The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - ตอนที่ 132
บทที่ 132 ผู้คนต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์และตื่นตระหนก
มองดูท่านหลงที่มีสีหน้าเคร่งขรึม
ถึงแม้จะไม่ได้รับคำตอบกลับมา แต่แววตาที่ท่านหลงแสดงออกมานั้น ก็พอจะให้คำตอบกับหลี่หลานได้
ดวงตาของหลี่หลานเริ่มเป็นสีแดง
หลายปีมานี้ ความพยายามของลูกชาย เธอเห็นด้วยตาตัวเองทั้งหมด
ตลอดระยะเวลาสามปี เริ่มตั้งแต่เป็นนักศึกษาจบใหม่ มานะบากบั่นจนกระทั่งได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธาน นี่ก็เพียงพอที่จะยืนยันได้ถึงความสามารถที่ลูกชายของเธอมี
ถ้าหากได้มองเห็นแสงสว่างแล้ว แต่สุดท้ายต้องกลับเข้าไปอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง
ถึงแม้ตัวเธอเองจะเป็นแม่ของเฉินตง แต่ก็ไม่กล้าจินตนาการเลยว่า สิ่งนี้จะทำร้ายเฉินตงหนักหนาสาหัสเพียงใด
สำหรับคนเป็นแม่แล้ว ใครจะไม่นึกสงสารลูกชายตัวเองบ้าง ?
ทันใดนั้น ก็มีความคิดที่บ้าบิ่นเกิดขึ้นในสมองของหลี่หลาน
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “ท่านหลง ฉันอยากกลับไปตระกูลเฉิน !”
“คุณผู้หญิง ไม่ได้นะครับ !” ท่านหลงหน้าถอดสีทันที
หากให้หลี่หลานกลับตระกูลเฉินตอนนี้ ก็เท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับเรื่องนี้โดยไม่ต้องสงสัย
ท่านหลงรีบพูดอธิบายว่า : “คุณผู้หญิงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไปแล้วหรือครับ ?”
หลี่หลานผงะไป จากนั้นจึงยกมือขึ้นตบหัวตัวเอง : “ฉัน ฉันเองก็ร้อนใจเสียจนเลอะเลือนไปแล้ว คุณหญิงใหญ่นั่น อยากจะเห็นฉันกับตงเอ๋อตายอยู่แล้ว ต่อให้ฉันกลับไป ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น”
ยิ่งพูดยิ่งร้อนใจ มีน้ำตาเอ่อล้นในดวงตาของเธอ : “แล้วตอนนี้ควรจะทำอย่างไรกันแน่ ? ฉันพอจะทำอะไรเพื่อตงเอ๋อได้บ้าง ?”
“แม่……”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ฟังดูอบอุ่นดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
หลี่หลานสะดุ้ง หันกลับไปมองเห็นเฉินตงและคุนหลุนกำลังยืนอยู่ด้านนอกห้องรับแขก
“ตงเอ๋อ……”
เฉินตงเดินเข้ามาในห้องรับแขก แล้วสวมกอดหลี่หลาน จากนั้นจึงตบหลังของหลี่หลานเบาๆ
เหมือนกับตอนที่เขายังเด็ก เวลาที่เขารู้สึกกลัว แม่ก็จะคอยปลอบโยนเขาเช่นนี้เหมือนกัน
เขายิ้มพลางพูดว่า : “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจัดการได้แน่นอน แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้สิ่งเดียวที่แม่ควรทำก็คือดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีๆ”
“แต่ว่า……” อารมณ์ของหลี่หลานค่อยๆ สงบลงเล็กน้อย
“ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี แม่ยังต้องรออุ้มหลานอีกนะครับ”
เฉินตงยิ้มอย่างเบิกบาน แววตาแน่วแน่มั่นคง : “แม่สามารถแบกรับผืนฟ้าทั้งผืนเพื่อให้ผมเติบโตขึ้นมาได้ จนตอนนี้ผมสามารถชูผืนฟ้านี้ได้ด้วยตัวของผมเองแล้ว !”
หลี่หลานนิ่งเงียบไป หันมองเฉินตงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
ครู่หนึ่ง
เธอถึงจะเงยหน้าขึ้นมา แล้วยิ้มอย่างเศร้าหมอง : “จริงสิ ตงเอ๋อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“ทานข้าวค่ะ”
ตอนนี้เอง ฟ่านลู่เดินออกมาจากในครัว
“แม่ ทานข้าวก่อนเถอะครับ”
เฉินตงร้อนใจมาก มากกว่าใครทั้งหมด แต่เห็นสภาพของแม่ในตอนนี้ เขาจึงจำเป็นต้องแสดงท่าทีที่สงบออกมา
หลังจากที่พยายามข่มอารมณ์กินข้าวกับคนในครอบครัวจนเสร็จ เฉินตงก็ออกมาจากบ้านพร้อมกับคุนหลุน
ทันทีที่ขึ้นรถ สีหน้าของเฉินตงก็เคร่งเครียดในทันที เขาพูดกับคุนหลุนว่า : “รีบไปที่บริษัทให้เร็วที่สุด !”
……
ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง ตอนนี้กำลังเป็นเวลาเข้างานพอดี
พนักงานต่างมารวมตัวกันด้วยความตื่นตกใจ
ข่าวเพียงแค่ข่าวเดียว กลับมีพลังอันมหาศาล จนทำให้พนักงานทั้งหมดของไท่ติ่งเกิดความโกลาหลขึ้นได้
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ขณะที่เมื่อวานทุกคนต่างวุ่นวายอยู่กับการเปิดขายล่วงหน้า และปรึกษากันเรื่องจัดงานเลี้ยงฉลองว่าควรจะจัดอย่างไรหลังจากการขายสิ้นสุดลง
แต่เช้าตรู่วันนี้ แค่ลืมตาขึ้นมา กลับพบว่าฟ้าถล่มลงมาแล้ว !
“พี่เสี่ยวหม่า เฉินตงจะมาเมื่อไหร่ ? เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะเอายังไงกันดีล่ะ ?”
“ฉันเองก็แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว แค่หลับไปตื่นเดียว ทำไมจู่ๆ ยี่เคอ กรุ๊ปประกาศระงับโครงการชั่วคราวเสียแล้ว ?
การระงับโครงการชั่วคราวในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะเริ่มดำเนินการต่อเมื่อไหร่กัน ?”
“เหลวไหล ! คำแก้ตัวของบริษัทใหญ่ๆ หากพูดว่าระงับชั่วคราวก็หมายความว่าไม่มีอีกแล้ว เพียงแค่พูดให้สละสลวยเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่เราควรจะคำนึงถึงก็คือความรู้สึกของลูกค้าที่เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันตกของเมืองเหล่านั้น รวมไปถึงราคาของอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันตกว่าจะยังทรงตัวได้อยู่หรือจะตกฮวบ !”
……
คำว่า “ตกฮวบ” ที่พนักงานคนหนึ่งพูดออกมา ทำให้ทุกคนต่างยืนนิ่งไปในทันที
ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันตกสูงขึ้น เพราะอาศัยปัจจัยจากข่าวที่ยี่เคอ กรุ๊ปประกาศจะเข้ามาปักหลักในเมืองนี้ตั้งแต่ต้น
แต่ตอนนี้เมื่อมีข่าวออกมาว่ามีการระงับโครงการชั่วคราว ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันตกจะต้องเกิดความผันผวนอย่างหนักแน่นอน
เพราะเดิมทีภาคตะวันตกของเมืองเองก็ไม่ได้รับความนิยมจากคนในพื้นที่อยู่แล้ว
ตอนที่มีข่าวว่ายี่เคอ กรุ๊ปจะเข้ามาปักหลัก ทำให้ทุกคนต่างกระตือรือร้น
ส่วนตอนนี้ หลังจากที่ทุกคนต่างก็สงบลงแล้ว พวกเขาจะมีทัศนคติอย่างไรต่อภาคตะวันตกล่ะ ?
ตอนนี้เอง
มีคนสองคนปรากฏตัวขึ้นที่ประตูบริษัท
ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงที่ฟังดูสงบนิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เช้าตรู่นี่ งานที่รับผิดชอบอยู่ในมือทำเสร็จกันแล้วหรือยัง ?”
ทันใดนั้นเอง ทุกสายตาต่างก็หันไปจับจ้องที่เฉินตง
“พี่ตง ในที่สุดคุณก็มาเสียที !”
เสี่ยวหม่ารีบเข้าไปต้อนรับ
เฉินตงจ้องมองเสี่ยวหม่า : “มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าทำไม การเปิดขายล่วงหน้าของทั้งสามตึกในภาคตะวันตกยังจัดการไม่เรียบร้อย พาทุกคนกลับไปทำงานเร็วเข้า !”
น้ำเสียงฟังดูเย็นชา ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนปกติ
นี่ทำให้เสี่ยวหม่าผงะไป แต่ก็ยังคงหันกลับไปเรียกทุกคนให้ไปกลับไปทำงาน
ขณะที่พนักงานแต่ละคนแยกย้ายกลับไปประจำที่ของตนเอง ต่างก็แอบมองไปที่เฉินตง
เมื่อเห็นเฉินตงเดินเข้าไปในห้องทำงานด้วยท่าทีที่สงบ ทำให้ทุกคนรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
ฟ้าถล่มลงมาขนาดนี้แล้ว เจ้านายยังสงบอยู่เช่นนี้ได้อีกหรือ ?
“พี่เสี่ยวหม่า หรือว่าประธานเฉินจะรู้เรื่องนานแล้ว และได้เตรียมวิธีรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ?” พนักงานคนหนึ่งที่สนิทสนมกับเสี่ยวหม่าเอ่ยถาม
ตั้งแต่เฉินตงรับผิดชอบหน้าที่ดูแลบริษัท ก็เกิดวิกฤตต่อเนื่องกันถึงสองครั้ง แต่เฉินตงก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
ภาพลักษณ์ของเฉินตงที่ปรากฏอยู่ในใจของเหล่าพนักงานนั้น ถือว่าเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงมาก
ทุกครั้งที่เห็นเฉินตงมีท่าทีที่สงบเยือกเย็น ก็เหมือนกับมีเสาหลักคอยค้ำจุนอยู่ ทำให้รู้สึกว่าเรื่องต่างๆ อาจไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
เสี่ยวหม่าเองก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ เขาเกาหัว : “ก็คงจะเป็นเช่นนั้น ?”
น้ำเสียงที่ไม่มั่นใจนัก แต่กลับสร้างความมั่นใจให้แก่พนักงานได้ ไม่ช้าพนักงานก็กลับเข้าไปทำงานในตำแหน่งของตน
ภายในห้องทำงาน
เฉินตงนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาดึงผมของตนเองไม่หยุดด้วยความสิ้นหวัง
เขารู้ดีว่าเจ้าของบริษัทก็เป็นเหมือนเสาหลักของบริษัท
เขารู้ดีว่าหากตนเองแสดงท่าทีตื่นตระหนกออกมาต่อหน้าพนักงานแล้วล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้เท่านั้น แต่จะยิ่งส่งผลกระทบต่อทั้งบริษัทด้วย
ดังนั้นเมื่อครู่ขณะที่เขาเดินเข้ามา จึงต้องแสร้งทำท่าทีสงบ
ที่ทำท่าที่เฉยเมยต่อเสี่ยวหม่า เป็นเพราะต้องการลดเวลาที่จะต้องพูดอธิบายกับทุกคนให้น้อยลง ซึ่งอาจจะเพิ่มความเสี่ยงที่ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยออกมา
ตอนนี้ในห้องทำงานมีเพียงแค่เขากับคุนหลุน จึงสามารถแสดงความวิตกกังวลออกมาได้
เฉินตงถูใบหน้าของเขา แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “คุนหลุน เวลาที่มีคนเอาดาบมาจ่อคอนาย นายจะทำอย่างไร ?”
คุนหลุนตอบว่า : “ฆ่ามันให้ตายครับ !”
เฉินตงนิ่งไป จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างหมองเศร้า
ด้วยพลังการต่อสู้ของคุนหลุนแล้ว ต่อให้มีคนเอาดาบมาจ่อที่คอของเขา เขาก็สามารถโต้กลับได้อย่างง่ายดาย
แต่เขาทำไม่ได้ !
ครั้งนี้ คนที่เขาต้องเผชิญหน้าคือคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน !
การฆ่าให้สิ้นซากครั้งนี้ ก็เท่ากับทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งฟ้าถล่มลงมาจริงๆ เป็นการจัดการเขาแบบถอนรากถอนโคน
แล้วเขาควรโต้กลับเช่นไรดี ?
ขณะที่เฉินตงกำลังเป็นกังวลและยังไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้
เมืองทั้งเมืองก็กำลังมีพายุลูกใหญ่ก่อตัวขึ้น
นี่คงจะเป็นสิ่งที่สามารถบรรยายได้เหมาะสมที่สุดถึงความสงบก่อนที่จะเกิดพายุใหญ่ขึ้น
เพราะว่า ในขณะที่มีการรายงานข่าวนั้น ทุกคนต่างไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ต่างก็นิ่งไปกันหมด
ภายในชั่วพริบตา บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่งและโครงการปรับปรุงย่านสลัมที่ภาคตะวันตกของเมือง ก็ถูกผลักให้ขึ้นไปเผชิญกับพายุพร้อมกัน
เรื่องสำคัญที่แทบจะทุกคนนำมาพูดคุยกันในตอนนี้ก็คือเรื่องนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะยี่เคอกรุ๊ปเตรียมที่จะเข้ามาปักหลักในเมืองนี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ทางภาคตะวันตกของเมืองไม่มีทางสูงขึ้นได้ และไม่มีทางที่จะมีผู้ซื้อจำนวนมากมายขนาดนั้น เข้าไปแย่งซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันตกอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ ยี่เคอ กรุ๊ปได้ระงับโครงการแล้ว บรรดาผู้คนที่นิ่งสงบลง ต่างก็กำลังนึกย้อนไปถึงสภาพอันน่ารังเกียจของภาคตะวันตกในอดีต
ในขณะเดียวกันนี้
มีคนกลุ่มใหญ่กำลังไปรวมตัวกันอยู่ที่หลงถิงฮัวหยวนซึ่งอยู่ด้านหน้าตึกทั้งสามที่มีการเปิดขายไปล่วงหน้า
ใบหน้าของคนเหล่านี้เต็มไปด้วยความโมโห พวกเขาพุ่งตรงเข้าไปภายในจุดศูนย์กลางที่ทำการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งสี่แห่งด้วยความโกรธ…..