The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 351 บางอาจ! คนนอกไสหัวออกไป!
ตลอดทาง
เฉินตงสามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินเต้าหลิน
เป็นความรู้สึกที่เหมือนรับรู้ได้ถึงความเย็นเฉียบที่แผ่ซ่านออกมา เมื่อนั่งอยู่ข้างๆ
เป็นความรู้สึกที่น่าขนลุก และหนาวเหน็บเข้าไปถึงในกระดูก
เฉินตงรู้ดีว่า ถึงขั้นอายุของพ่อแล้ว
นอกเสียจากตัวเขาเองจะเต็มใจ มิเช่นนั้นคนอื่นแทบจะไม่สามารถสังเกตอารมณ์ของเขาออกได้เลย
ทว่าตอนนี้ ความรู้สึกที่แสดงออกมาชัดเจนขนาดนี้ ทำให้รู้ได้ทันทีว่า พ่อเริ่มที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่อยู่แล้ว
มีคนของตระกูลเฉินและคนรับใช้ทักทายเฉินเต้าหลินไปตลอดทาง
แต่เฉินเต้าหลินกลับไม่ได้สนใจ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ราวกับสิงโตที่กำลังข่มอารมณ์โกรธเอาไว้
ไม่ช้า ห้องอภิปรายใหญ่อันงดงามก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา
ห้องอภิปรายนี้อยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ของเจ้าบ้านมากนัก
สถานที่ทั้งสองดูสมดุลกัน และถือเป็นจุดศูนย์กลางของคฤหาสน์ขนาดหนึ่งหมื่นเอเคอร์ของตระกูลเฉิน ดูราวกับดาวและเดือนที่อยู่คู่กัน
บริเวณด้านหน้าห้องอภิปรายใหญ่ที่สง่างามและดูเป็นทางการ มียามคอยยืนประจำการอยู่เป็นแถวๆ
สิ่งนี้ทำให้ห้องอภิปรายใหญ่ที่เป็นทางการนี้ ยิ่งดูน่าเกรงขามมากขึ้น
ส่วนสมาชิกตระกูลเฉินและคนรับใช้อื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ กลับไม่มีใครกล้าสบตา ต่างก็ค่อยๆ ก้มหน้าลง แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
การประชุมของสมาชิกระดับสูงในตระกูลเฉิน โดยปกติแล้วหากสมาชิกตระกูลเฉินหรือคนรับใช้มองดูห้องอภิปราย เท่ากับเป็นการไม่ให้ความเคารพ
เฉินตงมองขึ้นไปยังห้องอภิปรายที่สง่างาม ดวงแววตาที่เปล่งประกายแวววาว ราวกับมีดวงไฟกำลังลุกโชนอยู่ในดวงตา
นี่คือ……สถานที่ที่กำหนดชะตาชีวิตของตระกูลเฉินอย่างนั้นหรือ?
เมื่อเดินเข้าไปไกล บรรยากาศอันน่าเกรงขามนั้น ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
“สวัสดีครับท่านเจ้าบ้าน!”
ยามจำนวนหนึ่งร้อยคนที่ยืนประจำการอยู่ที่ห้องอภิปราย ส่งเสียงตะโกนขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
เป็นเสียงที่ดังก้อง ราวกับเสียงฟ้าผ่า
หนึ่งในยามที่เป็นชายวัยกลางคน รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วจึงโค้งคำนับพร้อมพูดว่า “รบกวนพวกของท่านหลง และคุนหลุนทั้งสี่คนรออยู่ด้านนอกก่อน ตอนนี้สมาชิกตระกูลเฉินกำลังประชุมอยู่ มีกฎระเบียบที่เคร่งครัดเป็นอย่างมาก มีเพียงท่านเจ้าบ้านเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้”
เขาไม่รู้จักเฉินตงและฟ่านลู่ รู้จักเพียงแค่ท่านหลงและคุนหลุน
แต่การประชุมของสมาชิกตระกูล แม้แต่ท่านหลงและคุนหลุนเองก็ไม่สามารถเข้าไปได้
เพียงแต่ทั้งสี่คนยืนอยู่ด้านหลังของเฉินเต้าหลินเท่านั้น ดังนั้นน้ำเสียงที่พูดออกมา จึงมีความเกรงใจบ้างเล็กน้อย
“ตงเอ๋อ เข้าไปเถอะ” เฉินเต้าหลินกัดฟันพูดออกมาด้วยความโกรธ
เฉินตงเข็นรถเข็นเข้าไปด้านใน
ส่วนพวกของท่านหลงนั้น ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
เมื่อยามวัยกลางคนเห็นเข้าก็รู้สึกตกใจ
“ท่านเจ้าบ้าน นี่เป็นการประชุมของสมาชิกตระกูล ตอนนี้พวกของคุณหญิงใหญ่กำลังรวมตัวกันอยู่ในห้องอภิปราย ส่วนคนนอก……”
เผียะ!
