The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 410 จู่เหลารุ่นหยวน
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ทำการการต่อสู้ที่ดุเดือดภายในลาน ชะงักลงทันที
เย่หลิงหลงหยุดเดิน กระทืบเท้าและบ่นออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก “คุณปู่! เขาชกหนูจนกระอักเลิอดแล้ว จะไม่ให้หนูโต้กลับหน่อยหรือคะ?”
คุณปู่?
เฉินตงหันมองไปทางวิลล่า
ประตูวิลล่าเปิดออก มีชายชราสวมเสื้อคอจีนสีดำเดิน ในมือถือไม้เท้า ค่อยๆ เดินออกมา
ชายชราผอมแห้งเหมือนท่อนไม้ ถึงขั้นเดินหลังคู้ เขาเดินมาอย่างช้าๆ ด้วยไม้เท้าของเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ผมขาวโพลน แสดงให้เห็นถึงความชราภาพ
มีเพียงแค่ดวงตาทั้งสองข้างที่เป็นประกาย และเต็มไปด้วยพลัง
บนใบหน้าของชายชราปรากฏรอยยิ้มที่อ่อนโยน ดูราวกับชายชราที่เป็นญาติกัน
แต่ทว่า ในฐานะที่เป็นปู่ของเย่หลิงหลง หากเป็นเพียงแค่ชายชราที่เป็นญาติกันจริงๆ คงถือเป็นเรื่องแปลก
เฉินตงหันมองชายชรา และแสดงสีหน้าสงสัยออกมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณเฉิน ผมมีนามว่าเย่หยวนชิว”
ชายชรายิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วหันไปยกมือคำนับเฉินตง
เฉินตงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
เย่หลิงหลงที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเดิมทีก็มีความแค้นอยู่ในใจอยู่แล้ว เมื่อเห็นภาพนี้ ก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นทันที
สวรรค์! เจ้าหมอนี่ชักจะไร้ยางอายเกินไปแล้วกระมัง?
คุณปู่อุตส่าห์ทักทาย ยังทำเป็นมองไม่แยแสอีก?
เย่หลิงหลงอดไม่ได้ที่จะด่าทอออกมา “นี่! เฉินตง คุณมีเหตุผลหรือเปล่า? คุณปู่ของฉันทักทายคุณ คุณจะไม่ตอบอะไรสักหน่อยเลยหรือ? คุณรู้หรือไม่ว่า ในหงหุ้ย ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้กับคุณปู่ของฉัน!”
“ฉันไม่ใช่คนของหงหุ้ยสักหน่อย” เฉินตงพูดอย่างเย็นชา
“คุณ……”
เย่หลิงหลงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ถ้าอย่างนั้นคุณไม่รู้หรือว่าเด็กควรรู้จักเคารพผู้ใหญ่?”
“เหอะ!”
เฉินตงแสยะยิ้ม แล้วหัวเราะออกมาอย่างดูถูก
เย่หลิงหลงโกรธจนถึขีดสุด
เธอรู้สึกว่าตนเองเป็นถังบรรจุดินปืน ส่วนเฉินตงนั้นเป็นสายชนวน ที่สามารถจุดให้เธอระเบิดได้อย่างง่ายดาย
ผู้ชายคนนี้ ช่างน่าโมโหจริงๆ!
“หลิงหลง พอแล้ว!”
ใบหน้าของเย่หยวนชิวเคร่งขรึมลง เขาเหลือบมองเย่หลิงหลงหนึ่งครั้ง
จากนั้น ใบหน้าก็แสดงรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมาอีกครั้ง เขาหันไปแสดงท่าทีเชื้อเชิญเฉินตง “เตรียมชาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญคุณเฉินเข้ามานั่งพูดคุยกันสักครู่”
เฉินตงไม่ขยับ
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดคุยเรื่องใดกับทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ได้
เย่หลิงหลงเลิกคิ้ว แล้วพูดยั่วยุ “ทำไม? กลัวว่าพวกเราจะเตรียมนักฆ่าหลายร้อยคนซุ่มโจมตีข้างในหรืออย่างไร หากคุณเข้าไปแล้วก็จะฆ่าคุณทิ้งเสียอย่างนั้นหรือ?”
“กลัวว่าคุณจะกินคน”
เฉินตงตอบกลับมาอย่างเย็นชาหนึ่งประโยค แล้วเดินกร่างเข้าไปหาเย่หยวนชิว จากนั้นจึงเดินเข้าคฤหาสน์ไป
เย่หลิงหลงเชิดคิ้วแล้วกัดฟัน
เมื่อเห็นเย่หยวนชิวเดินตามเฉินตงไปด้านหลัง เธอก็รีบเดินเข้าไปดึงมือของเย่หยวนชิวเอาไว้
“คุณปู่ หมอนี่ชักจะเสียมารยาทเกินไปแล้ว ทำไมคุณปู่จะต้องทำดีกับเขาขนาดนี้ด้วย?”
“ไร้มารยาท? คำพูดยั่วยวนของเธอเมื่อครู่ ปู่ได้ยินทั้งหมดแล้ว
เย่หยวนชิวเหลือบมองเย่หลิงหลง “เธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ ให้เธอไปเชิญคนมา เธอเห็นเขาหน้าตาหล่อเหลาสักหน่อย กลับพูดจายั่วยวน ถูกชกเข้าก็สมควรแล้ว!”
เย่หลิงหลงตะลึงงัน
เธอกัดฟันอย่างไม่เต็มใจนัก คุณปู่ หนูต่างหากที่เป็นผู้หญิง เป็นหลานสาวแท้ๆ ของคุณปู่ ทำไมคุณปู่ถึงได้พูดแทนเขาเช่นนี้?”
“พวกบ้ากามไม่แบ่งหญิงชายหรอกนะ”
เย่หยวนชิวมองไปที่เย่หลิงหลงด้วยแววตาลึกซึ้ง จากนั้นจึงหัวเราะด้วยท่าทีแปลกๆ แล้วเดินตามเฉินตงไป
เย่หลิงหลงโกรธจนหยุดยืนอยู่ที่เดิม และกัดฟัน
ใครบ้ากาม?
ฉันเพิ่งจะเคยยั่วยวนผู้ชายเป็นครั้งแรก ก็ถูกคุณปู่มองว่าเป็นพวกบ้ากามเสียแล้ว?
สวรรค์! ใครเป็นสายเลือดของเขากันแน่?
คฤหาสน์กว้างขวางมาก
ไม่ถือว่าหรูหรานัก แต่ให้ความรู้สึกโบราณในทุกๆ มุม
การจัดวาง ตกแต่ง ล้วนแล้วแต่อิงรูปแบบของสมัยร้อยปีก่อนทั้งสิ้น
แต่นี่กลับทำให้เฉินตงรู้สึกอึดอัด มีกล่องเครื่องหอมขนาดใหญ่ จัดวางอยู่ในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์
บนกล่องเครื่องหอมมีเครื่องเซ่นไหว้วางอยู่ มีกลิ่นหอมลอยออกมาจากในกระถางธูป และมีควันฟุ้งกระจายอยู่
ส่วนตรงกลาง มีการจัดวางแผ่นจารึกศักดิ์สิทธิ์ที่เขียนว่า “เทียนตี่กุงชิงซือ” เอาไว้
ส่วนบนผนังทางด้านหลัง มีภาพบุคคลสีขาวดำสามภาพแขวนเอาไว้
ความรู้สึกโบราณเช่นนี้ ช่างไม่เข้ากับบรรยากาศของคฤหาสน์เลยสักนิด
เย่หยวนชิวที่เดินตามหลังเข้ามา เห็นเฉินตงกำลังจับจ้องไปที่กล่องเครื่องหอมและรูปภาพ
ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “คุณเฉิน ทั้งสามท่านนี้เป็นผู้บุกเบิกหวงหุ้ยของเรา และถือเป็นจู่เหลา”
“อืม”
เฉินตงพยักหน้า จากนั้นจึงหันหลังเดินเข้าไปในห้องรับแขก แล้วนั่งลงบนโซฟา
หลังจากเย่หยวนชิวพูดจบ ก็เตรียมที่จะเอ่ยแนะนำ
แต่เฉินตงกลับตอบกลับด้วยปฏิกิริยาที่เย็นชา ทำให้เขาหยุดชะงักในทันที จากนั้นจึงกลืนคำพูดที่กำลังจะพูดออกมากลับลงท้องไป
“คุณปู่ บอกแล้วว่าคุณปู่ไว้หน้าเขา เขาก็ไม่มีทางรับไว้หรอก” เย่หลิงหลงแสดงท่าทีขุ่นเคือง
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
เย่หยวนชิวเหลือบมองเย่หลิงหลง จนเธอรู้สึกตกใจจนหัวหดและแลบลิ้นยาว
หลังจากนั่งลงแล้ว เย่หยวนชิวก็หันไปพูดกับเย่หลิงหลงว่า “ไปยกน้ำชามาให้คุณเฉิน”
แม้ว่าเย่หลิงหลงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่กล้าโต้ตอบ และค่อยๆ รินชาให้เฉินตงอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงไปยืนอีกด้านหนึ่ง
ทว่า
เย่หยวนชิวกลับมองเย่หลิงหลงด้วยสายตาที่ดุดัน “มารยาทล่ะ? เมื่อครู่เธอทำผิดก่อน ยังไม่รีบยกน้ำชาแสดงความขอโทษคุณเฉินอีก?”
“ยกน้ำชาขอโทษ?”
เย่หลิงหลงตกตะลึงไป จากนั้นจึงขยับริมฝีปากแดงระเรื่อพูดว่า “คุณปู่ นี่มัน……”
“ยกน้ำชาขอโทษ!”
เย่หยวนชิวตะโกนด้วยความโมโห เพื่อตัดบทของเย่หลิงหลง
เย่หลิงหลงเบ้ปาก และยกแก้วน้ำชาขึ้นด้วยท่าทีบึ้งตึง แล้วยื่นให้กับเฉินตง
เฉินตงยื่นมือออกไปรับ จากนั้นจึงวางลง
ไม่ไม่มีความอดทนที่จะรอต่อไป จึงได้พูดอย่างตรงไปตรงมา
“พูดมาเถอะ พวกคุณสองปู่หลานหาผม มีธุระอะไรกันแน่?”
“คุณเฉินช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นจริงๆ!”
เย่หยวนชิวหัวเราะร่าออกมา หลังจากระงับอารมณ์แล้ว เขาก็ค่อยๆ พูดขึ้น “อันที่จริงแล้ว ที่ผมตั้งใจพาหลานสาวกลับประเทศมาครั้งนี้ ก็เพื่อมาหาคุณเฉินโดยเฉพาะ”
เย่หยวนชิวหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคว่า “แน่นอนว่า ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสในหงหุ้ย ในเมื่อมาเพื่อพบกับคุณเฉิน ก็ควรเป็นตัวผมเองที่มา ถึงจะไม่เป็นการดูถูกฐานะของคุณเฉิน”
คำพูดนี้ ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงฐานะที่แท้จริงของตนเอง และถือเป็นการยกย่องเฉินตง
แต่เฉินตงกลับไม่รู้สึกยินดียินร้าย
หากจะพูดถึงความรู้สึกดี สำหรับสองปู่หลานที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ เขาไม่อาจมีให้ได้จริงๆ
ถ้าหากมี ก็คงเป็นตอนที่เห็นความงดงามอันน่าทึ่งของหลินหลิ่งตงในตอนแรก
ส่วนที่เหลือมีเพียงแค่ความรังเกียจกับความรำคาญเท่านั้น
เฉินตงพิจารณาเย่หยวนชิวอยู่สักครู่ “อืม พอจะดูออก แก่มากแล้วจริงๆ”
เย่หยวนชิวชะงักไปในทันที
ส่วนเย่หลิงหลงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มีอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
“เฉินตง! คุณคิดว่าคุณพูดอยู่กับใคร? คุณรู้ฐานะของคุณปู่ของฉันไหม?”
เย่หลิงหลงตะโกนใส่เฉินตงโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของเธออีกต่อไป “ในยี่สิบสี่รุ่นแรกของหงหุ้ย คุณปู่ของฉันจัดอยู่ในรุ่นหยวน เมื่อนำมาจัดอยู่ในยี่สิบสี่รุ่นหลังของหงหุ้ยในตอนนี้ ปู่ของฉันถือเป็นบุคคลระดับจู่เหลา ถือเป็นหลงโถวของหงหุ้ยในตอนนี้ อย่างน้อยพบกับปู่ของฉันแล้ว ก็ควรจะที่จะเรียกปู่ของฉันด้วยความเคารพสักหน่อย”
“ในหงหุ้ย ปู่ของฉันถือเป็นผู้อาวุโส ใครเห็นก็ต้องให้ความเคารพ แล้วตอนนี้คุณกล้าเสียมารยาทกับเขาอย่างนั้นหรือ?”
คำด่าทอที่พูดออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เย่หยวนชิวไม่อาจขัดคอได้ทัน
เฉินตงมีท่าทีไม่แยแส เขาเงยหน้าขึ้นมองเย่หลิงหลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เย่หลิงหลงกัดฟันแล้วพูดว่า “คุณปู่ของฉันลดตัวลงมาเพื่อยกย่องคุณ แต่ทำไมคุณกลับไม่คิดที่จะยกระดับตัวเอง? ไว้หน้าคุณเกินไปแล้วหรือ?”
จู่ๆ เฉินตงก็รู้สึกขำขึ้นมา
เขาแสยะยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “ปู่ของคุณเป็นผู้อาวุโสในหงหุ้ย แต่ผมไม่ใช่คนของหงหุ้ยเสียหน่อย ในสายตาของผมแล้ว เขามีอะไรแตกต่างจากชายชราทั่วไปกัน?”