The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - ตอนที่ 154
บทที่ 154 เชื่อ !
โจวเย่นชิวเป็นทั้งวีรบุรุษและทรราช
คนแบบนี้ไม่ใช่คนที่ตรงไปตรงมาอย่างโจวจุนหลงจะเทียบได้
ถึงแม้ในสายตาของโลกภายนอก ทั้งสองคนจะเป็นคู่ต่อสู้กันมาตลอด แต่ในใจของโจวเย่นชิว มีความรู้สึกว่าโจวจุนหลงคือคู่ต่อสู้มากน้อยแค่ไหนกัน ?
การจัดการกับคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมา ก็ต้องทำเพียงแค่ใช้ชีวิตมาเป็นเครื่องต่อรอง หรือใช้ผลประโยชน์ในการหลอกล่อก็เพียงพอที่จะควบคุมคนพวกนี้ได้แล้ว
แต่การจัดการกับทรราชนั้น ใช้แค่สองสิ่งนี้คงจะน้อยเกินไป
ที่ทรราชเป็นทรราช ก็เป็นเพราะมีเล่ห์เหลี่ยมที่ยากจะคาดเดา และมีความระแวงสงสัย ทำให้รู้จักที่จะแสวงหาข้อดีและหลีกเลี่ยงข้อเสีย และสามารถแสวงหาประโยชน์สูงสุดให้แก่ตัวเองจากการทำงานทุกอย่าง
เขามีความหยิ่งผยองและรักศักดิ์ศรีในตนเอง
หยิ่งทระนงจนกระทั่งถึงขั้นว่าสามารถมองทุกคนรอบตัวเป็น “คู่ต่อสู้” ไปเสียหมด
สิ่งที่นำให้กระดูกสันหลังของเขามีความยืดหยุ่นมากกว่าคนที่ตรงไปตรงมาอย่างโจวจุนหลง
ดังนั้น ในทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ต่อให้โจวเย่นชิวจะทรยศหักหลัง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังคงยืนเหยียบเหลือสองแคมได้อย่างปลอดภัย
ถึงขั้นว่า ตอนที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ขึ้น เขาก็ยังมีใจที่จะเข้ามาซื้อที่ดิน เพื่อผูกมิตรกับเฉินตง
เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ การรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางเช่นนี้ กระดูกที่รู้จักยืดหยุ่นเช่นนี้
ทำให้เฉินตงรู้ดีว่า เขาไม่อาจให้โจวเย่นชิวเข้ามายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเขาอย่างง่ายดายได้
วิธีที่ดีที่สุด คือการตีกระดูกสันหลังของโจวเย่นชิวให้หัก ให้เขายอมละทิ้งความหยิ่งผยองและศักดิ์ศรีของตัวเองลง ให้เขารู้ว่าใครคือลูกน้อง และใครคือเจ้านาย
มิเช่นนั้น เฉินตงกล้ารับประกันได้เลยว่า ต่อให้ตอนนี้โจวเย่นชิวจะยอมก้มหัวให้กับเขา แต่ในอนาคต หากเฉินเทียนเซิงกลับเข้ามาในเมืองนี้อีก โจวเย่นชิวก็จะต้องหักหลังเขาอย่างแน่นอน
เมื่อครู่ที่โจวเย่นชิวคุกเข่าลง ถือว่าเขายอมละทิ้งความหยิ่งผยองและศักดิ์ศรีจนหมดสิ้นแล้ว กระดูกสันหลังของเขาหักลงแล้ว
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก็จะสามารถควบคุมเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว !
“คิดไม่ถึงเลยว่าโจวเย่นชิวจะโหดเหี้ยมได้ถึงขนาดนี้ รู้สึกคลื่นไส้จริงๆ กินไม่ลงแล้ว”
ในหัวของเฉินตงมีภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา จนทำให้เขารู้สึกอยากจะอาเจียน
ท่านหลงยิ้มออกมาอย่างสบายใจ : “กระผมเองก็รู้สึกเช่นนี้”
เฉินตงมองดูท่านหลงที่ยังคงกินข้าวต้นที่อญุ่ในมือของตนเองอย่างไม่สะทกสะท้าน ถึงขั้นว่าหยิบตีนไก่พะโล้ที่แม่ของเขาทำเอาไว้ขึ้นมาแทะ เขาจึงเริ่มรู้สึกสงสัยในสิ่งที่ท่านหลงพูด
ตอนนี้เอง
หลี่หลานเดินเข้ามาในบ้าน
เธอมีท่าทีเคร่งขรึม แววตาดูซับซ้อน เดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“แม่ครับ”
เฉินตงสังเกตเห็นหลี่หลาน และยิ่งไปกว่านั้นคือสังเกตเห็นสีหน้าท่าทีของหลี่หลานด้วย แต่ก็ยังคงแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า : “เช้าขนาดนี้ ไปไหนมาหรือครับ ?”
“แม่ออกไปเดินเล่นหน่ะ”
ท่าทีของหลี่หลานอ่อนโยนลง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย : “เมื่อกี้แม่เจอโจวเย่นชิวที่ด้านนอก เขามาที่บ้านของเราหรือ ?”
“ครับ” เฉินตงพยักหน้า แล้วชี้ไปที่อาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะ : “แม่ครับ ผมกินอิ่มแล้ว ขอตัวไปบริษัทก่อนนะครับ”
เมื่อออกจากบ้านไป เฉินตงก็ส่งข้อความกลับมาให้ท่านหลง เพื่อให้ท่านหลงสืบดูสถานการณ์ของแม่ให้กระจ่าง จากนั้นให้รีบรายงานเขาทันที
ขณะที่เฉินตงกำลังจะไปบริษัท จู่ๆ ก็มีหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่รู้จักโทรเข้ามา
เมื่อเห็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่รู้จักนั้น
เฉินตงก็ขมวดคิ้วแน่นทันที หมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่รู้จักนี้ ดูเหมือนก่อนหน้านี้เขาจะเคยรับสายแล้วครั้งหนึ่ง
เป็นเบอร์ของหวางหนันหนัน !
“สวัสดีครับ” ในที่สุดเฉินตงก็ตัดสินใจที่จะรับสาย
“มะรืนนี้ฉันก็จะไปแล้ว”
หวางหนันหนันหัวเราะพลางพูดว่า : “ไม่ต้องถามนะว่าฉันจะไปไหน”
เฉินตงพูดว่า : “ผมเองก็ไม่อยากถาม มีธุระอะไรหรือเปล่า ?”
บทสนทนาในสายโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง
หวางหนันหนันจึงพูดขึ้นว่า : “มะรืนนี้มาส่งฉันได้ไหม ?”
“ขอโทษด้วย ผมไม่มีเวลา”
ตู๊ด !
เฉินตงวางสายโทรศัพท์อย่างไม่แยแส
อดีตมันผ่านไปแล้ว หากในขณะที่ยังมีรอยบาดแผลอยู่เต็มตัว การกลับไปรื้อฟื้นนึกถึงมันอีกครั้งหนึ่ง ก็เท่ากับว่ากำลังทำให้บาดแผลฉีกขาดขึ้นมาอีกครั้ง
เรื่องบางเรื่อง คนบางคน ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นเหมือนในอดีตได้อีกแล้ว
ในขณะเดียวกัน
ที่คลับสี่ยิ่น
ในลานป่าไผ่ ดอกไม้กำลังเบ่งบาน มีสีสันที่สวยสดงดงาม
กู้ชิงหยิ่งสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กำลังฮัมเพลงไปพลาง พร้อมทั้งตัดแต่งและรดน้ำต้นไม้ด้วยความละเอียดลออไปพลาง
แสงอาทิตย์สาดส่องมา
ทำให้ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า สวยงามราวกับภาพวาด
