The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 372 โลกมันกลม
สีหน้าของฮั่นจงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า ถ้าฉันเดาไม่ผิด คนที่นายเพิ่งพูดถึงกับคนที่ฉันคิดน่าจะเป็นคนคนเดียวกัน แม่งเอ๊ย! ใครจะคิดว่าไอ้คนงี่เง่าปัญญาอ่อนอย่างเว่ยเฉียงจะเป็นลูกชายของเว่ยฮั่นเซิง…
สีหน้าของจางเล่ยดูตึงเครียดขึ้นมาทันทีเขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า ฮั่นจง เว่ยฮั่นเซิงคนนั้นมีภูมิหลังที่ใหญ่โตมากเลยเหรอ
ฮั่นจงเบ้ปากสีหน้าของเขาดูเหยียดหยามเล็กน้อย ใหญ่โตอะไรล่ะ! เอาเป็นว่าตัวเว่ยฮั่นเซิงเองไม่ได้มีอะไรที่เรียกว่าใหญ่โตได้เลย สิ่งที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้เขาก็คงจะเป็นบริษัทก่อสร้างเป๋าต่านั่นแหละ ตัวเขาเองก็เป็นแค่รองประธานเท่านั้น แต่กลับทำตัวใหญ่โตเกินเบอร์ ก่อนหน้านี้เขายังมาขอความร่วมมือกับพ่อของฉันอยู่เลย เหมือนว่าจะมาลงหลักปักฐานที่เจียงโจว ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งฮั่นจงก็พูดต่อว่า คนคนนี้ถือว่าตัวเองเป็นรองประธานบริษัทของรัฐวิสาหกิจ เลยเชิดหน้าชูคอจนเคยตัว จนกระทั่งเจอพ่อของฉันปิดประตูใส่หน้าเข้าไปสองครั้ง ก็ดูเหมือนจะเป็นคนดีขึ้นมาได้หน่อย แต่ก็นะ การเสแสร้งแบบเด็กๆพ่อฉันดูออก!
พวกเขาหลายคนถึงกับหัวเราะพรวดออกมาทันทีเมื่อได้ยินฮั่นจงพูดถึงเว่ยฮั่นเซิงซะไม่เหลือดี
จี้เฟิงในเมื่อเว่ยเฉียงเป็นลูกชายของเว่ยฮั่นเซิงก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันจัดการเรื่องนี้ก็แล้วกัน นายคอยดูก็พอว่าฉันจะสั่งสอนเขายังไง! ฮั่นจงแค่นเสียงอย่างไร้ความปรานี
อันที่จริงฮั่นจงโกรธมาก
ไม่ต้องพูดถึงว่าก่อนหน้าจี้เฟิงช่วยเหลืออะไรเขาบ้างเอาแค่ว่าถ้าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องธรรมดาๆ แล้วจี้เฟิงมาถูกรังแกแบบนี้ฮั่นจงก็จะไม่นั่งดูเฉยๆอย่างแน่นอน
ในแวดวงของพวกเขาสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหน้าตาและการให้เกียรติ เว่ยเฉียงทำเรื่องสกปรกอย่างการใช้เงินฟาดหัวให้พนักงานของมหาวิทยาลัยมาเป็นพวก ใช้เรื่องบัตรรับรองที่พักมากดดันเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าหาและจีบถงเล่ยแฟนของจี้เฟิง นี่มันเป็นการตบหน้าพี่น้องของฮั่นจงต่อหน้าฮั่นจงชัดๆ!
ไม่ต้องพูดถึงว่าจี้เฟิงมอบบุหรี่ชนิดพิเศษให้กับฮั่นจงโดยไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ทำให้ฮั่นกรุ๊ปได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อยเลย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ถ้าฮั่นจงยังทนเฉยอยู่ได้ก็คงจะแปลก!
จี้เฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพูดว่า นายจะจัดการกับเขายังไง แล้วมันจะไม่ส่งผลกระทบต่อตระกูลของนายเหรอ?
เป็นเรื่องดีที่ฮั่นจงเต็มใจที่จะช่วยเหลือแต่จี้เฟิงก็ไม่ต้องการให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของฮั่นกรุ๊ป จากที่ฟังฮั่นจงเล่าดูเหมือนพวกเขาจะมีความเกี่ยวข้องกันในด้านธุรกิจ ถ้าฮั่นจงลงมือทำอะไรลงไป ก็น่าจะส่งผลกระทบบ้างอยู่ดีไม่มากก็น้อย
จี้เฟิงจำได้ว่าฮั่นจงเคยพูดไว้ว่าเรื่องภายในของฮั่นกรุ๊ปไม่ได้สามัคคีกันมากนัก แม้ว่าพ่อของฮั่นจงจะเป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุด แต่ฮั่นจงก็ยังคงต้องถูกตรวจสอบถึงความเหมาะสมในฐานะผู้สืบทอดต่ออยู่ดี
แล้วถ้าหากเรื่องนี้ทำให้หุ้นส่วนรายอื่นๆของฮั่นกรุ๊ปนำมาเป็นประเด็นความขัดแย้งภายในอาจจะปะทุขึ้นก็ได้
ฮั่นจงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ไม่เป็นไร การจะร่วมมือกันหรือไม่มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แล้วที่สำคัญตัวฉันเองก็ไม่ได้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของฮั่นกรุ๊ปอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามมีตั้งหลายวิธีที่จะใช้จัดการกับเว่ยเฉียง!
เมื่อเห็นว่าฮั่นจงพูดด้วยความแน่วแน่มั่นใจขนาดนี้จี้เฟิงก็ไม่คัดค้านอะไรอีก เขาแค่ยิ้มและกล่าวว่า ขอแค่ไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในบริษัทของนายพอแล้ว!
ฮั่นจงหวังดีและมีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือขนาดนี้จี้เฟิงย่อมไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจและความหวังดีของเขาได้
แต่ในใจลึกๆจี้เฟิงก็ไม่เคยคิดที่จะปล่อยเว่ยเฉียงและเว่ยเฉินหลิงไปง่ายๆอยู่แล้ว
การวางแผนเพื่อรับมือกับเว่ยเฉียงเป็นเพียงแค่การคิดดอกเบี้ยเท่านั้นนอกจากนี้จี้เฟิงไม่ได้คาดหวังว่าจะให้ฮั่นจงถึงขนาดโค่นล้มเว่ยฮั่นเซิง สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็เป็นถึงรองประธานบริษัทของรัฐวิสาหกิจ เมื่อใดก็ตามที่ฮั่นกรุ๊ปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทก่อสร้างเป๋าต่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ฮั่นจงจะเข้าไปจัดการ
รองประธานคนนี้ยังถือว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอยู่บ้างอย่างน้อยการเอาคืนเล็กๆน้อยไม่สามารถทำให้เว่ยเฉียงรู้สึกเจ็บปวดได้ เว้นเสียแต่ว่าทางนั้นมีบาดแผลที่ร้ายแรงเก็บซ่อนเอาไว้อยู่
ดังนั้นจี้เฟิงจึงมีแผนของตัวเองอยู่แล้วเพียงแต่ว่าคำพูดบางอย่างไม่สะดวกที่จะพูดในตอนนี้
อันที่จริงถ้าเว่ยเฉียงแค่ต้องการจะจีบถงเล่ยแม้ว่าจี้เฟิงจะไม่พอใจ แต่เขาก็จะไม่ทำอะไรที่มันมากเกินไป เพราะการที่ผู้ชายจะชอบจะหลงรักผู้หญิงจากรูปร่างหน้าตามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่ใช่คนไร้เหตุผล
แต่เว่ยเฉียงกลับใช้วิธีสกปรกต่างๆนานาเพื่อบีบบังคับถงเล่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาทำถึงขนาดใช้เงินฟาดหัวพนักงานแผนกสำนักงานทั่วไปของมหาวิทยาลัยเพื่อให้คนเหล่านั้นเข้าร่วมแผนชั่วของเขาด้วย นี่คือสิ่งที่จี้เฟิงทนไม่ได้
ในเมื่อเว่ยเฉียงชอบเล่นเกมแบบนี้นักล่ะก็จี้เฟิงก็จะเล่นด้วย เหตุผลที่อีกฝ่ายกล้าหยิ่งยโสก็เพราะว่าพ่อของตัวเองเป็นรองประธานบริษัทของรัฐวิสาหกิจและมีลูกพี่ลูกน้องเป็นรองประธานสภานักศึกษาไม่ใช่หรือ
ก๊อก!ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังขึ้น
พนักงานเสิร์ฟหลายคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบพวกเขาทำการเสิร์ฟอาหารอย่างชำนาญ
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า มาๆ เลิกคิดเรื่องนี้แล้วมากินข้าวกันก่อนดีกว่า!
เหอะ!ไอ้ลูกหมาเว่ยเฉียงไม่ได้มีค่าพอจนถึงขนาดส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารของฉันหรอกนะ! เมื่อจางเล่ยเห็นปลานึ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาก็เป็นประกายและหัวเราะอย่างชั่วร้าย
พี่รู้อะไรอย่างอื่นบ้างมั้ยเนี่ยนอกจากเรื่องกิน! เมื่อเห็นพี่ชายของเธอทำท่าทางตะกละตะกลาม เธอก็ถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห
จางเล่ยไม่กล้าพูดอะไรอีกเขารีบยกแก้วขึ้นแล้วตะโกนว่า มาๆ ชนแก้ว!
คนอื่นๆต่างยกแก้วขึ้นมาอย่างเงอะๆงะๆ
จี้เฟิงก็ยกแก้วขึ้นมาเขายิ้มและพูดว่า ดื่มๆ!
ทุกคนในที่นี้ไม่ใช่คนนอกพวกเขารู้ว่าความจริงแล้วจางเล่ยไม่ได้กลัวถงเล่ย แต่เป็นเพราะเขารักน้องสาวคนนี้ของเขามากต่างหาก แต่หลังจากที่เห็นถงเล่ยกับจางเล่ยทะเลาะกับพอหอมปากหอมคอแล้ว บรรยากาศก็กลับมาครึกครื้นขึ้นอีกครั้ง ทุกคนดื่มกันคนละแก้วสองแก้วแล้วก็เริ่มลงมือทานอาหาร
แต่เสียงอึกทึกครึกโครมจากห้องข้างๆกลับดังขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่คิดว่าที่นี่คือร้านแผงลอยข้างถนนหรือยังไง? ตู้เส้าเฟิงตวาดอย่างเกรี้ยวกราด เผลอๆตามร้านข้างถนน ยังไม่มีใครทำตัวไร้มารยาทแบบนี้เลยมั้ง!
ทุกคนอดขมวดคิ้วไม่ได้เพราะเสียงจากห้องข้างๆนั้นดังจริงๆ มันเป็นเสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างเต็มที่ ไม่มีจิตสำนึกที่จะควบคุมระดับเสียงเลย แม้แต่เสียงตบโต๊ะก็ยังมี ซึ่งดูเหมือนพวกเขาจะสนุกกับมันมาก
อดทนหน่อยแล้วกันคนอื่นก็เป็นลูกค้าเหมือนกับเรา พวกเขาคงจะสนุกกันเต็มที่เลยละมั้ง! จี้เฟิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ อย่างน้อยก็ยังมีกำแพงกั้นอยู่ เสียงก็ดังในระดับที่ยังพอทนได้
แต่ทันทีที่เขาพูดจบสีหน้าของเขาก็มืดครึ้มลง
เมื่อคนอื่นๆเห็นสีหน้าของจี้เฟิงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันพวกเขาก็รู้สึกตกใจและถามทันที มีอะไรเหรอ
จี้เฟิงชี้ไปที่ผนังและพูดด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม ฟังดู!
ทุกคนเงียบลงทันทีและฟังเสียงการพูดคุยของห้องข้างๆอย่างตั้งใจ
เนื่องจากมีกำแพงกั้นอยู่บวกกับอีกฝ่ายดูเหมือนจะดื่มมากไปหน่อย แม้ว่าพวกเขาจะพูดคุยกันเสียงดังมาก แต่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังสามารถจับใจความสำคัญได้บ้างและได้ยินชื่อสองสามชื่อถงเล่ย จี้เฟิง!
ฉันจะออกไปดู! จางเล่ยเปิดประตูและเดินออกไปทันที
จี้เฟิงรีบลุกขึ้นยืนและเดินตามออกไป
ส่วนคนอื่นๆแม้ว่าพวกเขาจะไม่แน่ใจว่าคนจากห้องข้างๆพูดว่าอะไรบ้าง แต่พวกเขาก็แน่ใจว่าหนึ่งในนั้นต้องมีเว่ยเฉียงด้วยอย่างแน่นอน!
แต่จี้เฟิงกลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะมาเจอกับเว่ยเฉียงที่นี่เขาเพิ่งจะคิดหาวิธีจัดการกับเว่ยเฉียงอยู่เมื่อครู่ โลกมันกลมจริงๆ!
เมื่อเห็นว่าจางเล่ยกับจี้เฟิงออกไปแล้วคนอื่นๆที่เหลือก็รีบตามพวกเขาออกไปทันที
ทันทีที่พวกเขามาถึงประตูห้องข้างๆเสียงหัวเราะอย่างมีเจตนาร้ายแอบแฝงก็ดังออกมา บางคนก็ลุกขึ้นมาและตบโต๊ะอย่างแรง
ผมว่านายน้อยเว่ยจะโหดร้ายเกินไปแล้วฮ่าๆๆ… เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ดื่มมากเกินไป เวลาพูดแล้วเหมือนลิ้นมันใหญ่คับปาก แต่จี้เฟิงและคนอื่นๆที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ฟังเข้าใจได้อย่างชัดเจน โพสต์ประกาศว่ามีความผิดทางนัยอย่างเปิดเผย วิธีนี้นี่โหดจริงๆ! ถ้าสาวน้อยที่ชื่อถงเล่ยไม่อยากมีความเสื่อมเสียลงบันทึกไว้ในประวัติ ก็คงต้องไปเปิดห้องคุยกับนายน้อยเว่ยเท่านั้น ฮ่าๆๆ!
ที่สำคัญคือเป็นเพราะพวกคุณทุกคนร่วมมือกันอย่างดีถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณคอยกันท่าไม่ให้จางเล่ยกับฮั่นจงไปตรวจสอบการลงทะเบียนและยื่นคำร้องไว้ได้ แผนของฉันก็คงจะไม่สำเร็จง่ายๆแบบนี้แน่! คนที่พูดไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเว่ยเฉียง น้ำเสียงของเขาดูมีความสุขและภาคภูมิใจมาก ถงเล่ย ผู้หญิงคนนั้นกล้าปฏิเสธฉันอย่างเย็นชา! เหอะ! ฉันละอยากจะรู้ว่าผู้หญิงที่เชิดหน้าชูคอแบบนั้นถ้าได้มาอยู่ร่วมเตียงกับฉันแล้วยังจะเย็นชาอยู่อีกรึเปล่า ฮ่าๆๆ~!
คนในห้องส่งเสียงหัวเราะอีกครั้งเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความกระหยิ่มในเรื่องอย่างว่า ในเวลาจี้เฟิงและคนอื่นๆที่ยืนอยู่หน้าประตูถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปพวกเขาโกรธจัด โดยเฉพาะจี้เฟิง จิตสังหารของเขาผุดขึ้นมาอย่างรุนแรงและไม่สามารถควบคุมได้ เขากำลังจะเตะประตูเข้าไป
ฟึ่บ—!
