The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - ตอนที่ 182
เมื่อเห็นท่าทีของกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ตรงหน้า เฉินตงก็รู้สึกเก้อเขิน
เขาคิดว่าเขาและกู้ชิงหยิ่งต่างฝ่ายต่างก็ยินยอมพร้อมใจแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาคิดไปเองฝ่ายเดียว ทำให้เข้าใจผิด
เฉินตงเกาหัวอย่างเก้อเขิน : “เสี่ยวหยิ่ง ขอโทษด้วย ผมเข้าใจผิดเอง ผมขอตัวกลับก่อน”
“เฉินตง !”
จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งก็ดึงมือของเฉินตงเอาไว้ จากนั้นจึงยืนขึ้นแล้วพูดอย่างจริงจังว่า : “ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ฉันก็เป็นคนของคุณ แต่ฉันเพียงแค่หวังว่า อยากจะเก็บครั้งที่ดีที่สุดไว้คืนวันแต่งงาน”
“ผมเคารพในการตัดสินใจของคุณ” เฉินตงพยักหน้าอย่างจริงจัง แต่แววตาดูผิดหวังเล็กน้อย
ตอนนี้ เขารู้สึกสับสนจริงๆ
ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่ากู้ชิงหยิ่งทำอะไรผิด
เพียงแต่รู้สึกว่าการกระทำของเขาเมื่อครู่ ช่างน่าละอายจริงๆ
ทันทีที่พูดจบ
จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็เขย่งเท้าขึ้น จากนั้นจึงใช้ริมฝีปากสีแดงระเรื่องของเธอ จูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากของเฉินตง
เฉินตงผงะไปทันที
“ขอบคุณนะคะ” กู้ชิงหยิ่งยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงปล่อยเฉินตง แล้วบิดขี้เกียจ ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า : “เอาล่ะ คุณรีบกลับบ้านเถอะค่ะ กลับไปพักผ่อนให้สบาย ช่วงก่อนหน้านี้คุณเหนื่อยมามากแล้ว”
เฉินตงที่ยืนอึ้งอยู่ ค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบริมฝีปาก
เมื่อครู่ เขารู้สึกราวกับฝันไปจริงๆ
ไออุ่นและกลิ่นหอมจางๆ ที่ประทับอยู่ที่หลงเหลืออยู่ที่มุมปาก ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
เขาเผยรอยยิ้มออกมา : “ครับ คุณก็รีบพักผ่อนนะ”
ระหว่างทางกลับบ้าน เฉินตงยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเป็นครั้งคราว จากนั้นจึงยิ้มเล็กน้อยออกมา
นี่ถือเป็นความสุขที่คาดไม่ถึงที่เกิดขึ้นในคืนนี้หรือไม่ ?
ถึงแม้จะไม่ได้กระชับความสัมพันธ์กับกู้ชิงหยิ่งให้แน่นแฟ้นไปอีกขั้น แต่เขากลับไม่รู้สึกผิดหวัง
แต่กลับรู้สึกว่าตนเองไม่ให้เกียรติกู้ชิงหยิ่งเท่าที่ควร
กู้ชิงหยิ่งรอเขามากว่าสามปี แล้วทำไมตัวเขาเองจะทนรอกู้ชิงหยิ่งอีกสักหน่อยไม่ได้ ?
ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ควรจะต้องเก็บเอาไว้ใช้ในเวลาที่มีค่ามากที่สุด นี่ถึงจะงดงามและสมบูรณ์แบบ
เฉินตงลูบจมูกแล้วพึมพำออกมาว่า : “ถึงเวลาที่จะต้องวางแผนเรื่องการแต่งงานแล้ว”
……
สัปดาห์ต่อมา
เฉินตงเริ่มง่วนอยู่กับการทำงานอีกครั้ง
ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ตึกใหญ่ทั้งสี่แห่งสามารถขายออกจนหมด ไท่ติ่งเองก็กำลังเตรียมการเปิดขายล่วงหน้าในครั้งต่อไป
ส่วนเฉินตงเองก็มีความคิดที่จะริเริ่มโครงการอื่นๆ ถึงขั้นที่ว่าคิดจะก้าวข้ามไปสู่ธุรกิจในสายอื่นๆ
หลังจากได้เงินทุนคืนมาแล้ว จะต้องนำมาสร้างรายได้เพิ่มเติม จึงจะมีเงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
แต่หากจะอาศัยเพียงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง คงยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เฉินตงสามารถส่งกระดาษคำตอบที่ไร้ข้อผิดพลาดและมีเพียงหนึ่งเดียวให้แก่ตระกูลเฉินได้ !
เฉินเทียนเซิง เฉินเทียนหย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นหัวกะทิของตระกูลเฉิน ได้รับการศึกษาที่อยู่ในระบบที่ยอดเยี่ยมของตระกูลเฉินมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านของความรู้หรือทางด้านของเส้นสาย ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับสูงทั้งสิ้น
เรื่องที่เป็นเรื่องที่เฉินตงไม่อาจปฏิเสธได้
สิ่งที่เขาสามารถทำได้คือ พยายามอย่างสุดกำลังที่จะไล่ตามให้ทัน และแซงหน้าในที่สุด !
ช่วงเย็นหลังเลิกงาน
บนระเบียงชั้นบนภายในบ้าน
“คุณชาย คุณตัดสินใจจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจทางด้านการเงินจริงๆ หรือครับ ?”
ท่านหลงมองดูเฉินตงที่นอนตากลมเย็นอยู่บนเก้าอี้ด้วยความประหลาดใจ
“ฉันอยากที่จะทำความเร็วแซงหน้าพวกหัวกะทิของตระกูลเฉินพวกนั้น ถ้าอาศัยแค่ไท่ติ่งเพียงอย่างเดียว เห็นทีจะช้าเกินไป”
เฉินตงวางมือทั้งสองข้างประสานไว้ด้านหลังศีรษะของเขา
ตอนนี้ในเมืองนี้ ไท่ติ่งถือเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าไปแล้ว
เทียบชั้นได้กับบริษัทของโจวเย่นชิวและโจวจุนหลง
ขอแค่การพัฒนาภาคตะวันตกของเมืองแล้วเสร็จ การจะก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ถึงแม้ว่านั้น ก็แค่ใช้วิธีพัฒนาที่ดิน มาดำเนินการซ้ำเช่นนี้ต่อไป
พูดง่ายๆ ว่า ตอนนี้เรือใหญ่อย่างไท่ติ่งเป็นรูปเป็นร่างแล้ว การจะทำให้แล่นต่อไปด้านหน้านั้นไม่ใช่เรื่องยาก
แต่เฉินตงกลับยังไม่รู้สึกพึงพอใจเรือลำนี้
ท่านหลงขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิด จากนั้นตึงพูดออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า : “คุณชาย กระผมคิดว่า เงินทุนที่มีอยู่ในมือของพวกเราตอนนี้ การก้าวเข้าสู่แวดวงการเงินในเวลานี้ อาจยังมีความเสี่ยงอยู่”
“การทำธุรกิจก็เหมือนอยู่ในสนามรบ หากไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับความเสี่ยง แล้วจะคว้าชัยชนะ ขึ้นสู่ตำแหน่งราชาได้อย่างไร ?” เฉินตงยิ้มอย่างเบิกบาน แต่ในแววจากลับเต็มคุกรุ่นไปด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้ที่ดุเดือด
สายลมยามค่ำคืนพัดเย็นสบาย
มีประกายเกิดขึ้นในแววตาของท่านหลง จนท้ายที่สุดเข้าก็ถอนหายใจออกมา
“ที่คุณชายพูดก็ถูก ถ้าหากจะก้าวเข้าสู่แวดวงการเงินจริงๆ กระผมก็มีคนที่เหมาะสมคนหนึ่งอยากจะแนะนำให้คุณชายได้รู้จัก”
“ใคร ?” เฉินตงรู้สึกยินดี
การก้าวเข้าสู่แวดวงการเงินถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับเขา
หนทางข้างหน้าราวกับมีภูเขาลูกใหญ่ที่ต้องก้าวผ่าน ถ้าหากปล่อยให้เขาก้าวเดินไปด้วยตนเอง เกรงว่าตัวเขาเองคงไม่มีความมั่นใจมากนัก
ด้วยประสบการณ์ของท่านหลง คนที่เขาจะแนะนำให้คิดว่าคงจะต้องใช้ได้เลยทีเดียว
“ตระกูลฉินแห่งซีสู่ มีลูกชายหนึ่งคน กระผมมีโอกาสเจอกับเขาหลายครั้ง ลูกชายคนนี้ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งเลย”
แววตาของท่านหลงลึกซึ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม : “แต่ว่า ลูกชายคนนี้มีความพิเศษเล็กน้อย เกรงว่าคุณชายจะต้องไปเชิญด้วยตนเอง”
“ตระกูลฉินแห่งซีสู่ ?”
เฉินตงลูบปากอย่างใช้ความคิด
ในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทีแปลกๆ : “ท่านหลง นี่นายกำลังให้โจทย์ที่ยากกับฉันอยู่นะ ฉันจำได้ว่าตระกูลฉินเองก็มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน อีกทั้งยังถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายต่อยี่เคอ กรุ๊ปของตระกูลเฉินอีกด้วย”
หลังจากทุ่มเทเวลาตลอดสามปีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองประธานได้ ข้อมูลที่เฉินตงได้รับมักจะเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ใครก็ยากจะเทียบได้
ตระกูลฉินแห่งซีสู่ ถือว่าไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวงเลย
เศรษฐีอันดับหนึ่ง……แห่งซีสู่ !
