The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - ตอนที่ 79
บทที่ 79 งานเลี้ยงที่มีเลศนัยแอบแฝง
ณ โรงพยาบาลลี่จิง
คุนหลุนถูกส่งเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
แพทย์ได้ทำการรักษาอาการบาดเจ็บของคุนหลุนและฟ่านลู่ไปเรียบร้อยแล้ว
สีหน้าของฟ่านลู่เต็มไปด้วยความกังวล
ส่วนเฉินตงนั่งหลับตาแล้วใช้มือซ้ายดึงผ้าก๊อซที่พันอยู่มือขวาเล่นอยู่
ครึ่งชั่วโมงหลังจากการรอยคอย ในที่สุดคุนหลุนก็ออกมาจากห้องฉุกเฉิน
ฟ่านลู่ที่รู้สึกผิดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ส่วนเฉินตงที่ดึงผ้าก๊อซเล่นอยู่ก็ลืมตาขึ้น
หลังจากพาคุนหลุนเข้าห้องพยาบาลแล้ว เฉินตงก็ออกจากที่นั่น
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในไซต์งานเลย
“ผมไม่เป็นไร คุณช่วยบอกคุณชายทีนะ” คุนหลุนยิ้มแล้วพูดปลอบโยนฟ่านลู่ที่กำลังรู้สึกผิดอยู่
เขารู้ว่าฟ่านลู่กลัวเฉินตงจะโทษเธอเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้
และสถานการณ์ในปัจจุบันของฟ่านลู่ เธอไม่อาจเสียการงานได้
“แต่ คุณเฉินจะฟังไหม? เขาต้องไล่หนูออกแน่เลย……” ดวงตาฟ่านลู่แดงก่ำและมือของเธอจับชายเสื้ออย่างประหม่า
“คุณชายไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก เขาแค่ไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเท่านั้น” คุนหลุนยิ้มจางๆ แล้วพูดต่อ “รีบไปสิ”
ฟ่านลู่ลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าแล้ววิ่งออกไป
คุนหลุนมองไปที่เพดานและยิ้มด้วยความโล่งใจ “คุณชายเมื่อกี้นี้เหมือนคุณท่านในสมัยนั้นไม่มีผิดเลย……”
ฟ่านลู่รู้สึกอึดอัดใจมาก ขณะที่เธอเดินออกจากห้องผู้ป่วย ฝีเท้าของเธอส่ายไปมาเล็กน้อย เธอหายใจถี่และใบหน้างดงามของเธอก็แดงก่ำ
เมื่อฟ่านลู่วิ่งไปที่หน้าประตูโรงพยาบาลลี่จิง เธอก็เห็นเฉินตงขึ้นรถพอดี ด้วยความเร่งรีบเธอจึงตะโกนเสียงดัง
เฉินตงที่ได้ยินเสียงเธอก็ลงจากปอร์เช่ 911 หลังจากปิดประตูรถแล้วเขาก็ชี้ไปที่เก้าอี้พักผ่อนในสวนเล็กๆ ของโรงพยาบาลนั้น
ในสวนเล็กๆ ของโรงพยาบาลมีที่เดินเล่นสำหรับผู้ป่วย
เวลานี้เป็นช่วงบ่ายของวัน ดังนั้นในสวนจึงมีเพียงไม่กี่คนและดูเงียบสงบมาก
หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ เฉินตงยิ้มและมองไปที่ฟ่านลู่ที่กำลังตื่นเต้น “มีอะไรเหรอ?”
ฟ่านลู่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาแล้วจับชายเสื้อไว้แน่นๆ ด้วยความลังเล
“ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวก่อนแล้วนะ? ผมยังมีธุระที่บริษัทอยู่”
เฉินตงลุกขึ้นและเดินออกไปสองก้าว แต่จู่ ๆ ก็นึกอะไรบ้างอย่างได้ นึงหันกลับมาพูดกับฟ่านลู่ด้วยรอยยิ้ม “จริงด้วย ถ้าดูแลคุนหลุนแล้วอย่าลืมแม่ผมล่ะ คุนหลุนมันหนังเหนียวอยู่แล้ว ให้อดข้าวมื้อสองมื้อไม่เป็นไร แต่แม่ผมจะอดข้าวไม่ได้นะ”
ฟ่านลู่เงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด ดวงตาสีแดงของเธอก็มีน้ำตาไหลออกมา
ความหมายของเฉินตงคือ เธอจะไม่ถูกไล่ออกเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้!
