The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 201 ศึกชิงรักหักสวาท
หลังจากนิ่งไปสักพัก
เฉินตงก็ยิ้มออกมา
เมื่อเทียบกับนามบัตรของตระกูลจางแล้ว นามบัตรใบนี้ดูจะทันสมัยกว่า
บนนามบัตร มีเพียงแค่เบอร์โทรศัพท์กับข้อความหนึ่งบรรทัด
เนื้อหาของข้อความคือ : ต้องการเจรจาเรื่องธุรกิจ
ผู้ที่ลงนามคือ : ฉู่เจียนเจีย
เฉินตงวางนามบัตรลงแล้วคิดอะไรบางอย่าง
ในที่สุด เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายโทรศัพท์
ปลายสายกดรับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ ใช่คุณเฉินตงไหมคะ ?”
น้ำเสียงที่ฟังดูเยือกเย็นดังขึ้นมาจากปลายสาย
เฉินตงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย : “ผมเองครับ ไม่ทราบว่าคุณหนูฉู่เจียนเจียต้องการเจรจาธุรกิจอะไรกับผมหรือครับ ?”
“สองทุ่มคืนนี้ ไปคุยกันที่เทียนเก๋อ หมู่ตึกยู่ฉวน”
ตู๊ด !
โทรศัพท์ถูกตัดสายไปทันที
เฉินตงรู้สึกตกใจเล็กน้อย
หลังจากดูนามบัตรเรียบร้อยแล้ว เขาก็รู้จุดประสงค์ในการมาของตระกูลฉู่ดี ว่าเหมือนกับจุดประสงค์ของตระกูลจางทุกประการ
แต่มีการดึงดูดความสนใจที่ต่างออกไปจากตระกูลจาง ตระกูลฉู่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเกินไปหรือเปล่า ?
แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว เฉินตงกลับยินดีที่จะพบกับฉู่เจียนเจียคนนี้มากกว่า
ไม่ใช่เป็นเพราะอีกฝ่ายเปิดเผยตรงไปตรงมาจนสามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้
แต่เป็นเพราะสไตล์ของตระกูลจางและตระกูลฉู่นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
การเชื้อเชิญของตระกูลจางทำให้เขาเกิดคาดเดา แต่การแสดงออกของจางหยู่หลัน ทำให้เขาล้มเลิกความคิด
แต่นามบัตรของฉู่เจียนเจียนั้น เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าต้องการร่วมทำธุรกิจ การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้เป็นการง่ายที่ทั้งสองฝ่ายจะทำความรู้จักกันมากขึ้น
“คืนนี้พี่ตงจะไปจริงๆ หรือครับ ?”
กูหลังถาม
เฉินตงพยักหน้า : “ทำธุรกิจนี่ ก็ต้องไปตามนัดสิ”
“หรือจะให้ผมไปเป็นเพื่อนดี ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็อยู่ในสถานที่ของโจวเย่นชิว” กูหลังรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
เฉินตงลังเลอยู่สักครู่ จากนั้นจึงพยักหน้าตอบรับ
ไม่ใช่ว่าจะเป็นกังวลเรื่องโจวเย่นชิว เพียงแต่เมื่อคิดดูแล้ว รูปลักษณ์ของกูหลังคงไม่เหมือนกับฉินเย่ จนทำให้คนอื่นจำผิดได้หรอกใช่ไหม ?
หลังจากกูหลังออกไปได้เพียงไม่นาน ก็มีหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามา
เฉินตงรับสายโทรศัพท์
“คุณเฉิน ผมคือจางไท่เยว่จากตระกูลจางแห่งเมืองหลวง”
“สวัสดีครับคุณท่านใหญ่ตระกูลจาง” เฉินตงขมวดคิ้ว
จางไท่เยว่พูดต่อ : “เรื่องนั้นเมื่อสองวันก่อน ผมไม่คิดเลยว่าหลานสาวของผมจะทำเรื่องโง่ๆ เช่นนั้นลงไป ผมต้องขอโทษอย่างสุดซึ้งจริงๆ ดังนั้นคืนนี้เวลาสองทุ่ม ผมจึงตั้งใจเป็นพิเศษที่จะจัดงานเลี้ยงมื้อค่ำให้แก่คุณเฉินที่เทียนเก๋อ หมู่ตึกยู่ฉวน และผมจะพาหลานสาวของผมไปกล่าวขอโทษต่อหน้าคุณเฉิน”
หมู่ตึกยู่ฉวน ?
