The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - ตอนที่ 179
กู้ชิงหยิ่งรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ใบหูของเธออ่อนระทวยไปหมด
เมื่อเรียกสติกลับมาได้เธอจึงถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า : “อยู่ไหน ?”
แต่ทันทีที่พูดออกไป กลับเห็นรอยยิ้มที่ดูแปลกประหลาดของเฉินตง
กู้ชิงหยิ่งผงะไป และรู้สึกตัวในทันที
ทันใดนั้น ใบหน้าของเธอก็ค่อยๆเป็นสีแดงก่ำ
เธอพูดด้วยความโมโหว่า : “คนลามก คิดอะไรของคุณเนี่ย ? พ่อแม่ฉัน คุณลุงคุณอาก็อยู่ที่นี่นะ !”
“แล้วถ้าไม่อยู่ล่ะ ?” เฉินตงยิ้มพลางลูบดั้งจมูกของกู้ชิงหยิ่ง
ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งแดงจนเป็นลูกตำลึง เธอก้มหน้าก้มตาด้วยความอาย ไม่พูดไม่จา
เฉินตงหัวเราะออกมา ไม่คิดที่จะหยอกล้อกู้ชิงหยิ่งอีก : “ไปกันเถอะ ผมจะเข้าไปทักทายคุณลุงคุณป้าในบ้านสักหน่อย เรื่องเมื่อกี้น่าอายจริงๆ”
“คนลามก นับวันจะยิ่งลามกใหญ่แล้ว” กู้ชิงหยิ่งยืนอยู่ที่เดิม แล้วหันมองเฉินตงที่กำลังเดินเข้าไปในบ้านด้วยแววตาตำหนิ
คำพูดนี้ถูกคุนหลุนที่เดินตามมาด้านหลังได้ยินเข้า
เขายิ้มแล้วพูดว่า : “คุณชายลามกกับภรรยาของตัวเอง จะเรียกว่าลามกไม่ได้หรอกครับ”
“คุนหลุน ห้ามคุณพูดนะ” กู้ชิงหยิ่งกระทืบเท้าของเธอด้วยความเขินอาย
คุนหลุนหดคอแล้วยิ้มอย่างทะเล้น แล้วรีบเดินตามเฉินตงเข้าไปข้างใน
มีเพียงกู้ชิงหยิ่งที่ยืนเอามือประสานกันอยู่ที่เดิม และบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ว่า : “ไม่เรียกว่าลามก แล้วจะเรียกว่าอะไร ?”
เฉินตงเดินเข้าไปในห้องรับแขก
กู้โก๋ฮั๋วกำลังดื่มน้ำชาร่วมกับท่านเมิ่งและผู้อำนวยการหลิว
เมื่อเห็นเฉินตงเดินเข้ามาในบ้าน
ท่านเมิ่งกับผู้อำนวยการหลิวก็ลุกขึ้นพร้อมกัน จากนั้นจึงยิ้มอย่างเก้อเขิน
“ตงเอ๋อ เรื่องเมื่อครู่ต้องขอโทษด้วยจริงๆ
ท่านเมิ่งรีบพูดขึ้นก่อน : “โทษที่ฉันเองไม่ยอมถามไถ่ให้ดีเสียก่อน”
เฉินตงยิ้มจากนั้นจึงโบกมือ : “ลุงเมิ่งกังวลเกินไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ อันที่จริงต้องขอบคุณลุงเมิ่งกับอาหลิวด้วยซ้ำที่สนับสนุนผม”
หลังจากได้ยิน
ท่านเมิ่งและผู้อำนวยการหลิวก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก
ต่อให้เฉินตงจะไม่ได้เป็นผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉินก็ตาม แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ พวกเขาก็ยังคงเลือกที่จะช่วยเฉินตงอยู่ดี
อย่างไรเสียนี่ก็คือลูกเขยของครอบครัว
บริษัทชิงหยิ่งไม่กลัวตระกูลหลี่ที่อยู่ในเมืองหลวงเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งพวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งก็เป็นถึงผู้ที่อิทธิพล ส่วนอีกคนก็เป็นถึงยักษ์ใหญ่แห่งวงการแพทย์ แล้วทำไมจะต้องยอมก้มหัวให้กับตระกูลหลี่ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลแสนไกลด้วย
“เรื่องเข้าใจผิด หากพูดกันให้เข้าใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก”
กู้โก๋ฮั๋วพูดไปพลางยิ้มไปพลาง จากนั้นจึงกวักมือให้ทั้งสามคนนั่งลง
รอจนกระทั่งเฉินตงนั่งลงเรียบร้อยแล้ว กู้โก๋ฮั๋วถึงได้เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย : “ตงเอ๋อ เธอเป็นหลานชายของตระกูลหลี่จริงหรือ ?”
หลังจากได้ยิน
ท่านเมิ่งและผู้อำนวยการหลิวเองก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฉินตงด้วยความสงสัย
ถึงแม้จะผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาแล้ว แต่ทั้งสองก็ยังอดที่จะรู้สึกสงสัยไม่ได้อยู่ดี
เด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตกับมารดาตามประสาลูกกำพร้าและหญิงม่ายอย่างยากลำบากมากว่า 20 ปี จู่ๆ ก็กลายมาเป็นผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉิน นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงมากพอแล้ว
มาบัดนี้กลับมีฐานะหลานชายของตระกูลหลี่ซึ่งร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเพิ่มเข้ามาอีก
ความลับที่ซ่อนอยู่ภายใน ต่อให้เป็นคนระดับกู้โก๋ฮั๋ว ท่านเมิ่ง หรือแม้กระทั่งผู้อำนวยการหลิวเองก็ยังอยากรู้อยากเห็น
เฉินตงพยักหน้าเพื่อเป็นการยอมรับ
เขายักไหล่แล้วยิ้มอย่างขมขื่น : “มันคือเรื่องจริง แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ผมลืมตาดูโลกก็ไม่ใช่อีกแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร” กู้โก๋ฮั๋วเป็นพ่อตาในอนาคตของเฉินตง ฐานะของเขาใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินตงมากกว่าท่านเมิ่งและผู้อำนวยการหลิว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกลังเลที่จะเอ่ยถาม
“ผมกับแม่ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมายี่สิบกว่าปี ดังนั้นความลำบากทั้งหมดในชีวิต ต้องขอบคุณตระกูลหลี่ที่เป็นผู้มอบให้ !”
เฉินตงไม่คิดที่จะพูดให้มากความ เรื่องนี้อย่าว่าแต่มารดาของเขาที่ไม่อยากจะหวนรำลึกถึงอีก แม้กระทั่งตัวเขาซึ่งเป็นลูกและไม่ได้ประสบเหตุการณ์โดยตรง ก็ไม่เต็มใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเท่าไหร่นัก
ตา ?
ทุเรศ !
เขาเคยคิดว่า คำว่าพ่อ ถือเป็นคำที่น่ารังเกียจที่สุดสำหรับเขาแล้ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า คำว่าตา น่ารังเกียจยิ่งกว่าคำว่าพ่อเสียอีก
พวกของกู้โก๋ฮั๋วรู้สึกตกตะลึงไปพร้อมกัน
จากนั้น เฉินตงก็พูดต่อว่า : “เรื่องที่ผมเป็นหลานชายของตระกูลหลี่นั้นคือเรื่องจริง แต่เรื่องที่ผมและแม่ต้องตกระกำลำบากกว่ามายี่สิบปีก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน ตระกูลหลี่กดขี่ข่มเหง ขูดเลือดขูดเนื้อ ผมกับแม่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลหลี่อีกต่อไป”
ถึงแม้จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา แต่กลับเป็นคำพูดที่ดุดันและทรงพลัง
ทำให้ความสงสัยในแววตาของพวกกู้โก๋ฮั๋วยิ่งมีมากขึ้นไปอีก
เฉินตงไม่คิดที่จะอยู่ต่อ เขายิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวลา จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินจากไป
ภายในห้องรับแขก
พวกของกู้โก๋ฮั๋วหันมองหน้ากัน
สักพักใหญ่
จู่ๆ กู้โก๋ฮั๋วก็พูดบ่นท่านเมิ่งขึ้นมา : “พี่เมิ่ง พี่เป็นผู้ทรงอิทธิพลในเมืองนี้ อดีตของเฉินตง พี่ไม่รู้บ้างเลยหรือ ?”
ท่านเมิ่งส่ายหัวด้วยคงามงุนงง : “ถึงฉันจะเป็นคนในพื้นที่ แต่เมื่อก่อนฉันเองก็ไม่รู้ว่าเฉินตงคือลูกชายของเจ้าบ้านตระกูลเฉินนี่”
ผู้อำนวยการหลิวยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ : “พี่กู้ พี่ก็อย่าไปบ่นพี่เมิ่งเลย คนรวยระดับพวกเรา หากเดินทางไปที่เมืองอื่น ก็ต้องพยายามที่จะปกปิดฐานะและที่อยู่ เพราะเกรงว่าคนอื่นจะล่วงรู้เหมือนกันไม่ใช่หรือ ?”
กู้โก๋ฮั๋วหัวเราะพรวดออกมา จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
เฉินตงเป็นคนในพื้นที่นั้นคือเรื่องจริง
แต่ตอนนั้นพ่อและแม่ของเขาไม่ใช้คนในพื้นที่เสียหน่อย
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเฉินหรือตระกูลหลี่ ล้วนแล้วแต่อยู่ห่างไกลทั้งนั้น ราวกับยืนหยัดอยู่บนท้องฟ้า
ต่อให้เดินทางมายังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ก็ไม่มีทำอย่างเอิกเกริก คงจะต้องพยายามอย่างที่สุดที่จะปกปิดตนเองเอาไว้
คนระดับนี้หากคิดที่จะหลบซ่อนตัวแล้ว ยากที่คนอื่นจะล่วงรู้ได้
“แล้วเรื่องของตระกูลหลี่จะทำเช่นไร ?” จู่ๆ กู้โก๋ฮั๋วก็เอ่ยถามขึ้นมา โดยที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ท่านเมิ่ง
ท่านเมิ่งเป็นคนเปิดคลับสี่ยิ่นและเป็นเจ้าของที่นี่ ดังนั้นจึงควรให้เขาตัดสินใจ
ท่านเมิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองกู้โก๋ฮั๋ว : “นายอย่ามาถามฉันว่าควรทำอย่างไรดี นายควรจะพูดว่านายคิดจะทำอย่างไร ?”
กู้โก๋ฮั๋วยิ้มเล็กน้อย แต่แววตาของเขากลับดูเฉียบแหลมขึ้นมา : “ในเมื่อลูกเขยคนดีของผมไม่ชอบ ผมในฐานะพ่อตาที่ดีก็ย่อมไม่ชอบเช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว” ท่านเมิ่งพยักหน้า
หลังจากท่านเมิ่งและผู้อำนวยการหลิวกลับไปแล้ว
กู้โก๋ฮั๋วกลับนั่งนึ่ง แววตาลูกซึ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
ฐานะของเฉินตง ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงไม่น้อย
เขาทำได้เพียงแค่เฝ้ามองตระกูลเฉิน ต่อให้เป็นตระกูลหลี่ ก็อยู่ในฐานะที่ไม่ต่างจากเขาเช่นกัน
การได้มายืนอยู่ในฐานะทั้งสองอย่างนี้ ถึงแม้เฉินตงจะต้องเผชิญกับความยากลำบากมากว่ายี่สิบปี แต่สุดท้ายก็ถูกเลือกโดยลูกสาวของเขาเอง
พรหมลิขิตเช่นนี้ ต่อให้เป็นกู้โก๋ฮั๋วก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออยู่ดี
“พ่อคะ……เฉินตงพูดอะไรบ้างหรือเปล่า ?” กู้ชิงหยิ่งเดินเข้ามา
“พูดแล้ว แต่เขาพูดกำกวม ไม่เป็นชัดเจน”
กู้โก๋ฮั๋วยิ้มอย่างเบิกบาน จากนั้นจึงเหลือบไปมอกู้ชิงหยิ่ง : “เสี่ยวหยิ่ง พ่ออยากรู้จริงๆ ลูกรู้ภูมิหลังของเฉินตงตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม ถึงได้เต็มใจรอเขาถึงสามปี ไม่ถือสาถึงแม้จะเป็นการแต่งงานครั้งที่สองของเขา ?”
“พ่อคะ พ่อพูดเหลวไหลอะไรกัน ?” สีแดงบนใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งยังไม่ทันจางหาย ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงยิ่งขึ้นไปอีก
กู้โก๋ฮั๋วหัวเราะเสียงดัง : “กำไรแล้ว ถือว่าได้กำไรก้อนใหญ่จริงๆ ! ต้องขอบคุณที่ตอนนั้นลูกยืนยันที่จะไม่ไปดูตัวกับลูกหลานของพวกเศรษฐีไร้การศึกษาพวกนั้น ไม่เช่นนั้นพวกเราคงต้องขาดทุนย่อยยับแน่ๆ !”
หลังจากเฉินตงออกจากคลับสี่ยิ่นแล้ว
ก็ให้คุนหลุนพาเขาไปส่งที่บริษัท
เขาไม่เห็นตระกูลหลี่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้คุณท่านใหญ่หลี่จะสูงส่งแค่ไหน ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา สำหรับเขานั่นก็เป็นเพียงแค่ฝุ่นเท่านั้น
เขาแสดงขีดความอดทนออกมาให้เห็นแล้ว คิดว่าคุณท่านใหญ่หลี่คงจะยอมถอย
ทันทีที่ถึงบริษัท เสี่ยวหม่าก็วิ่งตรงมาหาเขาอย่างมีความสุข
“พี่ตง ตึกใหญ่ทั้งสี่แห่งขายเกือบหมดแล้ว ระลอกนี้ บริษัทของเราสามารถทำเงินได้มากมายมหาศาล ในอนาคต ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของโจวเย่นชิวและโจวจุนหลง พวกเราก็กล้าที่จะยืนหยัดและต่อสู้ได้อย่างเต็มที่แล้ว”
เฉินตงยิ้มเล็กน้อย : “มีรายได้เท่าไหร่ ?”