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การดูแลของเขายังมีชื่อเสียงเป็นอันดับที่สองอีกด้วย และมีการต่อสู้กับกับยี่เคอ กรุ๊ปในเมืองหัวเมืองใหญ่ๆ มาตลอดหลายปี
ด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ จึงไม่อาจคาดหวังที่จะให้ตระกูลเฉินและตระกูลฉินร่วมมือกันได้
อีกทั้งหากเขาไปเชิญคนของตระกูลฉินในขณะที่อยู่ในฐานะของผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉินแล้วล่ะก็ นี่ไม่เท่ากับว่า……วิ่งเข้าไปปะทะกับไฟหรอกหรือ ?
“แต่คนที่กระผมคิดว่าเหมาะสม มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น” ท่านหลงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
เฉินตงลูกจมูกของเขา จากนั้นจึงยิ้มแล้วพยักหน้า : “ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะรีบไปตระกูลฉิน ส่วนเรื่องจะเชิญได้หรือไม่นั้น ให้แล้วแต่โชคชะตาก็แล้วกัน”
ถึงแม้ปากจะพูดว่าแล้วแต่โชคชะตา แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
เฉินตงรีบไปที่บริษัท จากนั้นจึงมอบหมายงานที่เหลือให้แก่เสี่ยวหม่า จากนั้นจึงรีบเดินทางไปยังสนามบินพร้อมกับท่านหลงและคุนหลุน
ขณะขึ้นเครื่องบิน เขาก็โทรศัพท์เพื่อบอกกล่าวกู้ชิงหยิ่ง
หลังจากเครื่องบินลอยอยู่เหนือน่านฟ้าแล้ว เฉินตงก็หยิบข้อมูลต่างๆ ที่ท่านหลงเตรียมไว้ให้ออกมาดู
“ฉินเย่ ?”
เฉินตงพึมพำ ยิ่งเมื่อเห็นอายุที่ระบุเอาไว้ในเอกสารข้อมูล เขาก็อึ้งไป
22 ปี ?
“ท่านหลง นายแน่ใจหรือว่าไม่ได้หาคนมาผิด ?” เฉินตงลองเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
อายุ 22 ปี ก็เพิ่งจบมหาวิทยาลัยนะสิ !
เด็กวัยรุ่นอายุขนาดนี้ เป็นคนที่ท่านหลงกล่าวว่าเหมาะสมที่สุดจริงหรือ ?
“คุณชาย ความสามารถของเขาไม่อาจใช้อายุเป็นตัววัดได้”
ท่านหลงยิ้มด้วยท่าทีแปลกๆ “ความน่าเชื่อถือของตระกูลในธุรกิจการเงิน คุณคงจะเคยได้ยินมาบ้าง ?”
เฉินตงหรี่ตาลง จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างประหลาดใจ : “ความน่าเชื่อถือน่าจะเป็นเสาหลักที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ตระกูลเฉินสามารถครองตำแหน่งเศรษฐีอันดับหนึ่งของซีสู่ได้สินะ ?”
ท่านหลงพยักหน้า จากนั้นจึงพูดอย่างสงบว่า : “ตอนที่ฉินเย่อายุ 20 ปี เขาได้อาศัยความน่าเชื่อถือของตระกูลเพื่อสร้างชื่อเสียง และกวาดรายได้มาหลายหมื่นล้าน ! อีกทั้งยังได้รับความเชื่อถือให้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งหัวหน้ามูลนิธิตระกูลฉินอีกด้วย !”
เปรี้ยง !
เฉินตงเหมือนถูกฟ้าผ่า สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เด็กวัยรุ่นอายุ 20 ปี ถึงจะพูดว่าเขาอาศัยชื่อเสียงของครอบครัว แต่การที่จะสร้างรายได้กว่าหมื่นล้าน ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถอันน่าทึ่งของเขาได้
มีเช่นนั้น ทำไมสถานการณ์เดียวกัน กลับไม่เป็นคนอื่นที่ทำสำเร็จ แต่กลับเป็นเขา ?
เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอด
เขาเก็บเอกสารทั้งหมด เพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอ่านอีกต่อไป
เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความสามารถของฉินเย่ได้แล้ว !
และในขณะเดียวกันกับที่เฉินตงกำลังเดินทางไปยังซีสู่
ที่เขตวิลล่าเขาเทียนซาน ก็มีรถเบนซ์มายบัคสี่ดำหนึ่งคัน เครื่องเข้ามาจอดบริเวณด้านหน้าประตูใหญ่
“หลานเอ๋อ พ่ออยากเจอหน้าลูกสักครั้ง !”