เทียนเก๋อ ?
เวลาสองทุ่มเช่นเดียวกัน ?
เฉินตงยิ้มออกมาอย่างประหลาด : “ต้องขอขอบคุณในความหวังดีของคุณจาง แต่ว่าเมื่อครู่ผมเพิ่งรับปากที่จะไปพบกับตระกูลฉู่แห่งเมืองหลวงคืนนี้ ที่เทียนเก๋อหมู่ตึกยู่ฉวนในเวลาสองทุ่มเช่นเดียวกัน”
“อะไรนะ ?”
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางรู้สึกตกใจ จากนั้นจึงรีบพูดว่า : “ขออภัยด้วย คุณเฉินโปรดรอสักครู่”
จากนั้นสายโทรศัพท์ก็ตัดไป
เฉินตงแสยะยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าตระกูลจางและตระกูลฉู่จะมีพรหมลิขิตต่อกันเป็นอย่างมาก เพราะว่ามีเป้าหมายที่เหมือนกัน แม้กระทั่งสถานที่นัดหมายก็ยังเป็นที่เดียวกัน
คิดๆ ดูแล้วก็มีเหตุผล
หมู่ตึกยู่หยวนถือเป็นสถานที่ชั้นยอดของเมืองนี้
แน่นอนว่ายังด้อยกว่าคลับสี่ยิ่น
แต่คลับสี่ยิ่นมีลักษณะพิเศษ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปได้
หมู่ตึกยู่หยวนของโจวเย่นชิว สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า
การที่ตระกูลจางและตระกูลฉู่แห่งเมืองหลวงจะเลือกใช้เทียนเก๋อ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจนัก
เฉินตงถูจมูกไปมาแล้วบ่นพึมพำ : “ไม่รู้ว่าคืนนี้จะเจอกับตระกูลไหนกันแน่ ?”
ขณะที่พูด เขาก็ต่อสายโทรศัพท์หาท่านหลง เพื่อถามสถานการณ์ของตระกูลฉู่
……
โรงแรมไท่ซาน
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ มือของเขากำโทรศัพท์เอาไว้แน่น
“คุณปู่ เป็นอะไรไปคะ ?” จางหยู่หลันเอ่ยถามด้วยความสงสัย
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพูดว่า : “นัยเด็กตระกูลฉู่นั่น คำนวณเอาไว้เป็นอย่างดี ต่อให้ยังเดินทางมาไม่ถึงแต่กลับเชิญคุณเฉินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังเลือกที่เทียนเก๋อ หมู่ตึกยู่ฉวนเหมือนพวกเรา และเลือกเวลาเดียวกับพวกเราอีกด้วย”
“เป้นแบบนี้ไปได้อย่างไร ?”
จางหยู่หลันยกมือขึ้นปิดปากของเธอด้วยความประหลาดใจ
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพูดอย่างโมโหว่า : “ไปหมู่ตึกยู่ฉวนกับปู่เดี๋ยวนี้ ให้โจวเย่นชิวรับปากให้ได้ว่าคืนนี้ เทียนเก๋อมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ หากไม่มีสถานที่สำหรับจัดเลี้ยงแล้ว ปู่จะดูซิว่านังเด็กตระกูลฉู่นั่นจะอวดเก่งได้อย่างไร !”
