The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - ตอนที่ 135
กูหลังหน้าถอดสี
มีประกายของความดุดันฉาบขึ้นในแววตาทันที จากนั้นจึงเดินจ้ำอ้าวไปยังประตูใหญ่
“หยุดเดี๋ยวนี้ !”
เฉินตงตะโกนด้วยความโมโห
“คุณเฉิน……”
กูหลังหันกลับไป กำลังจะอธิบาย แต่เมื่อสบตากับเฉินตง เขาก็รีบกลืนคำพูดกลับลงท้องไปในทันที
ตอนนี้บนใบหน้าของเฉินตงเต็มไปด้วยเลือด
แต่เขากลับไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกมาแม้แต่น้อย เขาทำสีหน้าเย็นชา ในแววตาดูลึกล้ำและสงบกว่าปกติ
แววตาเช่นนี้ ต่อให้เป็นกูหลังก็ยังรู้สึกเสียวสันหลัง
ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้บรรดาผู้ซื้อที่กำลังแตกตื่นต่างก็สงบลงไปด้วยเช่นกัน
“ทุกท่าน ยี่เคอ กรุ๊ปประกาศระงับแผนการที่จะเข้ามาปักหลักในเมืองนี้ เป็นสิ่งที่ผมเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อเมืองนี้ อีกทั้งยังทำให้ทุกท่านต้องคอยเป็นกังวลว่า เงินที่ทุกท่านหามาได้อย่างยากลำบากนั้น จะเกิดความเสียหายขึ้นหรือไม่”
น้ำเสียงของเฉินตงสงบนิ่ง แต่กลับพยายามตะโกนให้เสียงดัง เพื่อให้ทุกคำพูดทุกตัวอักษร ดังเข้าไปในหูของทุกคนอย่างชัดเจน
“สำหรับเรื่องนี้แล้ว ในฐานะที่ผมเป็นเจ้าของไท่ติ่ง ผมเองต้องขออภัยทุกท่านเป็นอย่างสูง ผมขอเป็นตัวแทนของพนักงานในไท่ติ่งทุกคน กล่าวขอโทษทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย !”
เฉินตงพูดพลาง โน้มตัวคำนับ
ภาพที่เห็น ทำให้กูหลังและบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปิดภัย ต่างมีความรู้สึกที่ซับซ้อน
ประธานบริษัท ต้องถูกบังคับให้โค้งคำนับเพื่อกล่าวขอโทษต่อหน้าสาธารณชน นี่มันช่างน่าขมขื่นแค่ไหนกัน ?
ยิ่งไปกว่านั้น อย่างน้อยในสายตาของคนทั่วไป เรื่องของยี่เคอ กรุ๊ป อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับไท่ติ่ง อีกทั้งไท่ติ่งเอง ก็ถือเป็นผู้เสียหายด้วย
ตอนนี้ภาพที่ปรากฏคือ ผู้เสียหายคนหนึ่ง กำลังหันไปกล่าวขอโทษกับผู้เสียหายคนอื่นๆ เพื่อเป็นการขอความเห็นใจจากผู้เสียหายรายอื่นให้กับผู้เสียหายรายนี้ !
แต่ทว่า มนุษย์นั้นมีมากมายหลายแบบ
ในขณะที่สถานการณ์กำลังเงียบสงบ จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธดังขึ้น
“แค่ขอโทษจะมีประโยชน์อะไร ? ถ้าหากต้องการแสดงความจริงใจจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นก็คืนเงินที่พวกเราหามาอย่างยากลำบากให้กับพวกเราสิ ส่วนบ้าน พวกเราไม่ซื้อแล้ว !”
เหมือนมีเสียงฟ้าผ่าลงมา
ทันใดนั้น เสียงของฝูงชนก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง
“ถูกต้อง ! ตอนแรกพวกเราเห็นราคาอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันตกทะยานสูงขึ้นถึงได้ตัดสินใจซื้อ แต่ตอนนี้ราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่ขยับขึ้นอีกแล้ว แล้วพวกเราจะมาทนอาศัยอยู่ในที่โทรมๆ อย่างภาคตะวันตกเช่นนี้ทำไมกัน ?”
“ยี่เคอ กรุ๊ปไม่เข้ามาปักหลักแล้ว แล้วทำไมเราต้องมาพลอยสูญเสียเงินไปกับเมืองที่ยากจนข้นแค้นอย่างภาคตะวันตกด้วย ?”
“ถูกต้อง ! ในเมื่อคุณต้องการแสดงความจริงใจ เช่นนั้นก็ให้คืนบ้านสิ ?”
……
คำพูดที่รุนแรง
กูหลังกับบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ยิน ต่างก็ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
ส่วนด้านในทางเดินของตึกที่ห่างออกไป เสี่ยวหม่ากับเหล่าพนักงาน ต่างก็ขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าต่างตกใจกับคำพูดของคนเหล่านั้น !
“ได้ ผมรับปากพวกคุณ !”
สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ เฉินตงจะรับปากอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตูม !
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึง
สถานการณ์ที่วุ่นวาย เงียบสงบลงในทันที
มีบางคนแคะหูเพราะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน คิดว่าตนเองนั้นหูฝาด
เฉินตงยืนตัวตรง พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ไม่มีความรู้สึกยินดียินร้าย : “ในเมื่อทุกท่านต้องการที่จะคืนบ้าน ไท่ติ่งก็ยินดีที่จะตอบสนองความต้องการจองทุกท่าน !”
จริงหรือ ให้คืนจริงหรือ ?
บรรดาผู้ซื้อที่ยืนอยู่หน้าประตูต่างอึ้งไป
พวกเขาสร้างความวุ่นวายขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังปิดล้อมทางเข้าเอาไว้ ก็เพื่อที่จะบีบให้ไท่ติ่งยอมให้พวกเขาคืนบ้าน เพื่อรักษาเงินลงทุนของพวกเขาเอาไว้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง จะยอมรับปากอย่างง่ายดายเช่นนี้ !
ข่าวการคืนบ้านของบรรดาผู้ซื้อที่ผ่านๆมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ง่ายดายเช่นนี้มาก่อน !
บริเวณทางเข้าของทางเดิน พนักงานทั้งหมดของไท่ติ่งต่างตกใจจนหน้าถอดสี
“พี่เสี่ยวหม่า รีบเข้าไปเตือนเร็วเข้าสิ พี่ตงรับปากง่ายๆ แบบนี้ การคืนบ้านพร้อมกันจำนวนมาก กระแสเงินสดในบริษัทของเราไม่มีทางหมุนเวียนได้ทันแน่ !”
“ใช่แล้ว เหตุการณ์แบบนี้เพิ่มจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก คนหนึ่งซื้อคนหนึ่งขาย แล้วจะมานึกสียใจภายหลังได้อย่างไร ?”
“นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการบังคับให้ประธานตง ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียวหรอกหรือ ?”
……
เสี่ยวหม่าแสดงสีหน้าหดหู่ และยิ้มออกมาอย่างจนใจ
เขารู้ดีว่าไม่อาจเตือนเฉินตงได้ !
เฉินคงเหลือบมองฝูงชนที่กำลังยืนนิ่งอยู่ จากนั้นจึงฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ไท่ติ่งจะคืนเงินให้แก่ผู้ซื้อที่มีความประสงค์จะขายบ้านคืนเต็มจำนวน ขอเวลาให้ผมสามวัน ผมจะขอซ่อมแซมจุดศูนย์กลางที่ทำการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งสี่แห่งให้อยู่ในสภาพเดิม ถึงเวลานั้นทุกท่านสามารถนำหนังสือสัญญามายังจุดศูนย์กลางที่ทำการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อดำเนินการ”
พูดจบ เฉินตงก็หันหลังเดินกลับไป
เขายอมถึงขั้นนี้แล้ว
เรื่องที่จะตามมาหลังจากนี้ พวกของกูหลังคงจะสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี
เมื่อเฉินตงเดินไปถึงทางเข้าลิฟต์ พวกเสี่ยวหม่าที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าทางเดิน ต่างก็รีบวิ่งกรูกันออกมา
“พี่ตง พี่ตัดสินใจที่จะทำแบบนี้จริงๆ หรือ ?” เสี่ยวหม่าเป็นคนในบริษัทที่สนิทสนมกับเฉินตงมากที่สุด ตอนนี้เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมาก่อน
เขาถามพลาง หยิบกระดาษทิชชูออกมายื่นให้เฉินตงซับเลือดบนใบหน้าไปพลาง
เฉินตงรับกระดาษทิชชูมา แล้วนำไปปิดบาดแผลบนศีรษะเอาไว้ และยิ้มออกมาอย่างจนใจ : “ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องการก็คือเวลา !”
เวลา ?
พนักงานทุกคนต่างยืนนิ่ง
ประตูลิฟต์เปิดออก
เฉินตงก้าวเข้าไปในลิฟต์
ยังไม่ทันที่จะรอให้เสี่ยวหม่าเข้ามา เขาก็กดหมายเลขชั้นและกดปุ่มปิดประตูลิฟต์เสียก่อนแล้ว
ภายในลิฟต์แคบๆ ที่ปิดสนิท เฉินตงยืนพิงผนังลิฟต์อย่างเหนื่อยล้า
“เวลาสามวัน จะพอรู้ผลหรือยังนะ ?”
ศึกภายในของตระกูลเฉิน ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสามารถของเขาแล้ว
แม้แต่เฉินเทียนเซิงและเฉินเทียนหย่างที่เป็นผู้สืบทอดมรดกเช่นเดียวกัน ก็ยังไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งได้ !
นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของตำแหน่ง !
ถ้าหากระยะเวลาสามวัน ยังไม่เพียงพอที่จะให้พ่อควบคุมคุณหญิงใหญ่เอาไว้ได้ เช่นนั้นเขาเองก็คงทำได้เพียงเดินไปถึงจุดสิ้นสุด
เฉินตงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาโจวจุนหลง
“คืนนี้ให้ปล่อยข่าวที่คุณซื้อที่ออกไป !”
เฮ้อ !
หลังจากวางสาย เฉินตงก็ถอนหายใจออกมา : “หวังว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลง คงพอจะทำให้ผู้ซื้อเหล่านั้นลังเลและลองพิจารณาดูใหม่ได้บ้างนะ”
ด้วยความสามารถที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลงมีนั้น ไม่มีทางที่จะกู้สถานการณ์ของภาคตะวันของเมืองกลับมาได้ทั้งหมด
แต่สิ่งที่เฉินตงคาดหวังก็คือ ต้องการสั่นคลอนความคิดที่แน่วแน่ของผู้ที่ต้องการขายบ้านคืนเหล่านั้น ให้พวกเขาเกิดความลังเลและลองพิจารณาดูใหม่ และเลื่อนเวลาการคืนบ้านออกไป
เช่นนี้ เขาก็พอจะมีเวลาเพิ่มมากขึ้น เพื่อรอ !
ช่วงบ่าย ข่าวเรื่องที่บริษัทไท่ติ่งรับปากที่จะรับซื้อบ้านคืน แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนลมพายุ จนทำให้ทุกคนต่างตกใจจนอ้าปากค้าง
และสิ่งที่ทำให้ทุกคนยิ่งสับสนมากขึ้นก็คือ ในภาพบันทึกเหตุการณ์นั้น เฉินตงยอมรับปากอย่างไม่ลังเล
ไม่มีความเสแสร้ง และยิ่งไปกว่านั้นไม่มีการแสดงความรู้สึกหรือให้เหตุผลใดๆ
ภาพที่ปรากฏก็คือ หากคุณต้องการคืน ผมก็จะยอมคืนเงินให้คุณอย่างง่ายดาย !
แต่ทว่า สิ่งที่กลับทำให้เกิดความยินดีปรีดาขึ้นในจิตใจของผู้ซื้อที่ต้องการคืนบ้าน
พวกเขาต่างตัดสินใจว่า สามวันให้หลัง พวกเขาจะต้องรีบไปที่จุดศูนย์กลางที่ทำการขายอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อดำเนินเรื่องคืนบ้าน !
แต่พอถึงช่วงเย็น กลับมารายงานข่าวออกมาว่า
(บริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลง ประสบความสำเร็จในการซื้อที่ดินทางภาคตะวันตกของเมืองจำนวนสองแปลง มีรายงานว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลงจะเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาภาคตะวันตกของเมือง !)
ข่าวนี้ทำให้ความคิดของคนทั้งเมืองปั่นป่วนอีกครั้ง
ในตอนแรกที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์โอนหุ้นให้แก่เฉินตง ก็เคยมีกระแสข่าวออกมาแล้ว
หรือนี่ เฉินตงกำลังพยายามช่วยเหลือตัวเองอยู่ ?
คิดที่จะยืมมือของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลง เพื่อที่จะรักษาเสถียรภาพของราคาอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันตกเอาไว้ ?
มีคนคาดเดาไปต่างๆ นานา บางคนก็กำลังลังเล บางคนก็ยังคงมีความคิดที่แน่วแน่ที่จะขายบ้านคืน
เฉินตงกลับถึงบ้านก็หมดเรี่ยวแรงทันที บนศีรษะของเขายังคงมีผ้าพันแผลพันเอาไว้อยู่
หลี่หลานผู้เป็นแม่ตุ๋นซุปให้ด้วยความเป็นห่วง จากนั้นจึงนำไปยื่นให้ที่มือของเขาโดยไม่ถามอะไรมาก ทำเพียงแค่พูดออกมาด้วยท่าทีอ่อนโยนว่า : “กินข้าวเสร็จก็รีบไปพักผ่อนซะ อย่าหักโหมเกินไป”
“แม่ ผมขอตัวกลับห้องก่อน”
เมื่อดื่มซุปเสร็จ เฉินตงไม่รู้สึกหิว เขาจึงเดินกลับเข้าห้องไป
เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า ทันใดนั้นข้อความก็กู้ชิงหยิ่งก็ส่งเข้ามา
“คุณนี่มันโง่จริงๆ เลย ทำไมจะต้องยอมออกมายืนให้คนทำร้ายด้วยนะ ? คุณเคยคำนึงถึงความรู้สึกของฉันบ้างไหม ?”
เฉินตงรู้สึกอบอุ่นในใจ ใบหน้าที่เหนื่อยล้ากลับปรากฏรอยยิ้มที่อ่อนโยนขึ้นมา
“ไม่เป็นไร เป็นแผลเล็กน้อยเท่านั้น”
“อะไรที่เรียกว่าไม่เป็นไร ? ในภาพที่บันทึกไว้มีเลือดไหลออกมาตั้งเยอะ คุณยังจะบอกฉันว่าไม่เป็นไรอีก ? ถ้าตอนบ่ายไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะมีผลกระทบถึงคุณล่ะก็ ฉันคงจะไปหาคุณด้วยตัวเองแล้ว !”
“ไม่เป็นไรจริงๆ”
เฉินตงถ่ายภาพตนเองทำท่ามินิฮาร์ดส่งไปให้กู้ชิงหยิ่งหนึ่งภาพ จากนั้นจึงส่งข้อความไปหนึ่งประโยค : “เสี่ยวหยิ่ง ผมขอตัวพักผ่อนก่อนนะ”
คลับสี่ยิ่น
หลังจากที่กู้ชิงหยิ่งแน่ใจว่าเฉินตงไม่เป็นอะไรมากก็รู้สึกโล่งใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
เธอหันมองพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ
กู้โก๋ฮั๋วกลับยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ : “เสี่ยวหยิ่ง พ่อเองก็รีบช่วยเฉินตงอยู่ แต่ลูกก็รู้ดีว่า โครงการนี้ไม่ใช่ว่าพ่อแค่ออกไปยืนพูดต่อหน้าสื้อเพียงแค่ประโยคเดียวแล้วทุกอย่างจะสำเร็จได้ในทันที ต้องค่อยเป็นค่อยไป !”