The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 265 อยากสวมมงกุฎก็ต้องแบกรับน้ำหนักให้ได้
- Home
- The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา
- บทที่ 265 อยากสวมมงกุฎก็ต้องแบกรับน้ำหนักให้ได้
เสียงที่เบามาก
แต่กลับทำให้ฉินเย่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
ขณะที่เขาหันไปมอง ก็เห็นเฉินตงกำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาที่มืดมน
เขายักไหล่ แล้วประสานมือไว้ที่ท้ายทอย
“ก็คงจะใช่”
ขณะที่พูด แววตาของฉินเย่ดูลึกซึ้ง เขาเริ่มที่จะพึมพำกับตนเอง
“รู้ไหม ? เมื่อก่อนฉันเองก็เป็นเหมือนนาย มีแม่ที่รักฉันมากคนหนึ่ง เธอเต็มใจที่จะให้ฉันทุกอย่าง แม้กระทั่งดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า”
“อันที่จริงแล้วครอบครัวของเรามีความสุขมาก พ่อแม่ของฉันรักฉัน ฉันเองก็กินดีอยู่ดีภายในตระกูลฉินที่มั่งคั่งร่ำรวย ถึงแม้ฐานะของพ่อในตระกูลฉินจะไม่ได้สูงนัก แต่เขาเองก็เป็นคนมีสมอง จึงสามารถลืมตาอ้าปากในตระกูลฉินได้”
“แต่มีอยู่วันหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมา เหมือนโลกทั้งใบเปลี่ยนไป”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินตงสามารถมองเห็นแววตาที่ลึกซึ้งของฉินเย่ได้อย่างชัดเจน แววตานั้นค่อยๆ ปรากฏความเกลียดชังและโกรธแค้นออกมา
“ตอนนั้นแม่ของฉันเพิ่งจะตั้งท้องลูกคนที่สอง ฮ่าๆ……พูดอย่างไม่อายเลยนะ อันที่จริงแล้ว ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระมาก ตอนนั้นฉันเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นี่มันเป็นช่วงอายุที่ห่างกันเกินไป”
“แต่ในเมื่อท้องแล้วก็ท้องไป ฉันในฐานะที่เป็นพี่จะเข้าไปขัดขวางการมีทายาทของพ่อกับแม่ได้อย่างไร ?”
บุหรี่เผาไหม้จนหมดม้วน
ฉินเย่ก้มลงไปจุดบุหรี่อีกมวนหนึ่งอย่างใจเย็น
เขาสูบบุหรี่ไปพลาง พูดไปพลาง
“หลังจากนั้น พ่อที่สมควรตายของฉัน ก็แอบนอกใจแม่ตอนที่แม่ตั้งท้องลูกคนที่สอง ! วันๆเขาเอาแต่หมกตัวอยู่กลับนังปีศาจที่อายุเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ ไม่ยอมกลับบ้าน ถึงขั้นไม่สนใจธุระภายในบ้านอีก งานทุกอย่างในตระกูลฉินที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขาก็ถูกปล่อยปละละเลยทั้งหมด”
“เรื่องนี้ทำให้คนทั้งตระกูลฉินรู้สึกตกใจ หน้าตาของคนรวยนี่ เจ้าบ้านตระกูลฉินจึงยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องนี้ เขาสั่งให้พ่อเลิกกับนังปีศาจนั่นทันที มิเช่นนั้นจะกีดกันพ่อออกจากธุรกิจทั้งหมดของตระกูลฉิน แต่พ่อของฉันทำอย่างไรก็ไม่ยอมรับปาก เขาได้แต่พูดว่าความรักระหว่างเขาและนังปีศาจเป็นความรักที่สมควรตาย”
น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นขึ้นมาทันที
แต่เฉินตงเองก็ไม่ได้พูดขัด เขาเอาแต่นั่งฟังเงียบๆ
ตอนนี้เขากำลังปิดตัวเอง
นี่เป็นครั้งแรกในหนึ่งสัปดาห์ ที่เขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจริงๆ
“อันที่จริงแล้วฉันรู้ดีว่าพ่อของฉันกำลังคิดอะไรอยู่ เขารู้ดีว่าตนเองเป็นคนของตระกูลฉินไม่ใช่หรือ ? ต่อให้เขาจะถูกกีดกันออกจากธุรกิจทุกอย่าง แต่ในฐานะที่เขาเป็นคนตระกูลฉิน เขาก็ยังสามารถเสพสุขบนกองเงินกองทองได้ต่อไป และยังสามารถมีความรักที่สมควรตายกับนังปีศาจนั่นได้ต่อไป”
“ตอนนั้น แม่ของฉันโกรธจนต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง ฉันเองก็เคยไปหานังปีศาจนั่นหลายต่อหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่านังปีศาจนั่น อาศัยความรักที่พ่อของฉันมอบให้ ถึงขั้นขู่ว่าจะฆ่าแม่ของฉัน แล้วยกตัวเองขึ้นไปแทนที่”
ขณะที่พูด ฉินเย่ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นแล้วกำหมัด
ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้น เขากัดฟันแล้วพูดว่า : “ฉันโกรธตัวเองจริงๆ ตอนนั้นฉันควรจะฆ่าเธอให้ตาย ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องมีเรื่องเกิดตามหลังขึ้นมาอีก”
“แล้วยังไงต่อ ?” เฉินตงถาม
ฉินเย่ใช้มือขวาที่คีบบุหรี่อยู่ ลูบที่ใบหน้า
ตอนที่มือทั้งสองข้างออกห่างจากใบหน้า บนใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเย็นชาแล้ว
“ตอนดึกคืนหนึ่ง มีฝนตกลงมา ฉันจำได้แม่น พ่อฉันดื่มเหล้าอย่างหนัก ภายใต้ความกดดันจากแม่ของฉัน ตัวฉัน คนในตระกูลฉินและนังปีศาจ นังปีศาจร้องห่มร้องไห้อย่างหนักและต้องการที่จะฆ่าแม่ของฉันให้ตายเสียให้ได้”
“จากนั้น พ่อของฉันก็อาศัยจังหวะที่ฝนตกกลับมาที่บ้าน นั่นเป็นครั้งแรกที่เขากลับมาบ้าน หลังจากที่แม่ฉันตั้งท้องได้แปดเดือนแล้ว”
“หลังจากนั้น พ่อที่สมควรตายของฉันก็ฆ่าแม่ของฉัน จากนั้นจึงผ่าเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ฉันออกมาอีก แล้วแทงลงไปที่ท้องของเด็กอีกหนึ่งครั้ง !”
แววตาของเฉินตงดูมืดหม่นและตกใจกลัวทันที
ตอนนี้คิ้วของเขาขมวดแน่น
บุหรี่ที่อยู่ในมือถูกหักออกเป็นสองท่อน
ตัวของฉินเย่สั่นเทา ดวงตาของเขาแดงก่ำ มีน้ำตาเอ่อล้นออกมา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
เขาร้องไห้พลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นแสดงท่าทาง
“นายรู้ไหม ? ตอนนั้นหลังจากฉันกลับถึงบ้าน ฉันเห็นแม่ของฉันนอนอยู่บนโต๊ะชาในห้องรับแขก เลือดไหลเจิ่งนองเต็มพื้น ท้องของเธอถูกกรีดออก ดวงตาของเธอยังคงเบิกโพลงอยู่”
“ส่วนเด็กที่อยู่ในท้องเป็นเหมือนขยะชิ้นหนึ่ง ถูกโยนลงบนพื้น นอนจมกองเลือดอยู่ เด็กอายุแปดเดือนร่างกายเป็นรูปเป็นร่างเหมือนคนแล้ว แต่ตัวเล็กนิดเดียว ฉันมองดูอย่างละเอียด คิดว่าน่าจะเป็นน้องชาย บนท้องมีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่”
พูดถึงตรงนี้ ร่างกายของฉินเย่ก็ยิ่งสั่นเทามากขึ้น
บางครั้งแววตาของเขาก็ดูหวาดกลัว บางครั้งก็ดูโกรธแค้น บางครั้งก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง
สภาพของเขาในตอนนี้ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ถูกแทงสองครั้ง แม่ของฉันก็ตายเสียแล้ว น้องชายของฉันก็ตายไปด้วย ครอบครัวของฉันก็จบสิ้นไปด้วย นายว่าเขากับนังปีศาจนั่นสมควรตายไหมล่ะ ?”
“สมควรตาย !”
เฉินตงโพล่งคำนี้ออกมาอย่างเย็นชา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้อดีตที่แท้จริงของฉินเย่
ไม่แปลกใจเลย ที่ไม่ว่าจะเป็นฉินเย่หรือท่านหลงที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมด ถึงได้ปิดบังเรื่องนี้มาโดยตลอด
เพราะเรื่องนี้มันเจ็บปวดเกินไป และแปดเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและคราบน้ำตา
อาจเป็นเพราะถือคติที่ว่าไฟในอย่านำออกไฟนอกอย่านำเข้า หรืออาจเป็นเพราะพ่อของฉินเย่กระทำเรื่องที่ป่าเถื่อนเกินไป ดังนั้นจึงทำให้เจ้าบ้านตระกูลฉินยอมที่จะแลกโอกาสในการมีชีวิตรอดอีกหนึ่งครั้งกับกำไรหมื่นล้าน ?”
“ดังนั้น พวกเราล้วนมีแม่ที่รักเราเหมือนกัน แต่กลับต้องตายอย่างน่าอนาถเช่นเดียวกัน”
น้ำตาของฉินเย่ค่อยๆ ไหลออกจากหางตา แววตาของเขาค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ : “ตอนนั้น ฉันช่วยนายลงมืออย่างมีความสุข อย่างไรเสียฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ร้ายที่ฆ่าพ่อของตัวเอง จะฆ่าเพิ่มอีกสักคน ก็คงไม่เป็นไร หากวันใดที่มีฟ้าผ่าลงมาใส่ฉันจนตาย ก็ถือเสียว่าจบสิ้นกัน”
“ขอบคุณ”
เฉินตงพูดออกมาอย่างหดหู่
ฉินเย่เหลือบมองเฉินตง จากนั้นจึงแสดงท่าทีเบื่อหน่าย แล้วพูดว่า : “นายดูสิ่ง เรื่องที่ฉันเคยเจอเจ็บปวดกว่านายเยอะใช่ไหมล่ะ ? ตอนนั้นฉันเองก็รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาเช่นกัน รู้สึกเหมือนตัวเองตกลงไปอยู่ในขุมนรก แต่ฉันก็สามารถปีนออกมาได้”
“ฉันคอยติดตามนายเป็นเพราะนายและแม่ของนาย ถ้าตอนนี้นายไม่สามารถปีนออกมาจากขุมนรกได้ ฉันเองก็คงต้องไป”
เฉินตงหันมองฉินเย่ แววตาของเขามืดมนลงอีกครั้ง
เขาก้มหน้า แล้วดึงบุหรี่ออกมาจากกล่องอีกหนึ่งม้วน จากนั้นจึงจุดและสูบอย่างชำนาญ
เผียะ !
ฉินเย่ตบจนบุหรี่กระเด็นออกจากมุมปากของเฉินตง : “ฉันอุตส่าห์เปิดเผยบาดแผลของฉันให้นายฟังขนาดนี้ ก็เพื่อให้นายมีกำลังใจ หรือนายไม่มีความรู้สึกตอบสนองอะไรสักนิดเลยหรือ ?”
เฉินตงก้มหน้าอย่างสงบ แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดใหม่อีกครั้ง
“เฉินตง ฉันรู้ดีว่านายพยายามข่มความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ แต่นายปิดตัวเองอย่างนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย นายยังมีอีกหลายอย่างต้องทำ และยังมีคนอีกหลายคนที่เป็นห่วงนายอยู่”
ฉินเย่รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ความสงบของเฉินตง ทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองขึ้นมา : “นายร้องไห้ได้ ไม่มีใครหัวเราะนาย นายสามารถร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่นได้ แต่หลังจากร้องแล้ว ต้องลุกยืนขึ้นมาใหม่ แล้วทำเรื่องที่นายสมควรทำ !”
จากนั้น
เฉินตงยังคงอยู่ในท่าทีสงบนิ่งอยู่ บุหรี่ที่เขาคาบไว้ที่มุมปากมีควันโขมงลอยออกมา
“เฉินตง !”
ฉินเย่โกรธจัด เขาต่อยหน้าเฉินตงอย่างแรงจนบุหรี่ลอยออกไปจากปาก
“แม่ฉันเคยบอกว่า ห้ามร้อง เพราะจะทำให้มงกุฎของพระราชาหล่นได้”
เฉินตงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าของเขาครึ่งซีกบวมเปล่ง แต่กลับยังคงก้มหน้าก้มตาหยิบบุหรี่ต่อ จากนั้นจึงจุดบุหรี่แล้วปิดตาลง
“นายร้องออกมา ถึงจะมีคุณสมบัติไปสวมมงกุฎของราชา !”
ฉินเย่เอ่ยปากตำหนิอย่างรุนแรง : “ถ้าต้องการจะสวมมงกุฎ ก็ต้องรับน้ำหนักของมันให้ได้ นี่คือประสบการณ์ที่นายต้องเจอเมื่อสวมมงกุฎ มีเพียงแค่การที่นายสามารถสวมมงกุฎได้จริงๆ เท่านั้น ถึงจะทำให้การตายของแม่นายไม่ต้องสูญเปล่า !”
เสียงพูดดังก้องสะท้อนไปทั่วห้อง
ขณะที่ฉินเย่โพล่งคำพูดประโยคนี้ออกมา
เฉินตงก็ปิดตาลง เปลือกตาของเขากระตุก
น้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเขาอย่างเงียบๆ…..