……
เลิกงานในช่วงเย็น
เฉินตงเลิกงานตรงเวลา
คุนหลุนขับรถมาจอดรออยู่ที่ข้างถนนนานแล้ว
หลังจากขึ้นรถกับกูหลังแล้ว ก็มุ่งตรงไปยังหมู่ตึกยู่ฉวนทันที
เฉินตงไม่ได้สนใจว่าคืนนี้ที่หมู่ตึกยู่ฉวนจะเป็นงานเลี้ยงของใครกันแน่
ถ้าหากเป็นฉู่เจียนเจีย ก็นั่งลงเพื่อพูดคุยสักครู่
แต่ถ้าหากเป็นจางหยู่หลัน ก็คงทำเพียงแค่กลับโดยไม่สนใจ
หลังจากฟังท่านหลงพูดในช่วงบ่าย เฉินตงก็ได้รู้จักตระกูลฉู่มากยิ่งขึ้น ตระกูลฉู่เองก็ทำธุรกิจด้านภาพยนตร์และสื่อบันเทิง แต่มักจะถูกตระกูลจางนำหน้าด้านธุรกิจหนึ่งก้าวมาโดยตลอด
แต่ตระกูลฉู่ยังมีธุรกิจด้านอื่น ที่เติบโตและยิ่งใหญ่กว่าธุรกิจด้านภาพยนตร์และสื่อบันเทิง ดังนั้นหากจะพูดกันตามตรงก็คือ จริงๆ แล้วตระกูลฉู่นั้นแข็งแกร่งกว่าตระกูลจางเล็กน้อย
แต่ทว่า เพียงแค่การแข่งขันกันในธุรกิจด้านภาพยนตร์และสื่อบันเทิง ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งสองตระกูลกลายเป็นคู่แข่งกันได้แล้ว
จึงไม่แปลกที่ทั้งสองฝ่ายจะมาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน
“คุณชาย ดูเหมือนว่าตอนนี้ ตระกูลจางและตระกูลฉู่มาเพื่อผูกมิตร ความวุ่นวายในตระกูลหลี่ครั้งนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเราใช่ไหมครับ ?” คุนหลุนขับรถพลางพูดติดตลกไปพลาง
แต่เฉินตงกลับส่ายหัว : “ตระกูลจางและตระกูลฉู่ลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวง ถึงแม้จะเป็นตระกูลที่มั่งคั่ง แต่ก็ยังไม่ใช่ชนชั้นสูงที่มีความโดดเด่นจริงๆ ทั้งสองตระกูลไม่สามารถเป็นเครื่องหมายแทนเมืองหลวงทั้งเมืองได้”
คุนหลุนขมวดคิ้ว แต่กลับรู้สึกว่ามีเหตุผล
ขณะที่รถขับเข้าไปในหมู่ตึกยู่ฉวน
ก็เป็นเวลาสองทุ่มพอดี
หลังจากลงจากรถ เฉินตงพาคุนหลุนกูหลังเดินตรงไปยังเทียนเก๋อ
เวลาเดียวกันนี้
ภายในเทียนเก๋อ กลับมีบรรยากาศที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
อากาศเย็นยะเยือกทนทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก
โจวเย่นชิวหันมองทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหม่า มือทั้งสองข้างถูกันไปมา มีเหงื่อไหลอาบอยู่ตรงหน้าผาก
หลังจากที่เขาสร้างหมู่ตึกยู่ฉวนขึ้นมา และสร้างกฎเกณฑ์ของเทียนเก๋อขึ้น เขาก็มีโอกาสต้อนรับแขกที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากหน้าหลายตา
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เป็นสิ่งที่เขาเพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรก
ทำให้เขาเองก็ทำตัวไม่ถูก
ทั้งสองตระกูลล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลที่มั่งคั่งของเมืองหลวง และทั้งสองตระกูล ก็ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะให้เขายอมเปิดเทียนเก๋อ และใช้การต้อนรับในระดับที่เยี่ยมที่สุดเหมือนกัน
แต่ที่สำคัญก็คือ ตระกูลฉู่เป็นผู้ลงชื่อจองไว้ก่อน แต่ตระกูลจางต้องการที่จะแย่ง
ถึงแม้เขาจะเป็นผู้นำของธุรกิจห้างสรรพสินค้าในเมืองนี้ แต่ก็คงยังไม่โง่ถึงขึ้นที่จะลูบคมทั้งสองตระกูลพร้อมกัน
จึงทำให้เกิดฉากที่น่าอับอายปรากฏอยู่ตรงหน้า
ตระกูลจางและตระกูลฉู่นั่งร่วมอยู่ในโต๊ะเดียวกัน
อีกทั้งล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกันก็คือ ต้องการจัดงานเลี้ยงให้กับเฉินตง !