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณเฉิน……หนูจะดูแลคุณป้าให้ดีที่สุดนะคะ”
ฟ่านลู่ทั้งตื่นเต้นทั้งมีความสุข น้ำตาของเธอไหลลงมาอย่างหยุดไม่ได้อีก
เฉินตงโบกมือแล้วเดินจากไปทันที
เขาไม่ได้ตั้งใจจะถามเรื่องที่เกิดขึ้น
เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของฟ่านลู่ เขากับฟ่านลู่เป็นแค่นายจ้างและลูกจ้างเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้
ถ้าฟ่านลู่เต็มใจที่จะพูด เธอคงจะไม่ลังเลตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาจะไม่ได้สนิทกับฟ่านลู่มาก แต่เขาเชื่อในคุนหลุน
เพราะคุนหลุนยอมปกป้องเธอด้วยชีวิต เขาจึงไม่จำเป็นต้องถามเรื่องนี้อีก
หลังจากขึ้นรถเฉินตงโทรหากู้ชิงหยิ่งเพื่อบอกสารทุกข์สุกดิบของเขา
เขาไม่อยากให้กู้ชิงหยิ่งต้องกังวลมาก
และหลังจากเฉินตงกลับไปถึงออฟฟิศก็ได้รับสายอีกสายหนึ่ง
“สวัสดีครับคุณเฉิน คุณโจวจุนหลงเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลงของเราอยากเชิญชวนคุณร่วมรับประทานอาหารเย็นวันนี้หน่อยครับ แกอยากจะขอขมาเรื่องที่เกิดขึ้นในชุมชนเฮติวันนี้ครับ”
น้ำเสียงที่เย็นชานั้นทำให้เฉินตงไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ขอขมา’ เลย
เขายิ้มตอบ “ได้สิ เวลา สถานที่”
“ซานไห่กื๋อ ณ โรงแรมไท่ซาน”
ตู๊ด ๆ ๆ!
หลังวางสาย เฉินตงยิ้มอย่างเย็นชา
งานเลี้ยงที่มีเลศนัยใช่ไหม?
เฉินตงถูจมูกแล้วยุ่งกับงานต่อ
ในเมื่อโจวจุนหลงเชิญแล้วเขาต้องไปตามนัดอย่างแน่นอน เพราะชุดสูทวันนี้ที่ใส่ไปต่อสู้ได้ฉีกขาดแล้ว เขาจึงต้องไปทวงค่าชุดสูทกับโจวจุนหลง
ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาไม่ได้เป็นห่วงเลย
แม้ว่าไท่ติ่งจะอยู่ในขาขึ้น แต่ก็ยังมีช่องว่างเมื่อเทียบกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลง
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงเรื่องเวลาเท่านั้นที่ไท่ติ่งจะแซงหน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลง
ถ้าเขากลัวจริงๆ เขาจะไม่ไปก่อเรื่องที่ชุมชนเฮติอย่างแน่นอน
สำหรับงานเลี้ยงอันมีเลศนัยใจคืนนี้ เขารู้ดีว่าโจวจุนหลงจะมาไม้ไหนและเขาก็ได้เตรียมการเอาไว้แล้ว
ใครที่กล้าแตะต้องคนของเขา ต่อให้เป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่เขาก็จะสั่งสอนให้หมด!
หลังจากนั้นไม่นานโจวเย่นชิวก็โทรเข้ามา
เฉินตงยิ้มแล้วรับสาย
“เฉินตง จะให้ช่วยไหม?”
ไม่มีคำทักทายอื่นๆ ทันทีที่รับสายโจวเย่นชิวก็พูดตรงประเด็น
“คุณรู้แล้วเหรอ?” เฉินตงยิ้มอย่างมีความสุข ในเมืองนี้โจวเย่นชิวเป็นคนกว้างขวาง ยิ่งเรื่องเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย ดังนั้นเธอต้องรู้แน่นอน
“นายยังหัวเราะได้อยู่เหรอ?”
โจวเย่นชิวบ่น “ขนาดเรายังต้องเกรงใจคนอย่างโจวจุนหลงเลย นายช่างกล้าจริงๆ ที่ไปบุกถึงที่ หนึ่งรุมสิบไม่พอ แถมยังไปหักขาลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วย บอกหน่อยว่าทำไมตอนนายอยู่กับเราไม่สู้แบบนี้?”
“เขาทำร้ายคนของผม แล้วทำไมผมถึงเอาคืนไม่ได้ล่ะ” เฉินตงยิ้มพูด
โจวเย่นชิวในสายถอนหายใจแล้วเงียบไปสักพัก
จากนั้นค่อยๆ พูดขึ้นว่า “นายต้องเตรียมให้พร้อมนะ โจวจุนหลงเป็นคนใจดำอำมหิต หลายปีที่รู้จักมันไม่เคยอยู่ในกฎเลย มันมีพวกนักฆ่าในมือเยอะ แล้วคืนนี้จะให้ผมไปโรงแรมไท่ซานด้วยไหม?”
เฉินตงหยุดชะงักและรู้สึกเอะใจ
ต่อให้โจวเย่นชิวมีจุดประสงค์บางอย่างที่จะไปร่วมงานเลี้ยงกับเขาด้วย
แต่มันก็ต้องแลกด้วยความเสี่ยงที่คนปกติไม่สามารถทำได้
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปคนเดียวได้”
เฉินตงตอบด้วยรอยยิ้ม
“โอเค งั้นมีอะไรค่อยโทรมาก็แล้วกันนะ ถึงแม้ผมจะเกรงใจโจวจุนหลง แต่ถ้าจะให้ต่อกรด้วยจริงๆ เขาก็ต้องกลัวเราเหมือนกัน”
โจวเย่นชิวพูดอย่างมั่นใจ
“ขอบคุณประธานโจวครับ”
หลังจากวางสาย เฉินตงก็หยุดคิดถึงงานเลี้ยงในคืนนี้และมุ่งความสนใจไปที่งานของเขา
สำนักงานที่หรูหราในอีกฟากหนึ่ง
หลังจากที่โจวเย่นชิววางสาย เขาดันแว่นที่ดั้งจมูกแล้วยิ้มพูดกับตัวเอง “คลื่นลูกใหม่พัดคลื่นลูกเก่า เราต่อสู้กับโจวจุนหลงมานานหลายปีแล้ว ทีนี้ก็มีคลื่นลูกใหม่ที่เคยอยู่กับเรามาช่วยจัดการแทนแล้วสินะ”
โจวเย่นชิวถูขมับของเขาด้วยดวงตาอันลึกล้ำ
“ท่านหลงครับท่านหลง คุณไปแล้วเฉินตงก็กล้าหาญมากขึ้น ผมไม่รู้จริงๆ แล้วว่าผมควรช่วยเขาหรือไม่?”
มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ ส่วนอีกข้างใช้ปลายนิ้วเคาะพื้นโต๊ะเบาๆ
ในห้องทำงานขนาดใหญ่ ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงปลายนิ้วที่เคาะลงบนพื้นโต๊ะ
และในที่สุด ดวงตาที่ลังเลของโจวเย่นชิวก็เกิดความแน่วแน่ขึ้น
จนกระทั่งหกโมงเย็น
เฉินตงเสร็จงานแล้วออกจากออฟฟิศของเขา
เขาขับรถไปที่บริษัทวัสดุก่อสร้างยิงลี่เพื่อนำรถไปคืนให้กู้ชิงหยิ่งก่อน
ซึ่งงานเลี้ยงที่มีเลศนัยในคืนนี้เขาไม่ได้บอกให้เธอรู้
เขาพูดคุยสั้นๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้กับกู้ชิงหยิ่งเพื่อทำให้เธอสบายใจก่อน จากนั้นก็จากเธอไป
ต่อมาเขาขึ้นรถแท็กซี่แล้วตรงไปที่โรงแรมไท่ซานด้วยตัวคนเดียว
ยามราตรี……ค่อยๆ ใกล้เข้ามา…..