The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 368 ล้อมรอบ
โคมไฟระย้าคริสทัลส่องแสงประกายแวววาว
บนจอภาพขนาดใหญ่ กำลังฉายภาพยนตร์อยู่
ชายหญิงที่แต่งกายในชุดสูทรองเท้าหนัง และสวมใส่เดรสยาว เดินขวักไขว่ไปมา และคอยยกแก้วแชมเปญที่อยู่ในมือขึ้นทักทายกันอยู่บ่อยๆ
ทุกคนล้วนดูมีระดับ และเฉิดฉายงดงามอย่างมาก
แม้กระทั่งกิริยามารยาทต่างๆ ล้วนแล้วแต่สง่างามและสูงส่ง
ฉู่เจียนเจียสวมใส่ชุดราตรีสีดำ ยกแก้วแชมเปญที่อยู่ในมือทักทายกับนักธุรกิจที่อยู่รอบข้าง และพูดคุยอย่างเป็นมิตร
งานเลี้ยงลักษณะนี้ อาศัยความสามารถของเธอ สามารถรับมือได้อย่างสบายๆ
ส่วนอีกมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง
ที่นี่ดูค่อนข้างจะเงียบสงบกว่า
ฉินเย่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือถือสเต๊กอยู่ และกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
ส่วนจางหยู่หลันที่นั่งอยู่ข้างๆ สวมใส่เดรสสีขาว ด้านข้างประดับด้วยดอกเดซีสีชมพู ดูราวกับนางฟ้า
พูดได้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกและรูปร่างของเธอนั้น ดีที่สุดจนยากจะหาใครเปรียบได้ ฉู่เจียนเจียเองก็ยังเทียบไม่ติด
เพียงแต่ จางหยู่หลันในตอนนี้ กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันมองฉินเย่อย่างจนใจ
“คุณออกไปกับฉันได้ไหม ? ในงานมีคนตั้งมากมายนะ”
ฉินเย่ส่ายหัว “ไม่ไป คุณสวยขนาดนี้ ผมไม่อยากให้คนพวกนั้นพูดว่า ดอกฟ้ากับหมาวัดหรอกนะ”
“ฉินเย่ !”
จางหยู่หลันกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ในหน้างดงามของเธอเต็มไปด้วยความโมโห “คุณคิดอะไรของคุณอยู่กันแน่ ? งอแงแบบนี้มีประโยชน์อะไร ?”
“มีประโยชน์สิ สนุกไง”
ฉินเย่เลิกคิ้ว แล้วยิ้มออกมาอย่างไม่ยินดียินร้าย “เฮ้อ คุณจะมาสนใจผมทำไม ควรจะทำอะไรก็ไปทำซะ”
“คุณ……”
ใบหน้าอันงดงามของจางหยู่หลันแดงก่ำ เธอกระทืบเท้าด้วยความโกรธ แล้วหันหลังเดินจากไป
มองดูจางหยู่หลันที่เดินกลับเข้าไปในฝูงชน และสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนโดยรอบได้
ฉินเย่ก็โยนสเต๊กที่อยู่ในมือกลับลงไปในจาน แล้วเอนตัวลงบนเก้าอี้อย่างสบาย จากนั้นจึงส่ายหัวแล้วยิ้มออกมาอย่างหดหู่ “ผมคู่ควรกับคุณที่ไหนกัน”
“คุณเฉินมาถึงแล้ว !”
ตอนนี้เอง มีเสียงตะโกนดังขึ้นตรงประตูห้องจัดเลี้ยง
ห้องจัดเลี้ยงที่เดิมทีบรรยากาศกำลังคึกคัก จู่ๆ ก็สงบลงทันที
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ประตู
ฉินเย่เองก็เก็บซ่อนความขมขื่นบนใบหน้า แล้วลุกขึ้นเดินตรงไปหา
หลังจากประตูใหญ่เปิดออก
เฉินตงก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง
ท่านหลงและคุนหลุนเดินตามมาทางด้านหลัง
เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับตระกูลจางและตระกูลฉู่ เฉินตงจึงไม่ถือเป็นคนแปลกหน้าสำหรับวงการบันเทิง ยิ่งไปกว่านั้น แขกที่ตระกูลจางและตระกูลฉู่เชิญมาในคืนนี้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอำนาจของบริษัทที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมและอยู่ในแวดวงเดียวกันทั้งสิ้น
แต่เมื่อทุกคนเห็นเฉินตง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง
นี่……ไม่ดูหนุ่มเกินไปหน่อยหรือ ?
