The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 380 คำเชิญของหลินหลิ่งตง
“วัยเด็ก?”
เฉินตงหยุดฝึก ปาดเหงื่อที่อยู่บนหน้า รอยยิ้มเผยให้เห็นคนความขมขื่นที่เข้มข้น
วัยเด็กของเขานั้นมืดมนมาก
มีเพียงแม่เท่านั้น ที่ส่องแสงนำทางให้เขา
คุนหลุนเห็นเฉินตงยิ้มอย่างขมขื่น ก็รู้สึกตัวทันที
เขารีบกล่าว “ขอโทษครับคุณชาย เมื่อกี้ผมใจร้อนไปแล้ว ไม่ต้องตอบคำถามข้อนี้หรอก”
“ไม่เป็นไร”
เฉินตงชี้ไปเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก เพื่อบอกให้คุนหลุนนั่งลงพร้อมกัน
หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินตงจึงค่อยๆพูดขึ้น “อันที่จริงวัยเด็กของผมก็ไม่มีอะไร นอกจากที่ถูกคนด่าว่าลูกสวะ ใช้ชีวิตโดยที่ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนาทีต่อไป กินมื้อนี้ไปแล้วก็ไม่รู้ว่ามื้อต่อไปยังจะมีกินหรือเปล่า”
“หากไม่ใช่แม่ผมที่พยายามเลี้ยงดูผมอย่างสุดชีวิต คาดว่าผมคงตายไปนานแล้ว”
คำพูดง่ายๆเพียงสองประโยค กลับสามารถบรรยายความลำบากทั้งหมดที่มี
คุนหลุนรู้สึกผิด เขาเพียงแค่อยากจะหาคำตอบบางอย่าง จากวัยเด็กของเฉินตง เพื่อมาอธิบายสัญชาตญาณการต่อสู้ของเฉินตงและความแข็งแกร่งทางร่างกายที่เติบโตอย่างไม่มีขีดจำกัด
เพียงเพราะคำพูดเดียว ก็ได้ไปสะกิดบาดแผลในวัยเด็กของเฉินตงเข้าให้
หลังจากพูดสองประโยคนี้จบแล้ว เฉินตงก็ตกอยู่ในความครุ่นคิด
เขาไม่อยากที่จะไปคิดถึงอดีตของเขาเลย
เขาพยายามอย่างสุดชีวิต ก็เพราะอยากจะให้แม่ที่เสียสละ ได้รับการตอบแทน และก็ทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความโชคร้ายที่ต้องเผชิญในวัยเด็กไปทั้งหมด
ความทรงจำในวัยเด็ก ทุกเฟรมคือความมืด ทุกเฟรมทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด และแม้แต่ทุกเฟรมก็เต็มไปด้วยเลือด
แม่ทำงานหนักอย่างสุดชีวิต ไม่เพียงทำงานหนักจนป่วยออดๆแอดๆ ยังต้องเลี้ยงดูส่งเสียเขาไปโรงเรียน และตั้งแต่เล็กจนโตก็ถูกด่าคนว่าลูกสวะ เมื่อโกรธมากก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ แต่สิ่งที่ได้มาคือถูกรุมทำร้าย สุดท้ายก็ต้องให้แม่ออกหน้ามาปกป้อง
พร้อมกับที่รู้เรื่องในตอนนั้น เขาจึงรู้ว่า
ทั้งหมดนี้ สาเหตุมาจากที่พ่อเขาไม่อยู่ แต่มากกว่านั้นคือการกินเลือดกินเนื้อของตระกูลหลี่ มองเขากับแม่ไม่ใช่คน
“ขอโทษครับคุณชาย”
คุนหลุนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด กล่าวอธิบาย “ผมเพียงแค่ประหลาดใจกับสัญชาตญาณการต่อสู้ของคุณชายและขีดจำกัดการเติบโตทางกายภาพ ดังนั้นจึงอยากจะรู้ว่าวัยเด็กของคุณชายเคยผจญภัยอะไรมาบ้าง หรือว่าเคยฝึกตั้งแต่แรกแล้ว”
ในวัยเด็ก กระดูกและกล้ามเนื้อกำลังเติบโต
ฝึกฝนในช่วงนั้นจะง่ายที่สุด มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเพิ่มขีดจำกัดของการเติบโต
“ผจญภัย?”
เฉินตงเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างขมขื่น “สามวันถูกซ้อมหนึ่งครั้ง นับหรือเปล่า?”
คุนหลุนหยุดพูด
ไม่รอให้เขาพูดต่อ
เฉินตงก็ลุกขึ้นมาฝึกต่อ “เอาล่ะ หากผมได้ผจญภัยตั้งแต่เด็ก ก็คงไม่ต้องรอให้กองทัพที่กล้าหาญและรวดเร็วอย่างท่านหลง มาช่วยผมและแม่แล้ว”
คุนหลุนมองดูเฉินตงที่ฝึกอย่างหนัก ใจก็ล่องลอย
บางที…….การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ ก็คือการฝึกฝนอย่างหนักมั้ง?
หลังจากที่ฝึกเสร็จ เฉินตงอาบน้ำอาบท่าแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังไท่ติ่ง
ตระกูลเฉินมีฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียนรับผิดชอบ
บริษัทด้านความบันเทิงในเมืองหลวงมีตระกูลจางกับตระกูลฉู่รับผิดชอบ
เมืองนี้โจวจุนหลงสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง จุดโฟกัสของเฉินตงยังคงอยู่ที่ไท่ติ่ง
มันคือจุดที่เริ่มต้นของเขา แม้ว่าตอนนั้นเขาจะได้รับเงินหลายพันล้านที่คุณพ่อมอบให้กับเขาเอาไว้ใช้ แต่ยังคงมีความรักความผูกพันที่ลึกซึ้งกับไท่ติ่ง
หลังจากฟังเสี่ยวหม่ารายงานเสร็จ เฉินตงตัดสินใจว่าหลังจากนี้หนึ่งเดือน ไท่ติ่งต้องได้ที่ดินห้าแปลงมาในเวลาเดียวกัน
“พี่ตง ซื้อที่ดินห้าแปลงในเวลาเดียวกัน มันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า?” เสี่ยวหม่าพูดด้วยความประหลาดใจ ไท่ติ่งในอดีต เวลาซื้อที่ก็ซื้อทีละแปลง มากสุดก็ซื้อสองแปลงในเวลาเดียวกัน
ตอนแรกที่ไท่ติ่งได้โครงการย่านสลัมที่ภาคตะวันตกของเมือง ได้มาโดยไม่คาดฝัน
“เสี่ยงเหรอ?”
เฉินตงยิ้มอย่างเรียบเฉย “ตอนนี้เรามีความสามารถในการแบกรับความเสี่ยงแล้ว ทำไมยังต้องกลัวความเสี่ยง?”
มองดูท่าทางของเฉินตงที่สงบใจเย็น เสี่ยวหม่าก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พยักหน้าแล้วออกไปจากห้องทำงาน
“ก็ยังคงต้องทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและสม่ำเสมอ”
มองดูเอกสารที่กองเท่าภูเขา เฉินตงยิ้มเจื่อนๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้พ่อของเขาหายตัวไป อยู่ในตระกูลเฉินเขาที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียวไม่มีคนช่วยเหลือ เขาจะไม่มีทางเอาแค่ที่ดินห้าแปลงเท่านั้น!
ยุ่งมาทั้งวัน
ใกล้เวลาเลิกงาน ในห้องทำงานบนโต๊ะของเฉินตงก็มีบัตรเชิญเกินมาหนึ่งใบ
“ใครเป็นคนส่งมา?” เฉินตงถาม
กูหลังตอบ “เป็นหลินหลิ่งตงครับ”
เฉินตงยิ้มๆ ก็ไม่ได้เปิดบัตรเชิญ แต่ได้โยนมันลงไปในถังขยะโดยตรง
“ฉันยังต้องกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนภรรยาน่ะ”
กลับไปถึงลานป่าไผ่ในคลับสี่ยิ่น
ฟ่านลู่ได้เตรียมอาหารค่ำไว้นานแล้ว
อาหารเลิศรส ครบเครื่องทั้งสีสันและกลิ่นหอม
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว เฉินตงกับท่านหลงก็ได้เดินไปที่ลาน
“ท่านหลง ทางตระกูลเฉินมีเบาะแสของคุณพ่อบ้างมั้ย?”
เฉินตงถาม เรื่องที่คุณพ่อส่งข้อความมาแจ้งความปลอดภัย มันยังวนเวียนอยู่ในใจของเขาโดยตลอด
ในเมื่อตระกูลเฉินก็ตามหาอย่างสุดกำลังความสามารถ ด้วยพลังของหน่วยข่าวกรองของตระกูลเฉิน เวลานานขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีเบาะแสบ้าง
ท่านหลงส่ายหัว “ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว”
“เครือข่ายข่าวกรองตระกูลเฉินอ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เฉินตงขมวดคิ้ว กล่าวเสียงต่ำ
ท่านหลงยิ้มเจื่อนๆแล้วพูดว่า “นายท่านก็เป็นคนที่รู้กฎการดำเนินงานของเครือข่ายข่าวกรองดีที่สุด ถ้าเขาไม่ต้องการให้เครือข่ายตามหาเขาเจอ ก็สามารถทำให้หาไม่เจอจริงๆ”
พูดถึงสุดท้าย……..มีความเป็นไปได้ที่คุณพ่อจะซ่อนตัวเองมั้ย?
เขา…….กลัวอะไรกันแน่?
เฉินตงสับสนไปหมด การกระทำของคุณพ่อ ทำให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย
เฉินกัดฟันไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “ผมต้องการให้คุณแอบติดตามการเคลื่อนไหวของตระกูลเฉินตลอดเวลา ขอเพียงมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ให้รายงานผมทันที”
“กระผมเข้าใจแล้ว” ท่านหลงพยักหน้า แล้วกล่าว “ใช่แล้วคุณชาย โจวเย่นชิวให้คนมาแจ้งว่า ทางวิลล่าเขาเทียนซานได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ตำแหน่งที่ได้รับความเสียหายได้ถูกซ่อมแซมหมดแล้ว เราจะย้ายกลับไปกันเมื่อไหร่?”
“รออีกหน่อยเถอะ” เฉินตงกล่าวอย่างครุ่นคิด “ผมมักจะรู้สึกกระวนกระวาย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้สึกว่าเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น คลับสี่ยิ่นยังไงก็ปลอดภัยกว่าวิลล่าเขาเทียนซาน”
พูดจบ เฉินตงเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าที่หนักใจ หากู้ชิงหยิ่งจนเจอ
“ที่รัก ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ย?”
“ได้สิ” กู้ชิงหยิ่งตอบรับโดยตรง “พอดีเลยฉันก็ไม่ได้ออกไปเดินเล่นนานแล้ว ไปที่ริมแม่น้ำที่เราชอบไปตอนเรียนมหาวิทยาลัยกันนะ ไปเดินรับลมกัน”
“ได้!”
รถโรลส์-รอยซ์ถูกขับออกไปจากคลับสี่ยิ่น
คนที่ไปด้วยกันกับเฉินตงและกู้ชิงหยิ่ง มีเพียงคุนหลุนคนเดียว
ตอนนี้ภารกิจลอบสังหารขององค์กรHidden Killing ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ตระกูลหลี่ในเมืองหลวงก็หายตัวไปเช่นกัน
เฉินตงก็ไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกลอบสังหารตลอดเวลาอีก ดังนั้นเมื่อออกไปเดินเล่น ก็ไม่ต้องมีขบวนการที่อลังการเหมือนเมื่อก่อน
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งและเพื่อนสนิทอีกหลายคน ก็มักจะไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำที่อยู่ด้านนอกมหาวิทยาลัยในเวลากลางคืน
ตรงริมแม่น้ำเล็กๆ กลับมีความทรงจำในวัยเยาว์ของเขาทั้งสอง
รถโรลส์-รอยซ์จอดบนถนนด้านใต้ฝั่งริมแม่น้ำ เฉินตงจูงมือกู้ชิงหยิ่ง และค่อยๆเดินขึ้นบันได ไปถึงฝั่งริมแม่น้ำ
ลมแม่น้ำที่พัดมา เย็นยะเยือกเล็กน้อย
ทำให้คนรู้สึกที่สดชื่น
ต้นฤดูใบไม้ร่วงจะเย็นเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับฤดูร้อนแล้ว ท้ายที่สุดอุณหภูมิยังคงสูงกว่าเล็กน้อย
เวลานี้ใกล้สองทุ่มแล้ว บนฝั่งริมแม่น้ำยังคงมีคนเดินเล่นอยู่ไม่น้อย
เฉินตงพยุงกู้ชิงหยิ่งอย่างระมัดระวัง ทั้งสองคนเข้าเดินไปข้างหน้า
คุนหลุนที่อยู่ด้านหลังเขาทั้งสอง เดินตามอย่างเงียบๆ
ระยะห่างดังกล่าว ไม่เป็นการรบกวนเฉินตงกับกู้ชิงหยิ่ง ยังสามารถเข้าไปทันทีเมื่อเกิดอันตราย
เพียงแต่ เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งยังเดินไปไม่ไกล ก็ได้หยุดฝีเท้าลงในเวลาเดียวกัน
รั้วกั้นริมแม่น้ำที่ไม่ไกลจากพวกเขา มีคนยืนอยู่หนึ่งคน กำลังมองดูผิวแม่น้ำที่มีแสงระยิบระยับของดวงไฟอย่างเงียบๆ ลมแม่น้ำได้พัดเส้นผมสีดำยาวสลวยปลิวไปมา….