หลังจากที่ได้ล่วงรู้ถึงการวางแผนของเฉินตงแล้ว หลายวันมานี้กู้ชิงหยิ่งก็อารมณ์ดีไม่น้อย
เธอไม่ได้ติดต่อกันเฉินตง เพราะเกรงว่าตัวเธอเองจะอดไม่ได้ที่จะพลั้งปากเอ่ยถามถึงรายละเอียดในการขอแต่งงานของเฉินตง
หากเป็นเช่นนี้ อาจทำให้ความประหลาดใจต้องลดน้อยลง
ในใจของกู้ชิงหยิ่งนั้น เฝ้ารอการขอแต่งงานอย่างใจจดใจจ่อ
ภายในบ้านที่มีกลิ่นอายแบบโบราณ และมีกลิ่นหอมของไม้จันทน์โชยอ่อน
กู้โก๋ฮั๋วกำลังนั่งจิบชาและชื่นชมดอกไม้อย่างผ่อนคลายอยู่กับหลี่หวั่นชิง
โดยปกติแล้วการที่ทั้งสามคนจะได้พักผ่อนอย่างสงบร่วมกันนั้นถือว่ายาก
“ที่รัก คืนนั้นผมเมาจนไม่ได้สติเลยหรือ ?” หลังจากสร่างเมาแล้ว สองสามวันมานี้ยังคงมีภาพที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ปรากฏขึ้นมาในหัวของกู้โก๋ฮั๋วเป็นครั้งคราว
แต่เพียงแค่ภาพไม่กี่ภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้น ก็พอจะทำให้เขาหน้าแดงและหัวใจเต้นเร็วได้แล้ว
เขาพยายามอดทนมานาน แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามขึ้นมา
หลี่หวั่นชิงเลิกคิ้วแล้วหันมองเขาด้วยความประหลาดใจ : “คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ ? จริงๆ แล้วเฉินตงตั้งใจที่จะมาหาคุณเพื่อแสดงความขอบคุณ และเพียงแค่ต้องการใช้โอกาสในคืนนั้น เป็นการพบปะกับผู้ใหญ่เป็นครั้งแรก แต่คุณกลับดื่มจนเมา กระทั่งว่าเอาแต่พูดบังคับให้เขาตกลงเรื่องการแต่งงานอยู่ตลอดเวลา”
“ผม นั่นเป็นเพราะผมคิดว่าเจ้าหมอนั่นมาก็เพื่อที่จะนำเงินไม่กี่ร้อยล้านมาให้เท่านั้น”
กู้โก๋ฮั๋วเกาหัวแล้วพูดแย้งว่า : “คุณลองคิดดูสิ เงินแค่ไม่กี่ร้อยล้านนั่นมีความหมายอะไรกับครอบครัวเรา แต่สำหรับฐานะครอบครัวของตงเอ๋อแล้ว ไม่กี่ร้อยล้านก็ถือเป็นเงินจำนวนมหาศาล ตอนนั้นผมปากไวไปสักหน่อย ใครจะไปคิดว่าความหวังดีของผมจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายกันล่ะ ?”
“เป็นเพราะคุณดื่มมากจนขาดสติ”
หลี่หวั่นชิงทำสีหน้าเบื่อหน่าย ท่าทีของเธอยังคงสง่างาม และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า : “ถ้าคืนนั้นไม่ใช่เพราะฉันขวางเอาไว้ล่ะก็ คำพูดพวกนั้นของคุณ คงจะต้องทำให้ลูกสาวของเราเสียใจไม่น้อย ในฐานะที่คุณเป็นพ่อ ตรงไหนที่แสดงออกถึงความเป็นพ่อของคุณกัน”
กู้โก๋ฮั๋วหน้าแดงก่ำ เขาเกาหัวแล้วยิ้มออกมา แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากโต้เถียงอีก
จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา : “แล้วคุณปลอบเสี่ยวหยิ่งอย่างไร ? สองสามวันมานี้เด็กคนนี้ถึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้ !”
หลี่หวั่นชิงยิ้มเล็กน้อย : “ตงเอ๋อคนนี้เป็นคนรู้จักคิด ถ้าอาศัยเพียงแค่ฉันคนเดียว มีหรือที่จะปลอบใจเสี่ยวหยิ่งได้ง่ายดายขนาดนี้ เป็นเพราะตงเอ๋อส่งข้อความมาหาเสี่ยวหยิ่งหนึ่งฉบับ บอกว่าปลายเดือนนี้เขาจะขอเสี่ยวหยิ่งแต่งงาน”
“ขอแต่งงาน ? ปลายเดือน ?”
สีหน้าของกู้โก๋ฮั๋วเปลี่ยนไปทันที เขาขมวดคิ้วแน่น : “ถ้าเช่นนั้นไม่ใช่ว่าพวกเราจะต้องอยู่ที่นี่จนกระทั่งถึงปลายเดือนหรอกหรือ ? แล้วเรื่องที่ตระกูลเฉินจะทำเช่นไร ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่หวั่นชิงหายไปในทันที และมีใบหน้าของความโกรธเข้ามาแทนที่
ปัง !
กาน้ำชาดินเผาที่อยู่ในมือถูกกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง
หลี่หวั่นชิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “มัวแต่คิดถึงแต่เรื่องของตระกูลเฉิน ธุรกิจของคุณสำคัญขนาดนี้เลยหรือ ? หรือตอนนี้พวกเรามีเงินไม่พอใช้หรืออย่างไร อีกหน่อยจะเอาใส่โลงไปด้วยหรืออย่างไร ? ฉันขอบอกคุณเอาไว้เลยนะว่า ลูกสาวของเราต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด แม้แต่ตระกูลเฉินก็ต้องหลีกทางให้ !”
“ตอนนี้เป้าหมายที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องจัดการให้เรียบร้อยก็คือ จัดการเรื่องงานแต่งงานของลูกสาวเราให้เรียบร้อย เด็กคนนี้ถ่วงเวลามาหลายปีแล้ว พูดได้ว่าเป็นการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน แล้วคุณผู้ซึ่งเป็นพ่อยังกล้าเมินเฉยอีก คืนนี้อย่ามาโทษฉันก็แล้วกันนะถ้าหากฉันจะให้คุณนอนที่โซฟา !”
“โธ่ ผมจะไปกล้าได้อย่างไร ผมเพียงแค่รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยที่จะได้รับโอกาสเข้าพบตระกูลเฉินสักครั้งหนึ่ง ถ้าหากต้องพลาดโอกาสไปเช่นนี้ก็ต้องรู้สึกเสียดายเป็นธรรมดา”
กู้โก๋ฮั๋วดึงมือของหลี่หวั่นชิงเพื่อขอความเห็นใจ เมื่อเห็นสีหน้าของหลี่หวั่นชิงยังเต็มไปด้วยความโมโห เขาก็พูดด้วยท่าทีจริงจัง : “ได้ๆๆ เอาตามที่คุณว่าก็แล้วกัน รอให้เฉินตงขอเสี่ยวหยิ่งแต่งงานให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วพวกเราค่อยไปกัน”
ขณะที่พูด เขาก็ตบหน้าผากของเขา : “อย่างไรก็ยังรู้สึกไม่ยุติธรรมกับเสี่ยวหยิ่งอยู่ดี อุตส่าห์รอมาตั้งสามปี พยายามอดเปรี้ยวไว้กินหวาน แต่สุดท้ายกลับเป็นการแต่งงานครั้งที่สองของเฉินตงเสียนี่”
“หุบปาก !” หลี่หวั่นชิงทำสีหน้าเย็นชา “ถ้ายังพูดถึงเรื่องการแต่งงานครั้งที่สองอีกล่ะก็ ฉันจะให้คุณนอนนอกบ้าน !”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังโต้เถียงกัน
ที่ด้านนอกลานป่าไผ่ มีพนักงานของคลับสี่ยิ่นคนหนึ่ง กำลังเดินจ้ำอ้าวมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากเคาะประตูแล้ว
ไม่ช้า กู้ชิงหยิ่งก็เปิดประตูให้
“คุณหนูกู้ ด้านนอกมีคนฝากของสิ่งนี้มาให้คุณครับ”
พนักงานยื่นซองจดหมายให้แก่กู้ชิงหยิ่ง จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
กู้ชิงหยิ่งรู้สึกสงสัย จึงเปิดซองจดหมายออก
เมื่อเห็นของที่อยู่ในซองจดหมาย รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้ารูปไข่ของเธอก็จางหายไปในทันที เปลี่ยนเป็นใบหน้าของความโศกเศร้าอย่างสุดแสน