ยังไม่ทันจะพูดจบ
เฉินเต้าหลินก็ใช้หลังมือตบลงไปบนหน้าของคนรับใช้อย่างแรง
แรงที่มหาศาล ทำให้ใบหน้าคนรับใช้บวมเป่งไปครึ่งซีก และมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
“เป็นแค่คนรับใช้ กล้ามาขวางฉันเหรอ? ฉัน เฉินเต้าหลิน มีฐานะเป็นถึงเจ้าบ้าน จะพาคนเข้าไปในห้องอภิปรายสักคน นายกล้าสาระแนหรือยังไง?”
เฉินเต้าหลินหันมองคนรับใช้ด้วยแววตาที่เฉียบคมและโกรธเคืออย่างรุนแรง “เขาคือลูกชายฉัน เฉินตง เข้าไปได้หรือไม่ได้?”
ฮะ……
ทันทีที่ได้ยิน คนรับใช้จำนวนหนึ่งร้อยคนที่อยู่ด้านหน้าห้องอภิปราย ต่างก็ตกตะลึงพร้อมกันในทันที
คนรับใช้วัยกลางคนที่ถูกตบหน้าถอดสี รีบก้มหน้าก้มตาแล้วเดินถอยหลังไป
เฉินตงเข็นเฉินเต้าหลินเข้าไปในห้องอภิปราย
ห้องอภิปรายสามทางเข้า บรรยากาศเคร่งขรึม
ทั้งห้องอภิปรายเงียบสงัด
หลังจากเข้าไปในห้องอภิปราย เสียงซุบซิบนินทาก็ค่อยๆ ดังขึ้น
“ไร้เหตุผลสิ้นดี! ช่างไร้เหตุผลจริงๆ! เจ้าบ้านสามารถทำตามอำเภอใจเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”
“ตระกูลเฉินยึดถือเรื่องความกตัญญูเป็นสำคัญ ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าบ้าน ก็ควรทำตัวเป็นแบบอย่าง แต่ทำไมกลับแหกกฎ และรังแกคุณหญิงใหญ่เช่นนี้?”
“สารเลว! ลูกสวะที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง คิดที่จะทำร้ายและเข่นฆ่าคุณหญิงใหญ่หรือ? ยังมีเจ้าบ้านอีก เขาหูหนวกตาบอดไปแล้วหรือยังไง?”
……
สีหน้าของเฉินตงเคร่งขรึมลง และรู้สึกไม่พอใจ
ดูเหมือนสิ่งที่เรียกว่าการประชุมของสมาชิกตระกูล จะเป็นการประชุมใหญ่ที่คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินจัดขึ้น เพื่อมีจุดประสงค์จงใจที่จะประณามเสียมากกว่า?
“ตงเอ๋อ เดี๋ยวลูกไม่ต้องพูดอะไร พ่อจะเป็นคนพูดทั้งหมดเอง!”
เฉินเต้าหลินพูดออกมาทันทีด้วยน้ำเสียงที่ดุดันและเย็นชา “ยัยแก่นี่ต้องการรวบรวมคนเพื่อมากดดันฉัน วันนี้ฉันก็จะขอใช้โอกาสนี้ จัดการกับพวกเขาสักครั้ง มิเช่นนั้น หลายปีมานี้คงคิดว่านิสัยของฉันอ่อนแอลงกว่าสมัยก่อนมาก! พวกเขาคงเกือบลืมไปแล้วว่า ตอนนั้นฉันขึ้นมานั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้านได้อย่างไร!”
หลังจากพูดจบ ดูเหมือนบรรยากาศทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง
เฉินตงเงยหน้าขึ้นมองแสงแดดที่ส่องสว่างอยู่เหนือศีรษะอย่างไม่รู้ตัว
ดูเหมือนพระอาทิตย์ดวงนี้ ช่างหนาวเหน็บจริงๆ
ค่อยๆ เข้าใกล้ห้องอภิปรายเข้าไปทุกทีๆ
เสียงของความวุ่นวายก็ค่อยๆ ดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
แต่หลังจากสิ้นเสียงคำว่า “เจ้าบ้านมาแล้ว” บรรยากาศภายในห้องอภิปรายก็เงียบสงัดลงทันที
สายตาทุกคู่ค่อยๆ หันไปจับจ้องเฉินตงและเฉินเต้าหลิน
มีทั้งแววตาที่ตกตะลึง มีทั้งแววตาที่ดูซับซ้อน มีทั้งแววตาที่เป็นกังวล และมีทั้งแววตาที่ดูถูกเหยียดหยาม……
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมา ในที่สุดเฉินตงก็เข้าใจแล้วว่า การจัดลำดับภายในตระกูลเฉินนั้นมีความซับซ้อนเพียงใด
พ่อมีหน้าที่ปกครองบ้านตระกูลเฉินมานานกว่ายี่สิบปี เขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจแค่ไหน ในการรวบรวมตระกูลที่มีความสลับซับซ้อนของลำดับชั้นเช่นนี้ ให้เป็นปึกแผ่นได้?