จ้าวไคที่เงียบมาตลอดรีบเข้าไปคว้าตัวของจี้เฟิงไว้และดึงรั้งเขาเอาไว้
จ้าวไคกระซิบข้างหูจี้เฟิงอย่างร้อนรน จี้เฟิง ใจเย็นก่อนอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะหาหลักฐาน! หลังจากที่เราได้รับหลักฐานแล้ว อย่าว่ากันนะถ้าผมเป็นคนแรกที่จะเข้าไปจัดการกับสัตว์เดรัจฉานกลุ่มนี้!
ใบหน้าของจี้เฟิงมืดครึ้มและน่ากลัวมากเขากำหมัดแน่นและพยักหน้าอย่างแรง ได้!
ในเวลานี้จางเล่ยก็ได้สติกลับมาแล้วเช่นกันหลังจากที่โกรธจนควันออกหูเขาส่งสายตาให้เซียวหยูซวนกับถงเล่ยที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักและบอกให้พวกเขากลับไปที่ห้องอาหารส่วนตัวของพวกเขาก่อน เขากลัวว่าคำพูดเลวๆจะออกมาจากปากเว่ยเฉียงกับไอ้บ้าพวกนั้นอีก แล้วมันจะทำให้ถงเล่ยต้องรู้สึกแย่มากไปกว่านี้
จ้าวไคหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าของเขาและแง้มเปิดประตูห้องส่วนตัวของเว่ยเฉียงอย่างเบามือ เขานั่งยองๆอยู่บนพื้นจากนั้นก็เปิดโหมดบันทึกวิดีโอในโทรศัพท์แล้วหันกล้องไปยังด้านในห้อง
โชคดีที่เว่ยเฉียงและคนอื่นๆในห้องดื่มเหล้ากันไปไม่น้อยแล้วพวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าประตูถูกเปิดแง้มออก พวกเขายังคงพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
จี้เฟิงยืนอยู่ข้างหลังจ้าวไคเมื่อเขามองผ่านช่องว่างของประตูเขาก็พบว่าข้างในห้องส่วนตัวมีคนอยู่ทั้งหมดห้าคน สามคนในนั้นเขาเคยเห็นหน้ามาก่อน
คนหนึ่งคือเว่ยเฉียงและอีกสองคนเป็นพนักงานที่เขาเคยเจอที่สำนักงานทั่วไป หนึ่งในนั้นคือชายสวมแว่นจอมตอแหลกับผู้ชายอีกคนที่เป็นพนักงานเหมือนกัน คราวที่จี้เฟิงกับฮั่นจงมีปัญหาขัดแย้งกับพนักงานสองคนนี้อยู่นิดหน่อย
นอกจากนั้นยังมีชายหนุ่มที่น่าจะเป็นนักศึกษาคิ้วของเขาคล้ายกับเว่ยเฉียงมาก จี้เฟิงเดาว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นรองประธานของสภานักศึกษาคนนั้น เว่ยเฉินหลิง!
ส่วนคนแปลกหน้าคนสุดท้ายดูแล้วเขาน่าจะมีอายุประมาณ30 ปี ภาพลักษณ์การแต่งตัวโดยรวมแล้วเหมือนกับชายหนุ่มที่สวมแว่น เขาแต่งตัวด้วยชุดสูทและรองเท้าหนัง ดูแล้วน่าจะเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยเหมือนกับสองคนนั้น
จริงสิผู้อำนวยการฉิน พวกคุณได้เก็บเอกสารหรือข้อมูลการลงทะเบียนบัตรรับรองที่พักไว้ดีหรือยัง คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะ เผื่อมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาจะได้แก้ไขทัน! ถึงยังไงเว่ยเฉินหลิงก็เป็นรองประธานสภานักศึกษา ดังนั้นหากลงมือทำอะไรจะต้องคิดให้มากเป็นธรรมดา ในความคิดเห็นของเขาแฟนของถงเล่ยเป็นคนที่แม้แต่หยุนปิงเขาก็ยังกล้าตบมาแล้ว แล้วถ้าเขารู้ว่าถงเล่ยที่เป็นแฟนของเขาถูกกลั่นแกล้งแบบนี้แล้วเขาไม่โกรธก็คงจะแปลกแล้ว!