!”
ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้คำขอของอาสามในครั้งนี้ช่วยเตือนให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า พ่อแม่ของเขาเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ร่างกายของพวกเขาจะแย่ลงเรื่อยๆตามอายุ ตอนนี้เรื่องในหยานจิงก็จัดการเรียบร้อยแล้ว จี้เฟิงจึงตั้งใจว่าจะให้พ่อกับแม่ของเขาได้ฝึกยิมนาสติกชุดแรกก่อนที่เขาจะกลับเจียงโจว ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์กับร่างกายของพวกเขาอย่างมาก!
จี้ช่าวเหลยที่ถูกจี้เฟิงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยได้แต่บ่นพึมพำ‘ถ้านายไม่มีเวลาไปพบกับเซียงยี่โหรว งั้นไว้ฉันจะพาเธอไปหานายที่เจียงโจวเอง… หึหึ! ภายในระยะเวลาครึ่งปีหรือน้อยกว่านั้น ฉันจะสามารถพิชิตผู้หญิงคนนั้นได้ จี้ช่าวเหลยคนนี้นี่แหละจะเป็นคนปลุกพลังของตระกูลจี้ให้รุ่งเรืองอลังการ’
หลังจากที่จี้เจิ้นผิงออกคำสั่งกับเหล่าทหารเสร็จเขาและอีกสามคนก็พากันออกมาจากห้องโถงฝึกซ้อม จี้ช่าวเหลยกับจี้เฟิงก็หาเวลาไปเยี่ยมจี้ช่าวหยินที่กำลังอาศัยอยู่ในค่าย
แม้ว่าเขาเพิ่งจะได้เข้ามาฝึกเพียงไม่กี่เดือนแต่จี้ช่าวหยินก็ดูเหมือนจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เค้าโครงความอ่อนเยาว์บนใบหน้าหายไปไม่น้อย ตอนนี้เริ่มมีท่าทางเหมือนชายหนุ่มเต็มตัวบ้างแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงขึ้น
จะว่าไปลูกหลานตระกูลจี้ไม่มีใครตัวเล็กๆเลยโดยเฉพาะผู้ชายส่วนใหญ่จะมีรูปร่างสูงใหญ่ แม้แต่ผู้อาวุโสเฒ่าก็มีรูปร่างที่ใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับชายชราโดยทั่วไป
ตอนนี้จี้ช่าวหยินก็เหมือนจะพ้นวัยเด็กไปแล้วบวกกับการฝึกที่เข้มข้นจึงทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยคือสายตาของจี้ช่าวหยินเมื่อเห็นจี้เฟิงแววตาของเขาฉายแววตื่นตระหนกและหวาดกลัวออกมาโดยไม่รู้ตัว
เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ในตอนที่เขาอยู่เจียงโจวที่จี้เฟิงเกือบจะโยนเขาลงจากรถในตอนที่รถกำลังวิ่งอยู่บนถนนด้วยความเร็ว มันทำให้เขาจำฝังใจจนมาถึงตอนนี้
��
ตอนแรกที่ทหารเหล่านี้ยืนดูก็ว่าแปลกมากพอแล้วรอจนกระทั่งลงมือทำด้วยตัวเองจริงๆถึงได้รู้ว่าคำว่า ‘แปลก’ ไม่สามารถนำมาอธิบายความแปลกประหลาดของยิมนาสติกชุดนี้ได้!
ใครมันจะไปทำได้!
นี่เป็นความคิดที่อยู่ในหัวของทุกคนแต่จี้เฟิงได้แสดงการเคลื่อนไหวนี้ต่อหน้าพวกเขาอย่างชัดเจน และภาพที่ฉายอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ก็เป็นยิมนาสติกที่จี้เฟิงเพิ่งทำไป มันทำให้ทหารทุกคนรู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ
แล้วจี้เฟิงทำได้ยังไง
เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนและการเคลื่อนไหวที่ดูไม่เข้าท่าเอาซะเลย จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาครูฝึกคนหนึ่งที่กำลังพยายามทำมันอย่างตั้งใจ เท้าทั้งสองข้างของเขาแยกออกจากกันแล้ว แต่ร่างกายส่วนบนของเขาไม่สามารถกดลงไปได้
“ก้มลงไปไม่ได้เหรอ”จี้เฟิงถาม
ครูฝึกพยักหน้าเล็กน้อย
จี้เฟิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เขาเอื้อมมือไปตบเอวของครูฝึก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันและกล่าวว่า “ร่างกายของคุณมัน… เกือบจะตายตัวแล้ว”
เมื่อครูฝึกได้ยินหัวใจของเขาก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที
จี้เจิ้นผิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็ถามทันที “มันเป็นยังไง”
จี้เฟิงถอนหายใจเบาๆและอธิบายว่า“การที่จะทำการเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดนี้ให้สำเร็จ อย่างน้อยร่างกายจะต้องมีความยืดหยุ่น แต่ร่างกายของทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างยาวนานเป็นอย่างดี รูปร่างของพวกเขาสมส่วนแล้ว… อาสามดูที่กล้ามเนื้อตรงเอวของเขาสิ มันแข็งยิ่งกว่าหินซะอีกแล้วจะยืดกล้ามเนื้อได้ยังไง”
ในความเป็นจริงจี้เฟิงรู้ดีว่าหน้าที่ที่แท้จริงของยิมนาสติกชุดนี้คือการกระตุ้นพลังงานกระแสชีวภาพไฟฟ้าในร่างกายของมนุษย์ และในที่สุดร่างกายที่ฝึกฝนจนชำนาญแล้วนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
และจะเกิดการผลิตกระแสไฟฟ้าชีวภาพภายในเซลล์แต่ละเซลล์ยิมนาสติกชุดนี้จะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายดีขึ้น แต่ถ้ากล้ามเนื้อแข็งเกินไปจะไม่สามารถกระตุ้นกระแสชีวภาพในเซลล์ได้อย่างเต็มที่ และผลของมันก็จะไม่ต่างจากการออกกำลังกายธรรมดาเลย
จี้เจิ้นผิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามขึ้นมาว่า“มีวิธีแก้ไขมั้ย”
จี้เฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น“ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ถ้าจะให้ผมแก้ไข บางทีพวกเขาจะไม่มีทางได้เข้าร่วมการประลองในกองทัพได้…”
“งั้นก็จัดการเลยเอาคนที่ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองก่อน เพราะยังไงพวกเขาก็ไม่ได้เข้าร่วมอยู่แล้ว!” จี้เจิ้นผิงพูดโดยแทบไม่ต้องคิด “ส่วนคนที่เหลือก็ให้รอไปก่อน ฝึกทหารชุดแรกให้สำเร็จแล้วค่อยมาสอนพวกเขาที่เหลือทีหลัง! หรือไม่ก็ให้พวกเขามาสอนกันเอง!”
“ทำน่ะทำได้แต่มันจะเจ็บปวดมาก!” จี้เฟิงกล่าว
“ไม่มีทางอื่นที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้เลยหรือ”จี้เจิ้นผิงขมวดคิ้วถาม ในฐานะผู้นำถ้าเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของทหารของเขาได้ ด้วยวิธีที่ไม่ต้องทำให้พวกเขาเจ็บปวดเขาก็ขอเลือกวิธีนั้น
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น“ปราศจากความเจ็บปวดโดยสิ้นเชิงคงไม่มี… แต่มันก็พอจะเบาบางลงได้บ้าง แต่ประเด็นสำคัญคือผมทำวิธีนี้ได้คนเดียว แล้วก็คงจะเป็นอะไรที่ยุ่งและเหนื่อยมากๆเลยล่ะ!”
จี้เจิ้นผิงถลึงตาใส่จี้เฟิงทันที“จะยุ่งก็ยุ่งไปสิ! เรื่องเหนื่อยก็ไม่ใช่ปัญหา เหนื่อยตอนไหนก็พัก แค่นั้นเอง! อย่างมากก็แค่ใช้เวลานานหน่อย ไอ้หนู นายอย่าขี้เกียจนักเลย การแข่งขันใหญ่ระดับประเทศในปีหน้า มันสำคัญมากสำหรับอาสามของนาย!”
เมื่อเห็นว่าอาสามเล่นบทโหดขนาดนี้จี้เฟิงก็ทำได้แค่เพียงพยักหน้าตอบรับและยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ คราวนี้ได้เหนื่อยของจริงแน่!
วิธีการของเขานั้นง่ายมากเพียงแค่ใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพไปกระตุ้นกล้ามเนื้อของทหารเหล่านี้โดยตรง ทำให้กล้ามเนื้อและร่างกายของพวกเขาเกิดการผ่อนคลายให้ได้มากที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถเคลื่อนไหวท่ายิมนาสติกได้
อย่างไรก็ตามมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้วิธีการนี้ได้ และมีทหารเกือบพันคนในที่นี้ หากเขาต้องใช้วิธีนี้เพื่อช่วยพวกเขาทั้งหมด ไม่ว่ากระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของจี้เฟิงจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน ยังไงก็ต้องถูกเผาผลาญไปจนหมดสิ้น! อันที่จริงแค่ครึ่งเดียวก็เกรงว่าจี้เฟิงคงจะลุกไม่ขึ้นแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือคุณปู่ของเขาเขาก็คงจะไม่ได้ฝึกควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่แสนจะยากเย็นแสนเข็ญนั่น และตอนนี้จี้เฟิงก็คงจะไม่สามารถแม้แต่จะช่วยเหลือทหารเพียงคนเดียวได้
แต่จี้เฟิงรู้ดีว่าถ้าเขาไม่ตอบตกลงอาสามจะไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆอย่างแน่นอน และนอกจากนี้เขาก็มีใจที่ต้องการจะช่วยเหลืออาสามของเขาอยู่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ต้องทำให้ร่างกายของคนในครอบครัวของเขาแข็งแรงที่สุด
“งั้นก็มาเริ่มกันเลยสองคนก่อน!” ในเมื่อตัดสินใจแล้ว จี้เฟิงก็ลงมือทันที เขาพยักหน้าและพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว
ครั้งนี้ไม่ต้องให้จี้เจิ้นผิงเอ่ยปากครูฝึกสองคนก็รีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาจี้เฟิงทันที
ในความเห็นของพวกเขาหากตนเองที่ได้ชื่อว่าเป็นครูผู้สอน ถ้าไม่สามารถเรียนรู้ได้ก่อน แล้วจะสอนทหารในสังกัดของตนเองได้อย่างไร
พวกเขาทั้งสองพยายามทำการเคลื่อนไหวท่าแรกตามท่าที่จี้เฟิงทำให้ดูก่อนหน้านี้แต่ในความเป็นจริงในสายตาของจี้เฟิง ท่าทางการเคลื่อนไหวเหล่านี้มันแทบจะเป็นคนละเรื่องกันเลย
เขาส่ายหัวเล็กน้อยและค่อยๆย่อตัวลงเขาเอื้อมมือออกไปและวางมันลงบนเอวของครูฝึกทั้งสองคนและเริ่มกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพ
การกระตุ้นร่างกายของคนเหล่านี้ด้วยกระแสไฟฟ้าชีวภาพนั้นแตกต่างจากการรักษาคุณปู่ของเขาด้วยกระแสไฟฟ้าชีวภาพอย่างน้อยจี้เฟิงก็ไม่ต้องระมัดระวังมากนัก นอกจากนี้ร่างกายของคนเหล่านี้ก็แข็งแรงมากพอที่จะทนต่อกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่แรงกว่าเล็กน้อยได้
“หืม!” ครูฝึกทั้งสองรู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาชาขึ้นมาทันทีรู้สึกเหมือนมีแมลงนับไม่ถ้วนคลานอยู่ในร่างกายของพวกเขา รู้สึกอึดอัดทรมานมาก
ร่างกายของพวกเขาค่อยๆโน้มลงตามสัญชาตญาณแต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าการกระทำแรกของพวกเขาจะเกิดขึ้นได้โดยลักษณะแบบนี้
จี้เจิ้นผิงและทหารคนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆ ต่างเบิกตากว้าง จี้เฟิงแค่สัมผัสที่เอวของพวกเขาก็ทำให้พวกเขาทำท่าที่แปลกประหลาดนั่นได้สำเร็จ
แต่ใครจะรู้ว่าครูฝึกสองคนนี้จะเจ็บปวดจนพูดไม่ออกเพื่อประหยัดแรงและพลังงาน จี้เฟิงจึงกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่เอวของพวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นจึงถ่ายเทกระแสไฟฟ้าชีวภาพให้กับแต่ละคน มันทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง อันเกิดจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพกำลังทำหน้าที่ของมันในการกระตุ้นกล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่างกายของพวกเขา
ความรู้สึกนี้เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนที่จี้เฟิงเรียนยิมนาสติกเป็นครั้งแรกเพราะตอนนั้นร่างกายของจี้เฟิงยังอ่อนแอมาก เหมาะแก่การเรียนรู้ท่วงท่าการเคลื่อนไหวต่างๆ แต่ร่างกายของครูฝึกได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักจนทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งไปจนเต็มพิกัดแล้ว คล้ายกับที่เขาเรียกว่าไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ดังนั้นเมื่อพวกเขาต้องมาเรียนรู้ที่จะทำท่าทางการเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดแรกตามหลักสูตรของระบบฝึกสุดยอดสายลับที่จี้เฟิงได้เรียนรู้มา แน่นอนว่ามันจะทำให้พวกเขานั้นรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น
โชคดีที่จี้เฟิงตัดสินใจไม่ให้พวกเขาเรียนรู้ท่าทางที่สองตั้งแต่แรกไม่เช่นนั้นกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของพวกเขาคงจะได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างแน่นอน
ต่อไปจี้เฟิงก็ทำการช่วยเหลือทีล่ะกลุ่มโดยแบ่งเป็นกลุ่มละสองคนเหมือนอย่างครั้งแรก เพื่อช่วยให้พวกเขาทำท่าแรกได้สำเร็จ
เมื่อคนสามถึงสี่ร้อยคนสามารถนั่งลงบนพื้นและกดตัวให้ก้มต่ำได้แล้วจี้เฟิงก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง แม้ว่าการช่วยเหลือคนสามถึงสี่ร้อยคนจะใช้เวลาไม่นานนัก แต่พลังงานและพละกำลังของเขาก็ถูกใช้ไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายที่เหลือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งจากปกติ
“ไปเอาเครื่องดื่มชูกำลังมาหนึ่งขวด!”จี้เจิ้นผิงตะโกนบอกฮุ่ยอี้ทันที เมื่อเห็นใบหน้าของจี้เฟิงเต็มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าของเขาดูอ่อนเพลียมาก จี้เจิ้นผิงจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรครับอาสาม!”จี้เฟิงรีบปฏิเสธ เขาส่ายหัวและพูดว่า “ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย นั่งพักสักแป็บก็น่าจะดีขึ้น อ้อ! จริงสิ อาสามบอกให้ทหารของอาสามอยู่ในท่านี้อย่างน้อยก็ 40 นาทีนะครับ พอครบเวลาก็ให้พวกเขาพักสักครู่หนึ่ง และทุกครั้งที่ทำจะต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก 10 นาที ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าพวกเขาจะสามารถเคลื่อนไหวท่าแรกได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วค่อยฝึกทำท่าที่สอง!”
“น้องสามวิธีการของนาย… มันจะได้ผลจริงๆเหรอ” จี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะถาม “ถึงท่านี้มันจะดูทำยาก แต่ดูยังไงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนเท่าโยคะ ทำแบบนี้แล้วจะทำให้คนกลายเป็นยอดฝีมือได้จริงๆน่ะเหรอ?”
เดิมทีจี้เฟิงก็เหนื่อยมากอยู่แล้วพอมาได้ยินคำถามที่สงสัยในวิชาของเขาอีกครั้ง จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างหงุดหงิด “ถ้าทำไปแล้วไม่ได้ผล พี่รองคิดว่าวิชากังฟูของผมมาจากไหน”
ดวงตาของจี้ช่าวเหลยเป็นประกายทันที“เออแฮะ! ถ้าอย่างนั้น น้องสาม ทำไมนายไม่ให้ฉันฝึกกับพวกเขาไปด้วยเลยล่ะ!”
แม้ว่าเขาจะเห็นสีหน้าและการแสดงออกที่ดูเหมือนจะเจ็บปวดมากของทหารเหล่านี้แต่จี้ช่าวเหลยก็เคยผ่านการฝึกซ้อมชกมวยที่หนักหน่วงมาแล้ว เขารู้สึกว่าไม่มีเหตุผลที่ตัวเองจะทนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนึกถึงใบหน้าของเซียงยี่โหรวที่ปกติจะเชิดสูงอยู่เสมอต้องก้มหัวให้กับเขาอย่างเชื่อฟัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระตือรือร้นอยากจะฝึกท่ายิมนาสติกของจี้เฟิงซะตอนนี้เลย!