จากสิ่งที่ผู้มีอำนาจเหล่านี้เคยได้ยินมา บริษัทด้านสื่อบันเทิงของฉู่เจียนเจียในตอนนี้ เป็นการร่วมทุนกับเฉินตง
และสิ่งที่ฟังดูน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าก็คือ เป็นเพราะเฉินตง ที่ทำให้ยักษ์ใหญ่แห่งวงการบันเทิงทั้งสองอย่างตระกูลจางและตระกูลฉู่ สามารถจับมือ และร่วมลงทุนกันในบริษัทของฉู่เจียนเจียได้ ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเกิดได้ยากยิ่ง
ในความคิดของพวกเขา คนที่สามารถจัดการให้ตระกูลจางและตระกูลฉู่สามารถตกลงร่วมมือกันได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์อย่างสูง อย่างน้อยก็น่าจะเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคน
แต่เฉินตงที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึง
คนหนุ่มขนาดนี้ ทำให้ตระกูลจางและตระกูลฉู่ร่วมมือกันได้ ?
เสียงซุบซิบค่อยๆ ดังขึ้นตามมาทันที
“ให้ตายสิ นี่ดูเด็กเกินไปไหม ห่างไกลกับที่ฉันคิดเอาไว้เยอะเลย”
“คุณจะไปรู้อะไร คนคนนี้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ อย่าว่าแต่ร่วมลงทุนกับตระกูลจางและตระกูลฉู่เลย จะบอกคุณให้อีกอย่างนะว่า คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมตอนนี้ตระกูลหลี่ถึงตกต่ำเช่นนี้ ?”
“ไม่ ไม่จริงหรอกมั้ง ? คือ คือเขาหรือ ?”
……
ทันใดนั้น ก็มีบุคคลที่มีชื่อเสียงและรอบรู้คนหนึ่ง กระจายข่าวนี้ให้ทุกคนรู้ในทันที
ทำให้คนที่กำลังตกตะลึงเพราะความอ่อนวัยของเฉินตง ค่อยๆ นิ่งอึ้งไปทันทีราวกับถูกฟ้าผ่า
เฉินตงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เมื่อมองดูชนชั้นสูงเหล่านั้น
คนเหล่านี้ก็เป็นเพียงชนชั้นสูงในวงการบันเทิงของเมืองหลวงเท่านั้น ซึ่งไม่ต่างจากชนชั้นสูงที่แท้จริงของเมืองหลวงนัก
ถึงแม้ตระกูลจางและตระกูลฉู่จะถือเป็นหัวเรือใหญ่ของวงการบันเทิง แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางตระกูลที่มั่งคั่ง ก็อาจเหนือกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างก็ตาม ชื่อเสียงของเขานั้น ทำให้ตระกูลมั่งคั่งของเมืองหลวงรู้สึกสั่นคลอนได้จริง
อีกทั้งระดับของคนที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ แทบไม่มีโอกาสสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนที่เขาสร้างขึ้นในเมืองหลวงได้เลย
การที่ไม่รู้จักเขา ก็ถือว่ามีเหตุผล
“พี่ตง !”
ฉินเย่เดินเข้ามาหาเฉินตงพร้อมรอยยิ้ม
จางหยู่หลันซึ่งกำลังเดิมมาพร้อมกับฉู่เจียนเจียพอดี เมื่อเห็นภาพนี้ ก็กัดริมฝีปากแดงระเรื่อด้วยความโมโหทันที หมอนี่ เมื่อกี้ไม่ยอมออกมาไม่ใช่หรือ ?
ฉันยังเทียบกับผู้ชายไม่ติดเลยหรือ ?
“คุณเฉิน คุณมาได้ ยิ่งทำให้พวกเราเฉิดฉายมากขึ้นจริงๆ”
ฉู่เจียนเจียยิ้มเล็กน้อยและพูด เป็นคำพูดที่ไม่ได้ถ่อมตัว แต่กลับเป็นการเอ่ยชมเฉินตง
ส่วนจางหยู่หลัน กลับมองข้ามเฉินตงไป แล้วเดินตรงเข้าไปหาฉินเย่ จากนั้นจึงแอบใช้มืออันเรียวงามของเธอ หยิกเข้าไปที่เนื้อนุ่มๆ ตรงท้องของฉินเย่
เฉินตงเพิกเฉยจ่อภาพที่เกิดขึ้น
ยิ้มและหันไปพูดคุยกับฉู่เจียนเจีย “เกรงใจทำไม คุณให้ผมมาควบคุมสถานการณ์ ผมจะไม่มาได้อย่างไร ?”
“ตระกูลหลี่ยังมาไม่ถึง ฉันจะพาคุณฉินไปแนะนำให้รู้จักทุกคนที่นี่ก่อน” ฉู่เจียนเจียยิ้มและคล้องแขนเฉินตง
เฉินตงผงะไป จากนั้นจึงถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว แล้วดึงแขนกลับมาจากฉู่เจียนเจีย
“ขอโทษด้วย ผมมีภรรยาแล้ว อย่าทำให้ภรรยาของผมต้องเข้าใจผิด”
ฉู่เจียนเจียยิ้มร่าออกมาในทันที “ขอโทษด้วยค่ะคุณเฉิน ฉันไม่ทันคิดให้รอบคอบ เชิญทางนี้ค่ะ”
เฉินตงยื่นมือไปรับไวน์แดงที่ฉู่เจียนเจียยื่นมาให้จากนั้นจึงเดินตามฉู่เจียนเจียเข้าไปในฝูงชนและทักทายกับทุกคน
เขาไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธเรื่องนี้
ในเมื่อร่วมลงทุนกับฉู่เจียนเจียแล้ว การออกหน้าในงานเลี้ยงลักษณะนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร
เป็นเพราะข่าวที่ผู้รอบรู้ได้บอกกล่าวออกไปเมื่อสักครู่ ทำให้เฉินตงเอง ได้รับการชื่นชมยกย่องจากทุกคนไม่น้อย ถึงขนาดมีคนจำนวนไม่น้อย ที่อยากจะอาศัยโอกาสนี้ทำความรู้จัก
บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก
ในเวลาเดียวกันนี้
ด้านนอกโรงแรม
สายฝนยังคงตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย
ทันใดนั้น
รถบัสโตโยต้า โคสเตอร์คันหนึ่ง ก็วิ่งไปจอดยังหน้าประตูโรงแรม
พร้อมกับเสียงเบรกดังสนั่น
รถบัสจำนวนสิบคันเต็มๆ จอดอยู่ด้านหน้าโรงแรม
ภาพนี้ ทำให้พนักงานโรงแรมต่างตกใจจนหน้าถอดสี และรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ยังไม่ทันจะตั้งสติ
รถบัสโคสเตอร์ทั้งสิบคันก็เปิดประตูออกพร้อมกัน และมีฝูงชนวิ่งกรูกันลงมาเหมือนสายน้ำ
ร้อยคนพอดิบพอดี !
ในรถยนต์คันหนึ่ง
หลี่เต๋อซานกำลังเดินโซเซลงมาจากรถ โดยมีชายวัยกลางคนคอยประคองอยู่
หลังจากวันนั้น ที่เขาโมโหจนสุดขีดและหมดสติไป ร่างกายของหลี่เต๋อซานก็อ่อนแอลงอย่างมาก
เขาใช้สายตาอันเย็นชา เหลือบมองโรงแรมขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงหันไปสั่งชายวัยกลางคนว่า “ทำตามแผนที่วางไว้ ฉันจะเข้าไปในงานเลี้ยงก่อน”
หลังจากพูดจบ เขาซึ่งสวมใส่ชุดสูทและรองเท้าหนัง ก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในโรงแรมอย่างช้าๆ
ส่วนคนอีกร้อยคนที่ลงมาจากรถ ก็อาศัยช่วงเวลานี้ ควบคุมพนักงานโรงแรมเอาไว้อย่างรวดเร็ว ถึงขนาดมีบางคนทำหน้าที่ติดตั้งอุปกรณ์ระดับมืออาชีพ เพื่อตัดสัญญาณโดยตรง
นี่ทำให้ผู้คนที่ร่วมอยู่ในงานเลี้ยง ไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใดๆ เลย
ยังคงดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สนุกสนาน
พูดคุย หัวเราะ ชนแก้วกันอย่างมีความสุข
แอ๊ด……
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ประตูใหญ่ของห้องจัดเลี้ยงกำลังค่อยๆ ถูกผลักให้เปิดออก
หลี่เอซานค่อยๆ เดินเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงเพียงลำพัง
ท่าทีของเขาดูมืดมนและไม่แยแส แววตาเต็มไปด้วยความดุดัน ความรู้สึกน่าหวาดกลัวแผ่ซ่านออกมาจากทั่วตัวของเขา
มีเพียงมุมปากเท่านั้น ที่เผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมา……