The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - ตอนที่ 64
บทที่64 หน้าของคนตระกูลหวาง
ภายใต้การปกคลุมของพระอาทิตย์ตก
เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งค่อยๆเข้าใกล้กันอย่างช้าๆ พระอาทิตย์ตกปกคลุมบนตัวพวกเขาทั้งสอง
ทำให้ฉากนี้ราวกับเป็นภาพม้วน
ในเวลานั้นเอง
มีเสียงที่ไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาดังขึ้น
“ผม…ต้องหลบไปก่อนหรือเปล่า?”
ภาพที่สวยงามถูกทำลายไปในชั่วพริบตา
ร่างบอบบางของกู้ชิงหยิ่งสั่นสะท้านและกระโดดลุกขึ้นราวกับกวางน้อยที่ตื่นตกใจ เธอก้มใบหน้าแดงก่ำลงแล้วรีบเดินกลับไปที่ชิงช้า หลังจากที่นั่งลงไปแล้ว ลมหายใจยังคงดังกระชั้น ไม่กล้ามองไปยังทิศทางของเสียงที่ดังขึ้น
นี่มัน…น่าอายจริงๆเลย
เฉินตงขมวดคิ้วแล้วหันไปมองคุนหลุนที่ยืนอยู่ตรงหัวบันไดอย่างไม่พอใจ
เมื่อกี้นี้เดินรอบวิลล่าอยู่เป็นนานก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเจ้าหมอนี่
ทำไมตอนนี้ถึงได้โผล่ออกมาแล้ว?
“นายทายสิ?”
คุนหลุนเกาหัวอย่างขวยเขินและพูดอย่างอ่อนแรงว่า : “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณทำต่อไปเลยครับ ผมจะหลบไปก่อน”
พูดจบก็หันหลังกลับจะเดินไป
“กลับมา!”
เฉินตงเรียกคุนหลุนให้หยุด ไม่ง่ายเลยที่จะสะสมบรรยากาศทางอารมณ์ขึ้นมาได้แต่กลับถูกเขาทำลายด้วยคำพูดประโยคเดียว
หลบไปตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?
ถึงแม้ว่าเขาเต็มใจจะสานต่อ กู้ชิงหยิ่งก็ไม่เต็มใจแล้ว
เฉินตงถามด้วยจิตใจที่แห้งเหี่ยวว่า : “เมื่อกี้นี้นายไปที่ไหนมา?”
ใบหน้าของคุนหลุนแดงขึ้นมาเล็กน้อย เกิดความรู้สึกผิดอยู่ในใจ เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะทำลายเรื่องดีๆของคุณชาย ถ้ารู้ว่าคุณชายกำลังมีเรื่องดีๆอยู่ล่ะก็ ตีเขาให้ตายก็ไม่มีทางรีบขึ้นมา
ไม่ว่ายังไงก็จะรออีกครึ่งชั่วโมง
แต่ทว่า เนื่องจากเขาถูกเฉินตงเรียกให้หยุดเอาไว้ เขายังเอ่ยตอบกลับไปว่า : “ยังขาดเก้าอี้นวดอีกหนึ่งตัวครับ เมื่อกี้นี้ผมออกไปซื้อมาแล้ว”
เขาจดจำคำสั่งของเฉินตงได้ ว่าตอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่ต้องเรียกเขาว่าคุณชาย โทนเสียงที่พูดให้เป็นวิธีที่เข้ากับการพูดกับเพื่อน
“เก้า อี้ นวด!”
เฉินตงหรี่ตาแล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนแทบแหลก เป็นเพราะเก้าอี้นวดตัวเดียวทิ่มแทงเรื่องดีๆจนไม่เหลือแล้ว?
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะเย็นชาขึ้นมา : “เมื่อกี๊นี้ฉันเห็นในสวนดอกไม้ยังมีอิฐอยู่หลายก้อน นายว่างขนาดนี้ ไปย้ายหน่อยไหม?”
“ไม่มีนี่ครับ” คุนหลุนส่ายหัวอย่างงงงวย ทั้งด้านหน้าและด้านหลังสวนดอกไม้ของวิลล่าได้รับการจัดวางตำแหน่งอย่างพิถีพิถันจากนักตกแต่งภายใน แล้วยังมีก้อนอิฐอยู่ได้ยังไง
เฉินตงกลอกตา : “ฉันบอกว่ามีไง!”
คุนหลุน “….”
หลังจากที่คุนหลุนไปแล้ว
บรรยากาศบนระเบียงเปลี่ยนไปเป็นแปลกประหลาด และอากาศเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
โดยแรกเริ่มพระอาทิตย์ตกพอดี วิวก็สวยคนก็งาม ทุกอย่างพอเหมาะพอดีเพียงแค่รอให้มันเกิดขึ้น
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าคุนหลุนจะมาอย่างกะทันหัน
เฉินตงลูบขมับอย่างจนปัญญา รู้สึกปวดกะโหลกขึ้นมาจริงๆ
สายตาเฉมองไปที่กู้ชิงหยิ่งที่ระเบิดความอับอายออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน
ในเวลานี้กู้ชิงหยิ่งที่นั่งอยู่บนชิงช้าก้มศรีษะลงด้วยความละอายและมองดูพระอาทิตย์ตกที่อยู่ไกลออกไป แล้วแกว่งชิงช้าเบาๆและเท้าก็แกว่งไปมาด้วยในเวลาเดียวกัน
“แค่กแค่ก…” เฉินตงไอออกมาเบาๆสองครั้งเพื่อทำลายความเงียบงัน “ไม่งั้นก็…ต่อมั๊ย?”
ร่างบอบบางของกู้ชิงหยิ่งสั่นสะท้านราวกับถูกฟ้าผ่า
เธอหันศรีษะไปทันทีแล้วจ้องมองเฉินตงอย่างโกรธเคือง : “คุณมันร้ายกาจ!”
หลังจากพูดจบก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง
เฉินตงยิ้มอย่างจนใจ คุนหลุนนายมันโง่ชะมัดเลย!
เพราะว่าความอับอายเมื่อกี้นี้ หลังจากที่กู้ชิงหยิ่งวิ่งลงมาชั้นล่างอายเกินกว่าที่จะอยู่จึงขับรถปอร์เช่911จากไปเลย
สิ่งนี้ทำให้เฉินตงหมดอาลัยตายอยากจากการสูญเสีย
คุนหลุนพูดด้วยความละอายใจเล็กน้อยว่า : “คุณชาย ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะครับ”
“ดีร้ายยังไงก็ควรจะกินมื้อเย็นก่อนไปนะ” เฉินตงพูดอย่างไม่มีทางเลือก แต่เขาก็ไม่ได้โทษคุนหลุน ทำได้เพียงแค่โทษตัวเขาและกู้ชิงหยิ่งที่เดินไปไม่ถึงขั้นตอนแห่งพรหมลิขิต
เฉินตงถูหน้าของเขาแล้วพูดว่า : “คุนหลุน วันนี้จะไปที่โรงยิมมวยใต้ดินหรือเปล่า?”
“คุณชาย วันนี้เฉินเทียนหย่างกลับบ้านไปแล้ว เขาถูกผมทำลายขาไปข้างหนึ่ง ไม่หนึ่งก็สองเดือนถึงจะฟื้นฟูแล้วกลับมาได้” คุนหลุนกล่าว
เขารู้อย่างชัดแจ้งว่าก่อนหน้านี้ที่เฉินตงฝึกฝนอย่างกับปีศาจสุดชีวิตนั้น ที่จริงแล้วเป็นเพราะได้รับการกระตุ้นจากเฉินเทียนหย่าง เพราะฉะนั้นถึงได้มุมานะต่อสู้เพื่อความแข็งแกร่งเพื่อเสริมช่องว่างที่ห่างจากเฉินเทียนหย่าง
ท่าทางการแสดงออกของเฉินตงเปลี่ยนไป เขายิ้มอย่างดื้อรั้น : “ฉันฝึกฝนเพราะต้องการให้ตนเองดียิ่งขึ้น และไม่ใช่เพราะต้องการที่จะแข่งขันกับเฉินเทียนหย่าง เขาไม่คุ้มค่าต่อความพยายามของฉัน”
คำพูดที่ดังกังวานเผยให้เห็นพลังงงานแห่งการดูหมิ่น
ทำให้คุนหลุนมองด้วยรูม่านตาที่หดตัวลงแน่นขึ้น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงได้พยักหน้า “งั้นก็ดีครับ”
…….
ในเวลาเดียวกัน
หวางหนันหนันที่เดินกลับไปที่บ้านอย่างสิ้นหวัง
ดวงตาของเธอร้องไห้จนบวมแดงมาเป็นเวลานาน จนน้ำตาแห้งเหือดไปแล้ว
เธอในตอนนี้ล่มสลายแล้วอย่างสมบูรณ์
เธอจะคิดได้อย่างไรว่า จากตอนแรกที่คาดหวังว่าจะทำให้เฉินตงต้องสูญเสียชื่อเสียงและเกียรติภูมิในความวุ่นวายครั้งใหญ่นี้ กลับเป็นเพราะคำพูดของเฉินตงทำให้เธอตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชน
“ฉันทำอะไรผิดตรงไหนกัน? ฉันเอาเงินแม่ของเขามาสองแสนเหรียญเพื่อช่วยน้องชายของฉัน ผิดตรงไหนกัน? เขาจงใจวางแผนใส่ฉัน ฉันเลยตกเป็นเหยื่อ ทำไมทุกคนถึงได้กล่าวหาฉันแบบนี้?”
ตลอดทางที่เดินกลับบ้าน ความคับแค้นใจดังกล่าวยังคงหลอกหลอนอยู่ในใจของหวางหนันหนันตลอดเวลา
ท้องฟ้ามืดแล้ว
ในที่สุดเธอก็เดินมาถึงหน้าประตูบ้าน
เธอเอนตัวพิงบนประตูอย่างไร้เรี่ยวแรง เธอไม่มีแรงแม้แต่จะหยิบกุญแจขึ้นมาเปิดประตู เธอจึงใช้ศรีษะกระแทกประตูเบาๆ
ในไม่ช้า ประตูก็เปิดออก
“พี่…”
หวางเห้ามองหวางหนันหนันอย่างทุกข์ใจ ท่าทางผิดปกติไปเล็กน้อย
แม้แต่หวางหนันหนันก็ยังมองเห็นประกายความโกรธในดวงตาของหวางเห้าได้อย่างชัดเจน
เธอเอ่ยถามอย่างอ่อนแรง : “เป็นอะไรไป?”
ขณะที่ถามเธอก็ลากตัวเองเข้าไปภายในบ้านอย่างอ่อนเพลีย
แต่ทว่า
“หวางหนันหนัน แกทำให้ตระกูลของเราต้องอับอายขายหน้าจริงๆ!”
เสียงกรีดร้องของจาวซิ่วจือราวกับค้อนอันหนักหน่วง กระแทกแก้วหูของหวางหนันหนันอย่างดุร้าย
หวางหนันหนันนิ่งอึ้งตะลึงอยู่กับที่
ทันใดนั้นเองก็มองเห็นข่าวที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ ในภาพเป็นเธอกำลังส่งเสียงเอะอะในการเปิดขายพรีเซลส์ของหลงถิงฮัวหยวน!
และในเวลานี้เอง เพราะคำพูดของเฉินตง ทุกคนในภาพล้วนแต่แย่งกันกล่าวโทษเธอ
ภายใต้การใช้คำพูดเกินจริงของสื่อ มีตัวอักษรตัวโตหลายคำปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
“เพื่อน้องชายแล้วแม้แต่ชีวิตของแม่สามีก็ไม่แยแส ช่วยเหลือน้องชายอย่างชั่วช้า!”
เรียบง่ายและโหดร้าย แต่ก็มากพอที่จะสะดุดสายตาผู้คน
ข่าวนี้เพียงข่าวเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะตอกเสาแห่งความอัปยศลงไปบนตระกูลหวาง กลายเป็นเป้าโจมตีของประชาชนทั่วไป คนทั้งเมืองทิ้งลงไปสู่ก้นเหวไปแล้ว!
ร่างบอบบางของหวางหนันหนันสั่นสะท้าน ภายในสมองว่างเปล่าจนโหวงเหวง ถ้าไม่ใช่หวางเห้าพยุงเอาไว้ เธอแทบจะล้มลงไปบนพื้น
ใบหน้าของจางซิ่วจือและหวางเต๋อซีดจนน่ากลัวเป็นอย่างมากในเวลานี้
หวางเต๋อเอามือปิดหน้าและถอนหายใจไม่หยุด : “ตระกูลช่างโชคร้าย…ตะกูลช่างโชคร้ายจริงๆ…”
ในตอนนี้จางซิ่วจือผู้รักหน้าตาของตนเองได้ระเบิดขึ้นมาทันที
หน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงและหอบหายใจอย่างหนักพร้อมกับจ้องมองไปที่หวางหนันหนันด้วยความโกรธ : “แกดูความดีที่แกทำสิ แกทำให้ครอบครัวของเราต้องอับอายขายหน้า หวางหนันหนัน ทำไมฉัน…นี่ฉันคลอดสิ่งที่เป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างแกออกมาได้ยังไง?”
“แม่…”
หวางหนันหนันวิงเวียนศรีษะ ขีดจำกัดของเธอได้พังทลายลง แล้วเปล่งเสียงที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงอย่างมากออกมา : “ฉัน…ฉันสร้างปัญหาเพราะต้องการหาเงินให้หวางเห้า…นี่คือสิ่งที่แม่บอกฉันไง…”
“พี่ ถึงหาเงินก็ไม่ต้องทำแบบนี้สิ”
หวางเห้าพูดอย่างโศกเศร้าว่า : “พี่รู้หรือเปล่า ผมเพิ่งจะเล่นเกมส์กับเพื่อน พวกเขารู้เรื่องนี้กันหมดแล้วทุกคนก็พากันหัวเราะเยาะผมกันหมด”
“ฉัน…” หวางหนันหนันยังคิดที่จะพูดอะไรอีก
แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก ทันใดนั้นการกระทำของจาวซิ่วจือทำให้เธอเวียนหัวตาลาย ราวกับถูกฟ้าผ่า
แล้วก็มองเห็นจาวซิ่วจือหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นจึงกดโทรออกอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเหมือนกับว่าใบหน้าได้เปลี่ยนไปและมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า
และพูดอย่างอ่อนโยนว่า : “ลูกเขยที่แสนดี เพราะว่าลูกสาวของฉันหวางหนันหนันขอโทษคุณ คุณต้องยกโทษให้เธอนะ”