“ฉู่เจียนเจีย ฉันเชิญคุณเฉิน เธอก็เชิญคุณเฉิน ตั้งแต่เล็กจนโต ทำไมเรื่องทุกอย่าง เธอต้องคอยแต่จะทำตามฉันด้วย ?”
ใบหน้าอันงดงามของจางหยู่หลันบูดบึ้ง เธอเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วกล่าวตำหนิ
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ เป็นหญิงสาวที่สวมเครื่องแต่งกายแบบนักธุรกิจสีดำของ OL มีรูปร่างที่สูงโปร่งและสง่างาม มัดผมหางม้าและสวมแว่นตา แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่โดดเด่นของเธอ
ส่วนประกอบทุกอย่างบนใบหน้าล้วนงดงามราวกับถูกจัดวางเอาไว้ ถือเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อเทียบกับจางหยู่หลันแล้ว อาจจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่การแต่งกายของเธอกลับดูสง่างามและภูมิฐานกว่า
“ฉันแค่อยากเจรจาเรื่องธุรกิจกับคุณเฉิน” น้ำเสียงของฉู่เจียนเจียเยือกเย็นเหมือนกับบุคลิกของเธอ
“เจรจาเรื่องธุรกิจ ? มาตั้งไกลเพื่อมาเจรจาเรื่องธุรกิจที่นี่เนี่ยนะ ?”
จางหยู่หลันหัวเราะเยาะออกมา แล้วลุกยืนขึ้น : “นังแรดอย่างเธอ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอยากที่จะเข้าใกล้เฉินตง เธอคิดจะเอาอะไรมาสู้กับฉัน ? ไม่ว่าจะเรื่องรูปร่างหน้าตา เธอคิดว่าเฉินตงจะชอบเธออย่างนั้นหรือ ?”
“ชาตินี้เธอคงจะใหญ่แค่หน้าอกแต่ไม่มีสมองสินะ” ฉู่เจียนเจียขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วทำท่าทีดูถูกเหยียดหยาม
“แก……” จางหยู่หลันโกรธจนหน้าแดงทันที
สถานการณ์เริ่มร้อนระอุขึ้น
สีหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางดูไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม
โจวเย่นชิวนั่งมองด้วยความตกตะลึงจนอ้าปากค้าง หัวใจของเขาเต้นแรง
ทั้งสองคนนี้……เป็นสิ่งล้ำค่าของตระกูลจางกับตระกูลฉู่ แต่กลับกำลังชิงรักหักสวาทเพื่อแย่งชิงเฉินตงกันอย่างนั้นหรือ ?
มันเป็นเรื่องที่สมควรไหม ?
ทำไมถึงแสดงออกมาโดยไม่คำนึงถึงฐานะและชื่อเสียงเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้ ?
ทันใดนั้นเอง
โจวเย่นชิวก็เห็นคนทั้งสามปรากฏตัวขึ้น
เขาแอบถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งใจในทันที จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “คุณเฉิน ในที่สุดคุณก็มาเสียที”
จางหยู่หลันและฉู่เจียนเจียที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ ต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกันในทันที แม้แต่คุณท่านใหญ่ตระกูลจางเองก็ยืนขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงวัยวุฒิและฐานะของเขา