The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 209 ตระกูลโจวแห่งซีสู่
คำพูดเพียงประโยคเดียว แต่กลับทำให้บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยหนาวเหน็บราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็งใต้ดิน
พวกของเฉินตงต่างตกตะลึง
ตระกูลตระกูลหนึ่ง ต้องผ่านความพยายามอย่างหนักของคนหลายชั่วอายุคนถึงจะสามารถประสบความสำเร็จขึ้นมาได้
ไม่เพียงแค่เรื่องของทรัพย์สินเท่านั้น แม้กระทั่งฐานะรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ต่างสร้างมาจากหยาดเหงื่อแรงงานของคนหลายชั่วอายุ
และการที่ทำให้คนตระกูลหนึ่งกลายเป็นแพะรับบาปได้นั้น ทำกับเป็นการทำลายความพยายามที่มีมาทั้งหมดของคนกี่ชั่วอายุกัน ผู้บงการคนนี้ จะต้องเป็นคนที่น่ากลัวขนาดไหน ?
อย่างน้อย กู้ชิงหยิ่งก็รู้สึกตกใจจนกระทั่งต้องยกมือขึ้นมาป้องปาก
“เฮ้อ……”
เฉินตงถอนหายใจ เขาหยิบข้อมูลขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
“ตระกูลโจวแห่งซีสู่ ?”
ข้อมูลเขียนไว้ชัดเจนว่า ตระกูลโจวเป็นเพียงแค่ตระกูลเล็กๆ ภายในซีสู่เท่านั้น
หากเทียบกับตระกูลหลี่ ตระกูลฉู่ และตระกูลจางแล้วนั้น หรือแม้กระทั่งนำมาเปรียบเทียบกับโจวเย่นชิว ก็เป็นเพียงมดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
อาศัยอยู่ในพื้นที่เล็กๆ เป็นเหมือนผู้มีอิทธิพลประจำท้องถิ่นก็เท่านั้น
ทรัพย์สินโดยรวมของทั้งตระกูล ก็มีไม่เกินสามร้อยล้าน
แล้วมีคุณสมบัติอะไรที่จะมาเป็นผู้บงการ ?
อย่าว่าแต่เรื่องที่ไม่มีความแค้นต่อกันเลย ต่อให้มีความแค้นจริง ตระกูลโจวก็ไม่มีทางที่จะมีความกล้าขนาดนี้ !
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีทางรอดพ้นจากการร่วมมือกันสืบหาอย่างพลิกแผ่นดินมาได้ถึงสามวันขนาดนี้
“น่าขำสิ้นดี !”
เฉินตงปิดข้อมูลกลับไปเหมือนเดิม แล้วโยนลงถังขยะ
โจวเย่นชิวหันมองถังขยะหนึ่งครั้ง แล้วพูดออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก : “แต่การร่วมมือกันสืบหาขนาดนี้……”
“สืบออกมาเหมือนกันขนาดนี้ ถึงได้เรียกว่ามีลับลมคมในอย่างไรล่ะ”
ท่านหลงพูดตัดบทโจวเย่นชิว : “ถ้าหากมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็ยังพอจะมีความเป็นไปได้ แต่นี่เหมือนกันทุกตัวอักษรขนาดนี้ แล้วมันไม่เหมือนกับการลอกข้อสอบหรืออย่างไร ?”
โจวเย่นชิวผงะไป เขายืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก
“ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคนนี้ก็น่าขำ ภายในเวลาสามวัน กลับหาแพะรับบาปออกมาได้ เขาทำอย่างไรกันแน่ ตระกูลโจวถึงยินดีที่จะยอมตายแทนเช่นนี้ ?”
เฉินตงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
ตระกูลตระกูลหนึ่งต้องใช้ความพยายามของคนหลายชั่วอายุ แต่สุดท้ายกลับยอมเป็นแพะรับบาป ถึงขั้นที่ตระกูลอาจต้องจบสิ้นลง
ความเสียสละเช่นนี้ จะยอมเต็มใจทำเพียงเพราะถูกบีบบังคับได้เช่นนั้นหรือ ?
แน่นอนว่าไม่มีทาง
“คุณชาย ตอนนี้จะทำอย่างไรต่อดีครับ ?”
เฉินตงยักไหล่ จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างจนใจ : “พ่อว่าอย่างไร ก็จัดการอย่างนั้นเถอะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
ท่านหลงหันหลังเดินกลับออกไป
โจวเย่นชิวลังเลอยู่สักครู่แล้วจึงเดินตามออกไป
ภายในห้องพักผู้ป่วย บรรยากาศเงียบสงัด
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตงจางหายไป เหลืออยู่เพียงแค่ความเย็นชาและความหดหู่
คนที่สามารถควบคุมตระกูลตระกูลหนึ่งให้เป็นแพะรับบาปแทนตนได้นั้น ช่างน่าสนใจจริงๆ
จิ้งจอกที่สามารถซ่อนหางเอาไว้ได้หนึ่งครั้ง จะสามารถซ่อนเอาไว้ตลอดไปได้หรือไม่ ?
“เฉินตง……”
กู้ชิงหยิ่งเอ่ยปากพูด
เฉินตงโบกมือ : “เสี่ยวหยิ่ง เอาข้อมูลมาให้ผม ผมอยากจะอ่านดูอีกสักหน่อย”
หลังจากได้รับข้อมูลมาแล้ว เฉินตงก็ถ่ายรูปหน้าแรกเอาไว้ จากนั้นจึงส่งไปให้ฉินเย่
“คุณเป็นคนซีสู่ รู้จักตระกูลโจวนี่แค่ไหนกัน ?”
“ผมจะไปคุยกับคุณที่โรงพยาบาล” ฉินเย่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
……
หมู่ตึกยู่ฉวน
ภายในเทียนเก๋อ
ฉู่เจียนเจีย คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันนั่งมองหน้ากัน
หาข้อมูลออกมาได้เหมือนกันในเวลาเดียวกัน
ด้วยประสบการณ์ของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางแล้ว ทำไมถึงไม่สามารถสังเกตเห็นว่ามีลับลมคมในได้ ?
“หน่วยข่าวกรองผิด !” ฉู่เจียนเจียกล่าว
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพยักหน้า ตอนนี้เขาเองก็พูดโดยไม่ได้คำนึงถึงความสงสัยก่อนหน้านี้ : “ผลของหน่วยข่าวกรองหลักออกมาเหมือนกันขนาดนี้ ดูอย่างไรก็เหมือนกับผู้บงการตั้งใจที่จะเปิดคำเฉลยให้พวกเราดูอย่างไรอย่างนั้น”
“อีกทั้งตระกูลโจวแห่งซีสู่นั้น ก็ไม่มีแรงจูงใจในการลงมือ ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่มีความกล้าขนาดนั้นด้วย” ฉู่เจียนเจียกล่าว
“แล้วถ้าเป็นพวกเขาจริงๆ ล่ะ ?” จู่ๆ จางหยู่หลันก็เอ่ยถามขึ้นมา
ฉู่เจียนเจียขมวดคิ้วแน่นแล้วหันมองจางหยู่หลันด้วยสายตาเย็นชา : “หน้าอกใหญ่แต่ไม่มีสมอง”
“แก……” จางหยู่หลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“หยู่หลัน หุบปาก !”
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางห้ามปรามจางหยู่หลันไว้
จากนั้น เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “แต่ว่า ในเมื่อได้คำตอบออกมาแล้ว เราทั้งสองตระกูลก็คงจะกลับเมืองหลวงได้เสียที”
หลายวันมานี้ คุณท่านใหญ่ตระกูลจางไม่อาจข่มตาให้นอนหลับลงได้
พลังสมองของเขาทั้งหมด ใช้ไปกับการสืบหาตัวผู้บงการ
เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าหากสืบออกมาไม่ได้แล้วล่ะก็ ใครก็ไม่อาจรองรับความโกรธของตระกูลเฉินได้ไหว !
อย่างไรก็ตาม
หลังจากคำพูดนี้พูดออกไป
โจวเย่นชิวก็กำลังเดินเข้ามาในเทียนเก๋อ
เขาได้ยินสิ่งที่คุณท่านใหญ่ตระกูลจางพูดเข้าพอดี
โจวเย่นชิวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ขออภัยด้วย ทั้งสามท่านยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“หมายความว่าอย่างไร ?” จางหยู่หลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที
โจวเย่นชิวกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง : “หลังจากคุณเฉินออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขาต้องการที่จะพูดคุยกับพวกคุณทั้งสามคนอีกสักครั้ง”
หลังจากได้ยิน
คุณท่านใหญ่ตระกูลจางและจางหยู่หลันก็มีสีหน้าหมองหม่นลงพร้อมกันทันที
สืบสวนความผิด ?
ฉู่เจียนเจียขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉัน ฉันช่วยเขาด้วยความหวังดี แต่เขารับมีดเล่มนั้นด้วยตัวเอง ทำไมฉันถึงยังไปไม่ได้ ?”
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ทั้งสองตระกูลเองต่างก็ถอดใจเรื่องการผูกมิตรกับเฉินตงเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือควรพาตัวเองกลับไปถึงเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด
ส่วนเรื่องผูกมิตรนั้น คงต้องเลื่อนออกไปอีกยาว
“คุณหนูฉู่เข้าใจผิดแล้ว คุณเฉินมีเรื่องต้องการจะถามคุณ”
โจวเย่นชิวกล่าวอธิบายแล้วกวาดสายตามองคนทั้งสามหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า : “ดังนั้น ก่อนที่คุณเฉินจะออกจากโรงพยาบาล รบกวนทั้งสามท่านพักอยู่ที่หมู่ตึกยู่ฉวนอีกสักระยะ กระผมโจวเย่นชิวในฐานะเจ้าของตึก จะดูแลรับรองทั้งสามท่านเป็นอย่างดี ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง”
หลังจากพูดจบ
โจวเย่นชิวก็หันหลังเดินจากไปทันที
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีความเป็น “มิตร” หลงเหลืออยู่เลย
“คุณปู่คะ เราจะทำอย่างไรกันดี ?”
จางหยู่หลันหน้าถอดสี เธอคว้าแขนของคุณท่านใหญ่ตระกูลจางเอาไว้
คูรท่านใหญ่ตระกูลจางถอนหายใจ และพูดอย่างหดหู่ว่า : “การสืบสวนความผิด อย่างไรเสียก็ต้องเกิดขึ้น การชดใช้เล็กน้อย ตระกูลจางก็ยังคงพอรับไหว เรื่องนี้สามารถสืบหาความจริงออกมาได้ ก็ถือเป็นพรที่ฟ้าประทานมาให้แก่ตระกูลจางแล้ว”
“แต่……” จางหยู่หลันสีหน้าซีดเผือด เธอรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน ทำไมคืนนั้นมือของเธอถึงได้แส่หาเรื่องขนาดนั้นนะ ?
ฉู่เจียนเจียส่ายหัว แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
“นังบ้า !” จางหยู่หลันตะโกนด่าทอด้วยความโกรธ
……
โรงพยาบาลลี่จิง
ภายในห้องพักผู้ป่วย มีเพียงแค่เฉินตงและฉินเย่อยู่กันตามลำพัง
กู้ชิงหยิ่งอยู่ดูแลเฉินตงที่โรงพยาบาลมาสามวันแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาเคยอยู่ดูแลแม่ที่โรงพยาบาลมาก่อน เขาจึงรู้ดีว่าการอยู่ดูแลผู้ป่วยที่โรงพยาบาลนั้นเหนื่อยขนาดไหน
ถึงแม้กู้ชิงหยิ่งจะไม่สนใจ แต่เขาก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดี
เสียงของฉินเย่ดังขึ้นอยู่ภายในห้องพักผู้ป่วย
เฉินตงฟังไปพลาง อ่านข้อมูลของตระกูลโจวแห่งซีสู่ไปพลาง
ท่าทางของเขายิ่งดูเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มที่ปรากฏออกมาที่มุมปากของเขายิ่งชัดเจนขึ้น
เมื่อฉินเย่พูดจบ
แควก !
เฉินตงฉีกข้อมูลที่ถืออยู่ในมือออกเป็นชิ้นๆ
แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า : “สุดยอดจริงๆ ผู้บงการคนนี้ดูเหมือนจะเป็นเทวดา ถึงได้สร้างข้อมูลของตระกูลโจวออกมาได้ไม่แตกต่างกับที่คุณพูดมา นี่มันเหมือนกับการท่องจำมาชัดๆ ใครเชื่อผลลัพธ์นี่ก็บ้าแล้ว !”
“ไม่มีใครเชื่อแน่นอน”
ฉินเย่ยักไหล่ จากนั้นจึงเบะปากแล้วพูดว่า : “ถ้าเป็นตระกูลฉินแห่งซีสู่ทำร้ายคุณ ผมยังพอรับได้ แต่ตระกูลโจวที่ไร้ความหมายคิดจะลอบสังหารคุณ ? คิดว่าตระกูลของพวกเขาจะทำได้อย่างไร”
“แต่ว่า นี่คือผลลัพธ์ที่คนผู้นั้นต้องการให้ปรากฏออกมา แล้วคุณคิดจะทำเช่นไร ?”
“ทน !” เฉินตงพูดออกมาเพียงคำเดียว แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“สิ่งนี้สามารถทนกันได้ด้วยหรือ ?” ฉินเย่พูดด้วยความงุนงง : “ผมขอเตือนคุณสักหน่อย ความอดทนทำให้ลมพายุสงบลงชั่วขณะหนึ่ง ถอยหนึ่งก้าวเพื่อลืมความแค้นแล้วจบทุกอย่างลง แต่ถ้าเป็นผม ผมจะฆ่ามันให้ตายแน่นอน !”
เฉินตงส่ายหัว : “ในเมื่อเขามีใจคิดจะฆ่าผม ครั้งแรกไม่สำเร็จ อย่างไรเสียต้องมีครั้งต่อไป”
เฉินตงถูจมูก แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา : “แต่ว่า ผมก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ดีว่า ทำไมมดตัวเล็กๆ อย่างตระกูลโจว จะต้องโชคดีขนาดไหนถึงได้รับเลือกมาเป็นแพะรับบาปเช่นนี้ อีกทั้งพวกเขายังเต็มใจที่จะปิดฉากตระกูลของตัวเองอีกด้วย ?”
ฉินเย่เองก็ขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิด ดวงตาของเขากลอกไปมา
ตระกูลที่มีทรัพย์สินสามร้อยล้าน ในสายตาของคนธรรมดาถือเป็นตระกูลที่มั่งคั่ง
แต่ในสายตาของตระกูลที่มั่งคั่งจริงๆ พวกเขาก็เป็นเพียงแค่มดตัวเล็กๆ เท่านั้น
ในบรรดามดตัวเล็กๆ มากมาย ทำไมถึงได้เลือกมดอย่างตระกูลโจวขึ้นมาเพื่อรับโทษทัณฑ์ที่หนักหนาขนาดนี้ด้วย ?
สักพักใหญ่
“คิดไม่ออก”
ฉินเย่ส่ายหัว แววตาของเขาเป็นประกายและแสยะยิ้มออกมา : “แต่เมื่อกี้ผมนึกถึงเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับตระกูลโจวออกมาเรื่องหนึ่งได้……”