จี้เฟิงโบกมือพลางหัวเราะ“ยังไม่ถึงเวลาของพี่ เอาไว้เรากลับไปเจียงโจวเมื่อไหร่ ผมจะหาเวลามาสอนพี่แบบพิเศษโดยเฉพาะเลย ตราบใดที่พี่ฝึกฝนทุกวัน ผมรับรองเลยว่าภายในครึ่งปีพี่จะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน!”
“แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะเซียงยี่โหรวได้หรือเปล่า”จี้ช่าวเหลยถามทันที อันที่จริงเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด
จี้เฟิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ทันที“ผมจะไปรู้ได้ยังไง! ผมไม่เคยสู้กับเธอนี่!”
จี้ช่าวเหลยยิ้มกว้าง“งั้นนายอยากลองสู้กับเธอดูมั้ยล่ะ ฉันจะได้นัดเธอออกมาให้ นายจะได้รู้ไง ดีมั้ย!”
“ไม่ดีอ่ะ!”จี้เฟิงเบ้ปาก “ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น!”
ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้คำขอของอาสามในครั้งนี้ช่วยเตือนให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า พ่อแม่ของเขาเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ร่างกายของพวกเขาจะแย่ลงเรื่อยๆตามอายุ ตอนนี้เรื่องในหยานจิงก็จัดการเรียบร้อยแล้ว จี้เฟิงจึงตั้งใจว่าจะให้พ่อกับแม่ของเขาได้ฝึกยิมนาสติกชุดแรกก่อนที่เขาจะกลับเจียงโจว ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์กับร่างกายของพวกเขาอย่างมาก!
จี้ช่าวเหลยที่ถูกจี้เฟิงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยได้แต่บ่นพึมพำ‘ถ้านายไม่มีเวลาไปพบกับเซียงยี่โหรว งั้นไว้ฉันจะพาเธอไปหานายที่เจียงโจวเอง… หึหึ! ภายในระยะเวลาครึ่งปีหรือน้อยกว่านั้น ฉันจะสามารถพิชิตผู้หญิงคนนั้นได้ จี้ช่าวเหลยคนนี้นี่แหละจะเป็นคนปลุกพลังของตระกูลจี้ให้รุ่งเรืองอลังการ’
หลังจากที่จี้เจิ้นผิงออกคำสั่งกับเหล่าทหารเสร็จเขาและอีกสามคนก็พากันออกมาจากห้องโถงฝึกซ้อม จี้ช่าวเหลยกับจี้เฟิงก็หาเวลาไปเยี่ยมจี้ช่าวหยินที่กำลังอาศัยอยู่ในค่าย
แม้ว่าเขาเพิ่งจะได้เข้ามาฝึกเพียงไม่กี่เดือนแต่จี้ช่าวหยินก็ดูเหมือนจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เค้าโครงความอ่อนเยาว์บนใบหน้าหายไปไม่น้อย ตอนนี้เริ่มมีท่าทางเหมือนชายหนุ่มเต็มตัวบ้างแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงขึ้น
จะว่าไปลูกหลานตระกูลจี้ไม่มีใครตัวเล็กๆเลยโดยเฉพาะผู้ชายส่วนใหญ่จะมีรูปร่างสูงใหญ่ แม้แต่ผู้อาวุโสเฒ่าก็มีรูปร่างที่ใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับชายชราโดยทั่วไป
ตอนนี้จี้ช่าวหยินก็เหมือนจะพ้นวัยเด็กไปแล้วบวกกับการฝึกที่เข้มข้นจึงทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยคือสายตาของจี้ช่าวหยินเมื่อเห็นจี้เฟิงแววตาของเขาฉายแววตื่นตระหนกและหวาดกลัวออกมาโดยไม่รู้ตัว
เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ในตอนที่เขาอยู่เจียงโจวที่จี้เฟิงเกือบจะโยนเขาลงจากรถในตอนที่รถกำลังวิ่งอยู่บนถนนด้วยความเร็ว มันทำให้เขาจำฝังใจจนมาถึงตอนนี้
��