เขาไม่อาจจินตนาการได้เลย เพราะดูเหมือนว่า เมื่อเขาแอบรวบรวมสถานการณ์ทุกอย่างที่ตนเองต้องเผชิญในตอนนี้เข้าด้วยกัน ดูเหมือนยังเทียบไม่ได้กับที่สถานการณ์ที่พ่อต้องเผชิญอยู่ในตระกูลเฉินแม้สักนิด
ครั้งแรกในชีวิต
เฉินตงมองดูด้านหลังของพ่อแล้วรู้สึกเคารพ
“เป็นอะไรไป? เมื่อครู่กำลังคึกคักกันอยู่ไม่ใช่หรือ?”
เฉินเต้าหลินนั่งอยู่บนรถเข็น ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด
ความน่าเกรงขามที่มีจากตำแหน่งที่สูงส่ง และการสะสมประสบการณ์มาเป็นเวลานาน เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้
เพียงคำพูดประโยคเดียว ทำให้ทุกคนต่างค่อยๆ หลบสายตาเฉินเต้าหลิน
แต่ทว่า
ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังก้าวเข้าไปในห้องอภิปราย
จู่ๆ ก็มีเสียงตะคอกที่ดุดันดังขึ้น
“กล้าดียังไง! ที่นี่คือห้องอภิปรายของตระกูลเฉิน เป็นการประชุมของสมาชิกตระกูล คนนอกไสหัวออกไป!”
เฉินตงหันไปจ้องมองชายวัยกลางคนทันที
ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ข้างๆ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน อีกทั้งคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งของเจ้าบ้าน แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งของชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ธรรมดา
ตอนนี้ชายวัยกลางคนกำลังจับจ้องเขาด้วยความโมโห จ้องมองตาเขม็งด้วยความโกรธ จอมผมสีขาวทั้งสองข้างทำให้เขายิ่งดูเย็นชา แต่ปลายจมูกที่งุ้มของเขา กลับทำให้ชายวัยกลางคนดูร้ายกาจ
“เต้าหลิน ในฐานะที่นายเป็นเจ้าบ้าน ทำไมถึงได้ละเลยกฎระเบียบเช่นนี้ได้?”
คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินซึ่งนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ ค่อยๆ หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเหลือบสายตามามอง
“เหอะ!”
เฉินเต้าหลินแสยะยิ้ม แล้วหัวเราะเยาะออกมา จากนั้นจึงหันไปมองชายวัยกลางคนที่ไว้ผมจอนสีขาว “น้องสาม ฉันพาลูกชายของฉันมาพบญาติผู้ใหญ่ มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ?”
พูดจบ เฉินเต้าหลินก็กวักมือ
“ตงเอ๋อ ยังไม่รีบทำความทำความเคารพอาสามอีก”
“เฉินตงสวัสดีอาสามครับ!”
เฉินตงหันไปพยักหน้าให้ชายวัยกลางคนด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีถ่อมตัว หรือท่าทีประจบประแจง และไม่รู้สึกยินดียินร้าย
ไม่แปลกใจเลยที่นั่งถัดจากคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไป เพราะเป็น “พี่น้อง” รุ่นเดียวกับพ่อนี่เอง
“หึ!”
ชายวัยกลางคนส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา “อย่าใช้คำเรียกที่สนิทสนมขนาดนั้น ฉัน เฉินเต้าชิน ไม่เคยมีหลานชายที่เป็นพวกลูกสวะมาก่อน”
เฉินตงหรี่ตาลงทันที มีไฟโกรธค่อยๆ ปะทุขึ้นในใจของเขา
ส่วนเฉินเต้าหลินนั้นยิ่งโมโหมากขึ้น “เฉินเต้าชิน นายเห็นว่าฉันไว้หน้านายมากเกินไปใช่ไหม?”
ปัง!
ขณะที่พูด เฉินเต้าหลินก็ใช้กำปั้นทุบลงบนพนักแขน “วันนี้ ยังไงเสียลูกชายของฉันก็จะต้องได้เข้ามาข้างใน คำพูดนี้ ฉัน เฉินเต้าหลินเป็นคนพูด ต่อให้คุณหญิงใหญ่จะแขวนขอตาย ฉันก็ไม่มีทางกลับคำพูดเด็ดขาด!”
คำพูดที่ก้องกังวานราวกับเสียงฟ้าผ่า และไม่เปิดโอกาสให้ได้พูดโต้แย้ง
เต็มไปด้วยความเด็ดขาด หยิ่งผยองเฉียบคม
ดวงตาที่หรี่อยู่ทั้งสองข้างของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน เบิกโพลงขึ้นทันที “เต้าหลิน นายจะพูดถึงเต้าชินก็พูดไป ทำไมต้องพาลมาลงที่ฉันด้วย?”
“คุณไม่รู้ดีแก่ใจหรือยังไง?”
เฉินเต้าหลินย้อนถาม จากนั้นจึงหันไปพูดกับเฉินตงว่า “ตงเอ๋อ เข็นพ่อเข้าไป พ่อ เฉินเต้าหลิน อย่างไรเสียก็ต้องนั่งในตำแหน่งเจ้าบ้าน ในการประชุมของสมาชิกตระกูลให้ได้!”
“หากฉันไม่นั่ง ที่นี่วันนี้ ก็จะไม่มีใครกล้านั่ง!”