The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่254 คำใบ้
“จี้เฟิงเรากลับกันก่อนดีกว่าจางหย่งเฉียงกล้าพูดอวดดีขนาดนั้นแสดงว่าต้องมีแผนอะไรอยู่แน่เลย” เซียวหยูซวนและถงเล่ยพูดออกมาตามสถานการณ์ที่สังเกตเห็น สีหน้าของหญิงสาวทั้งสองเต็มไปด้วยความกังวล แม้ว่าพวกเธอทั้งคู่จะรู้ว่าจี้เฟิงมีทักษะการต่อสู้ที่ดีเยี่ยม แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากกว่า ไม่ว่าจี้เฟิงจะเก่งแค่ไหนก็ไม่น่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่ายๆ!
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เหมือนพวกเขาจะได้ยินผู้หญิงที่ชื่อหลัวหยิงพูดว่าจางหย่งเฉียงเป็นลูกชายของหัวหน้าตำรวจคนหนึ่งจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาอาจจะใช้อำนาจของพ่อเขาโน้มน้าวผู้อื่นและทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่และอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้กับจี้เฟิงได้
จี้เฟิงส่ายหัวและถามด้วยรอยยิ้ม“พวกเธอเลือกของเสร็จแล้วงั้นเหรอ”
“อื้ม!”หญิงสาวทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกัน ถงเล่ยยิ้มและกล่าวว่า “นอกจากเลือกเตียงแล้ว โซฟาและเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆพวกเราแค่เลือกสีและรูปแบบเพราะมันเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบ*โมดูลาร์ครบชุดดังนั้นพวกเราเลยไม่จำเป็นต้องระบุรายละเอียดอะไรมากพวกเขาจะจัดการและติดตั้งให้ได้เลยทันที”
“งั้นก็เยี่ยมเลย!”จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นพวกเธอกลับบ้านกันไปก่อนนะ ไปรอรับเฟอร์นิเจอร์ที่บ้านได้เลย อยากจะจัดวางตรงไหนก็ตามใจพวกเธอเลย เดี๋ยวพวกเฟอร์นิเจอร์เก่าฉันจะกลับไปจัดการกับพวกมันในภายหลัง”
“นายจะไม่กลับไปกับพวกเราเหรอ”เซียวหยูซวนสะดุ้ง ทันใดนั้นเซียวหยูซวนก็เหมือนกับจะอ่านความคิดของจี้เฟิงออก เธอจึงรีบพูดว่า “จี้เฟิงนายอาจจะได้รับอันตรายถ้าอยู่ที่นี่คนเดียว พรรคพวกของจางหย่งเฉียงไม่สนใจหรอกว่านายเป็นใครมาจากไหน นายเล่นไปตบเขากลางร้านจนได้รับความอับอายขนาดนั้น เขาจะกลับมาแก้แค้นนายอย่างแน่นอน!”
“พี่สาวหยูซวนพูดถูก!”ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความเป็นกังวลว่า “จี้เฟิง! ทำไมนายไม่กลับไปพร้อมกับพวกเราล่ะ แล้วค่อยให้คนมาจัดการเรื่องนี้ทีหลัง ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปต่อสู้กับคนพวกนั้นเลย!”
จี้เฟิงหัวเราะและหันไปทางจางเล่ย“เล่ยซือ นายจะกลับไปกับสองสาวเลยมั้ย”
จางเล่ยส่ายหัวและยิ้ม“อาจารย์เซียว เล่ยเล่ย ไม่ต้องเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อกี้ฉันโทรหาน้าสองแล้ว ฉันไม่เชื่อหรอกว่าตำแหน่งหัวหน้าตำรวจที่ไหนจะใหญ่ไปกว่าตำแหน่งของน้าสอง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถงเล่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่จริงแล้วในฐานะรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งเทศบาลนครเจียงโจว น้าชายคนที่สองของเธอและจางเล่ยถือว่ามีอำนาจปกครองเด็ดขาดบนพื้นที่ถึงหนึ่งในสามของเจียงโจวและแน่นอนว่าไม่มีหัวหน้าตำรวจ(ผู้กำกับ)คนไหนจะใหญ่ไปกว่าเขาได้
อย่างไรก็ตามเซียวหยูซวนยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดีจึงถามว่า“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนของฝ่ายเราไม่สามารถมาได้ทันเวลา”
“ที่นี่อยู่ห่างจากที่ทำการเมืองเพียงแค่สิบนาทีเขามาทันเวลาแน่นอนไม่ต้องกังวล!” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “เอาล่ะสาวๆ กลับบ้านกันไปก่อน ฉันกับเล่ยซือจัดการเรื่องทางนี้เสร็จเมื่อไหร่จะกลับไปทันที ไม่ต้องเป็นห่วง!”
หญิงสาวทั้งสองรู้ว่าพูดเกลี้ยกล่อมไปก็คงไม่มีประโยชน์ดังนั้นพวกเธอจึงพยักหน้าเล็กน้อยและคุยกับพนักงานส่งของ ของเรดซันเฟอร์นิเจอร์ซิตี้ให้กลับไปพร้อมกันกับพวกเธอเลย
เมื่อเห็นเซียวหยูซวนขับรถออกไปโดยที่มีรถบรรทุกส่งของขับตามหลังจี้เฟิงก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาถงเล่ยทันที
“เล่ยเล่ยไม่ต้องให้พวกเขาไปส่งเฟอร์นิเจอร์ที่บ้านนะ!” จี้เฟิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ส่งไปที่เขตที่พักอาศัยของมหาลัยก่อนแล้วกัน ไว้ฉันจะให้คนไปรับของ”
แม้ว่าถงเล่ยจะงงงวยแต่เธอก็เชื่อว่าจี้เฟิงจะต้องมีเหตุผลที่ดีในการทำเช่นนี้เธอจึงตกปากรับคำ
จี้เฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากวางสายโทรศัพท์
จางเล่ยที่ยืนอยู่ข้างๆอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามว่า“นายกลัวว่าจะมีใครบางคนมาสืบถามหาที่อยู่บ้านพักของนายจากพนักงานส่งของพวกนั้นงั้นเหรอ”
“ใช่!ฉันว่ายังไงการป้องกันไว้ก่อนก็ดีกว่าแก้ ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งเจอแต่คนบ้า!” จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ถ้ามีคนไม่ประสงค์ดีรู้ที่อยู่ขึ้นมา วันๆคงจะไม่เป็นอันทำอะไร โดยเฉพาะเซียวหยูซวนและถงเล่ยพวกเธอจะต้องหวาดกลัวและคอยระแวดระวังอยู่เสมอ จี้เฟิงไม่ต้องการให้หญิงสาวทั้งสองคนต้องใช้ชีวิตด้วยความระแวงตลอดทั้งวัน
“ไอ้บ้าเอ๊ยทีอย่างนี้ล่ะคิดละเอียดรอบคอบ ตัวเองต้องการจะอยู่ต่อแท้ๆ แต่ดันลากฉันเข้ามาเกี่ยวด้วย!” จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะบ่น “ถ้าตาเฒ่าที่บ้านรู้เข้าว่าฉันกำลังสร้างปัญหาอยู่ข้างนอก ฉันจะต้องโดนจัดการชุดใหญ่แน่นอนเมื่อฉันกลับไปที่หมางซือ!”
จี้เฟิงได้แต่หัวเราะแก้เก้อแน่นอนเขารู้ว่าจางเล่ยกำลังพูดถึงอะไร เซียวหยูซวนและถงเล่ยขอให้พวกเขากลับบ้านไปพร้อมกันแต่จี้เฟิงต้องการอยู่ที่นี่ต่อและถ้าจางเล่ยไม่อยู่ด้วยถงเล่ยจะไม่มีทางยอมให้จี้เฟิงอยู่คนเดียวอย่างแน่นอน จางเล่ยจึงได้พูดให้ถงเล่ยและเซียวหยูซวนสบายใจและปล่อยให้พวกเขาสองคนอยู่ที่นี่ต่อ
อันที่จริงจี้เฟิงก็ไม่อยากจะต่อความยาวกับคนประเภทนี้แต่เขาไม่เคยรู้สึกเกลียดใครแบบนี้มาก่อนโดยเฉพาะผู้หญิงที่ชื่อหลัวหยิงที่เติบโตมาด้วยการกินขี้ คำสบถแต่ละคำที่ออกมาจากปากของเธอนั้นมันทำให้แทบจะทนฟังไม่ได้ แถมคำสบถต่ำๆเหล่านั้นยังมุ่งเป้าไปที่เซียวหยูซวนและถงเล่ย ไม่ว่าจี้เฟิงจะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแค่ไหนเขาก็อดโมโหไม่ได้
และต่อให้หลัวหยิงเป็นคนพูดแต่เธอก็ถือได้ว่าเป็นผู้หญิงของจางหย่งเฉียงการที่เธอพูดคำเหล่านี้ออกมาก็เพราะมีจางหย่งเฉียงเป็นต้นเหตุและที่ยิ่งไปกว่านั้นจางหย่งเฉียงก็ไม่ได้คิดที่จะห้ามเธอเลยแม้แต่น้อย เขายังคงปล่อยให้ผู้หญิงของเขาพูดจาต่ำๆดูถูกเซียวหยูซวนและถงเล่ย ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการสนับสนุนหรือเห็นด้วย
การถูกดูถูกอย่างรุนแรงมักจะทนไม่ได้มากกว่าการบาดเจ็บทางร่างกายเซียวหยูซวนและถงเล่ยต่างก็เป็นผู้หญิงที่มีการศึกษาและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ต้องคิดเลยว่าพวกเธอจะรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องมาโดนดูหมิ่นด้วยคำหยาบคายที่โหดร้ายเช่นนี้
ความคับแค้นใจที่พวกเธอได้รับจากหลัวหยิงและจางหย่งเฉียงจี้เฟิงจะเป็นคนชำระบัญชีให้เอง!
คำพูดของจางหย่งเฉียงก็ไม่น่าให้อภัยเช่นกันแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดต่อหน้าผู้หญิงทั้งสองคนแต่จุดประสงค์ที่ชั่วร้ายที่ต้องการให้หญิงสาวทั้งสองคนไปเป็นนางบำเรอ จี้เฟิงได้ยินประโยคนั้นอย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นที่สาธารณะจี้เฟิงคงเข้าไปฉีกทึ้งร่างของคนพวกนี้แทบจะทันที
แล้วภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะให้จี้เฟิงกลับบ้านได้อย่างไรเขาต้องการรู้ว่าต้นกำเนิดของชายคนนี้ที่ออกปากอวดอ้างว่าเป็นคนใหญ่คนโตนั้นมันจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ทำไมถึงได้ทำตัวกร่างระรานคนอื่นได้มากขนาดนี้?
หากเป็นคนธรรมดาๆที่มีความคิดชั่วๆเพราะไร้การศึกษาหรือเป็นอันธพาลข้างถนน จี้เฟิงก็อาจจะไม่สนใจพวกเขามากนัก แต่เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นลูกชายของหัวหน้าตำรวจคนหนึ่งเขาก็ยังกล้าทำเรื่องแบบนี้ มันทำให้จี้เฟิงโกรธขึ้นมาจริงๆ
“…โอเคผมเข้าใจ…” ในขณะที่ความคิดต่างๆของจี้เฟิงกำลังสงบลงจางเล่ยก็คุยกับน้าชายของเขาเสร็จพอดี สีหน้าของจางเล่ยดูกังวลเล็กน้อย
จี้เฟิงสังเกตเห็นทันทีจึงถามเขาว่า“เป็นอะไร คนหนุนหลังจางหย่งเฉียงยิ่งใหญ่มากเลยเหรอ”
จางเล่ยมีสีหน้าลังเลเขาส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า“พื้นเพของเขาไม่ใหญ่มาก พอฉันบอกกับน้าสองว่าเขาสกุลจาง ชื่อว่าจางหย่งเฉียงและมีพ่อเป็นผู้กำกับ น้าสองก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาเป็นใคร ความจริงแล้วพ่อของจางหย่งเฉียงเป็นแค่รองผู้กำกับและเขายังเป็นรองผู้กำกับของสถานีตำรวจเขตนี้อีกด้วย”
“มันต้องมีอะไรมากกว่านี้อีก”จี้เฟิงถาม เพราะถ้าเป็นแค่รองผู้กำกับของสำนักงานย่อยก็คงไม่ทำให้จางเล่ยมีท่าทีลำบากใจเช่นนี้ แสดงว่าคนหนุนหลังของอีกฝ่ายจะต้องมีอะไรมากกว่านี้อย่างแน่นอนถึงทำให้จางเล่ยดูมีท่าทีลังเล
“เจ้าบ้านายเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตระกูลเฉียวหรือเปล่า”จางเล่ยไม่ได้ตอบคำถามจี้เฟิงโดยตรง แต่เขากลับถามอย่างกะทันหัน
“ตระกูลเฉียว”หัวใจของจี้เฟิงกระตุก “นายหมายถึงตระกูลเฉียวแห่งหยานจิงงั้นเหรอ?”
“ใช่ตระกูลเฉียวแห่งหยานจิง!”จางเล่ยพยักหน้าและกล่าวว่า “นายยังไม่ได้ไปอยู่ที่หยานจิง เลยอาจจะยังไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตระกูลใหญ่ของที่นั่นมากนัก สำหรับที่หยานจิงตระกูลเฉียวถือว่าเป็นตระกูลเก่าแก่และมีอิทธิพลตระกูลหนึ่งแม้ว่าทุกวันนี้อิทธิพลเหล่านั้นจะค่อยๆลดลงแต่มันก็ยังคงมีอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นพี่น้องทั้งหลายของตระกูลเฉียวยังคงอยู่ในแวดวงการเมืองและระบบราชการแถมพวกเขาก็ทำมันได้ดี และมันก็ยังแทรกซึมเข้ามาที่เจียงโจวอย่างค่อยเป็นค่อยไป… นอกเหนือจากเรื่องอิทธิพลของตระกูลเฉียวในหยานจิงแล้วดูเหมือนว่าในเจียงโจวนั้นตระกูลเฉียวก็ดูเหมือนจะมีพลังงานบางอย่างที่ไม่แน่ชัด Aileen-novel
“พูดเข้าประเด็นเลยได้มั้ย!”จี้เฟิงกล่าว เขาไม่ค่อยรู้เรื่องในแวดวงการเมืองและพวกที่มีอิทธิพลระดับสูงพวกนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเพิ่งจะพบกับพ่อของเขาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับอิทธิพลของตระกูลใหญ่ในหยานจิงดีเท่าไหร่นัก
“ก็อย่างที่ฉันพูดเมื่อกี้นี้แหละว่าพี่น้องหลายคนของตระกูลเฉียวล้วนมีตำแหน่งที่ดีในแวดวงการเมืองหนึ่งในนั้นเคยทำงานในเจียงโจว ส่วนพ่อของจางหย่งเฉียงก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้มีความสัมพันธ์กับตระกูลเฉียว” มีความดูหมิ่นอยู่เล็กน้อยในน้ำเสียงของจางเล่ย “เดิมทีภายใต้การกำกับดูแลของน้าสองตระกูลเฉียวไม่สามารถมาสร้างความปั่นป่วนใดๆในเจียงโจวได้ แต่จากคำบอกเล่าของน้าสองดูเหมือนว่าจะมีบุคคลสำคัญบางคนของตระกูลเฉียวเพิ่งมาที่เจียงโจวเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นคนที่เกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์เก่าแก่กับตระกูลเฉียวดูเหมือนว่าจะมีการเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหวเพื่อกระทำการอะไรบางอย่าง ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่ายๆ!”
บุคคลสำคัญในตระกูลเฉียว…จี้เฟิงเดาได้ในทันทีและเห็นได้ชัดว่าบุคคลที่ว่านี้คือเฉียวหรง
“แล้วน้าของนายมีแผนจะทำยังไง”จี้เฟิงขมวดคิ้วและถาม
“น้าสองบอกกับฉันว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่อ่อนไหวและไม่เหมาะที่เราจะทำอะไรออกนอกหน้ามากเกินไปแต่ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็สามารถรับประกันได้ว่าเราจะได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม” จางเล่ยกล่าว “จริงๆน้าสองเขาพูดอะไรที่มันคลุมเครือมาก แต่ตามความเข้าใจของฉัน ฉันว่าครั้งนี้เราไม่ควรใช้อำนาจของน้าสองมาข่มขู่หรือเอาชนะจางหย่งเฉียง เราควรจะต่อสู้กับจางหย่งเฉียงด้วยความสามารถของเราเอง”
“ตราบใดที่เขาสามารถรับประกันความยุติธรรมให้เราได้นั่นก็ดีมากแล้ว!”จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย เขาเข้าใจโดยธรรมชาติว่าการที่ผู้หญิงบ้าเฉียวหรงมาที่เจียงโจวทำให้คนในแวดวงการเมืองบางคนในเจียงโจวอดไม่ได้ที่จะหวั่นวิตกและไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับเธอโดยตรง โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้มันไม่คุ้มค่าที่จะให้น้าสองของจางเล่ยต้องออกหน้าโดยตรง
และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือในครั้งนี้แต่จากประโยคนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะรับประกันความเป็นธรรมให้กับพวกเขาซึ่งหมายความว่าจางหย่งเฉียงเองก็จะไม่สามารถใช้อำนาจอย่างเป็นทางการได้เช่นกัน และเขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ในเมื่อตอนนี้ทั้งสองฝ่ายอยู่บนมาตรฐานเดียวกันแล้วจะมีอะไรให้ต้องกังวลอีกสิ่งที่คนอย่างจางหย่งเฉียงจะทำได้อย่างมากก็คือใช้ความสัมพันธ์ของตัวเองเพื่อมองหาใครสักคนมาจัดการกับจี้เฟิง หรืออย่างเก่งก็จ้างนักเลงข้างถนนมาและจบด้วยการใช้กำลัง ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้จี้เฟิงต้องหวั่นวิตกเลย
“Rrrrrr~!”ในขณะที่จี้เฟิงและจางเล่ยกำลังคุยกันเสียงโทรศัพท์ของจี้เฟิงก็ดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาและอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อพบว่าเป็นอาคนที่สองของเขาที่โทรมา
จี้เฟิงกดรับโทรศัพท์ทันที“ครับอาสอง”
“เสี่ยวเฟิงฉันรู้เรื่องของเธอกับจางหย่งเฉียงแล้ว สติ เหตุผล หลักฐาน กฎระเบียบ ทั้งหมดนี้คือสิ่งสำคัญ!” น้ำเสียงของจี้เจิ้นกั๋วดูสงบนิ่งและมั่นคง “เธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเฉียวหรงมาที่เจียงโจว ดังนั้นถ้าเธอจะทำอะไรโปรดจำไว้ด้วยว่า อย่าให้การกระทำของเธอกลายเป็นอาวุธของเฉียวหรงที่จะนำมาใช้โจมตีเธอได้ในภายหลัง ตราบเท่าที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายจะไม่มีใครแตะต้องเธอได้ และจี้เจิ้นกั๋วอาสองของเธอคนนี้จะไม่ปล่อยให้อะไรมาทำร้ายเธอได้ เธอรู้ใช่มั้ย!”
หัวใจของจี้เฟิงอบอุ่นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเขาพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ครับอาสอง ผมจะจำเอาไว้”
จี้เฟิงไม่แปลกใจเลยที่อาสองจะรู้เรื่องนี้น้าสองของจางเล่ยที่เป็นรองผู้บัญชาการก็อยู่ในสายงานราชการเดียวกันกับอาสองของจี้เฟิง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองน่าจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นน้าสองของจางเล่ยจึงน่าจะเป็นคนบอกเรื่องนี้กับอาสองของจี้เฟิง
“ระวังตัวด้วยแต่ก็ไม่ต้องไปกลัว!” จี้เจิ้นกั๋วกำชับอีกครั้ง “ถ้าเธอถูกรังแกเธอจะต้องตอบโต้กลับโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง!”
หลังจากวางสายโทรศัพท์จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม “ดูเหมือนว่าบุคคลสำคัญของตระกูลเฉียวผู้นี้จะสร้างความกดดันให้กับคนจำนวนมากในเจียงโจวจริงๆ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจี้เฟิงก็อดคิดไม่ได้ว่าแม้แต่อาสองของเขาก็ยังต้องคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉียวแล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น ในความเป็นจริงจี้เฟิงก็พอจะรู้ว่าสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอาสองเป็นอย่างไร เพราะในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลนครเจียงโจวผู้ยิ่งใหญ่อย่างอาสอง ทำไมถึงจะไม่สามารถจัดการเฉียวหรงได้ แต่ก็เพราะเหตุผลเดียวกันนั่นเองที่ทำให้อาสองไม่สามารถทำอะไรได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยของอาสองเขาจะไม่ทำอะไรที่เป็นการละเมิดกฎหมายอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามการที่อาสองของเขาทำไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำไม่ได้และการที่อาสองโทรมาหาเขาในครั้งนี้ จี้เฟิงเชื่อว่าอาสองคงไม่ได้โทรมาเพื่อจะให้กำลังใจเขาเพียงอย่างเดียวอย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่าการถูกกดขี่จากตระกูลเฉียวมานานหลายปีจะทำให้อาสองถึงจุดที่ไม่อยากจะทนอีกต่อไปแล้วเช่นกัน!