The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 268 จิตใจอันชั่วร้ายของฉินเย่
คืนที่งดงามที่สุด ?
เฉินตงอึ้งไป จากนั้นเมื่อเขาตั้งสติกลับมาได้ หัวใจเขาก็เต้นระส่ำทันที
“มัวแต่อึ้งอยู่ทำไม ?”
กู้ชิงหยิ่งเลิกคิ้ว เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวน
ความงามอันน่าทึ่งเช่นนี้ เพียงแค่รอยยิ้ม ก็สามารถโปรยเสน่ห์ที่ยากเกินข้ามใจได้แล้ว
เพียงแต่แววตานี้ ทำให้เฉินตงรู้สึกประหลาดใจ
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า แววตาของกู้ชิงหยิ่งจะ “มีเสน่ห์เกินต้านทาน” เช่นนี้
เฉินตงสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วลุกขึ้น เดินตรงไปยังห้องน้ำ
หลังจากการอาบน้ำอย่างพิถีพิถันแล้ว เขาก็ห่อผ้าขนหนูเดินออกมาจากห้องน้ำ
บรรยากาศภายในห้องมืดลง กู้ชิงหยิ่งเป็นคนปิดไฟ
เหลือเพียงแค่โคมไฟตรงหัวเตียงดวงเดียวเท่านั้น ที่ยังคงส่องแสงสลัวๆ
ส่วนกู้ชิงหยิ่ง เข้าไปนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว ผ้าขนหนูผืนเมื่อครู่วางทิ้งอยู่บนพื้น เธอนอนวูบตัวอยู่ในผ้าห่ม และดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงจมูก
แล้วหันมองเฉินตงด้วยท่าทีเขินอายไม่หยุด
เพียงแค่สายตาที่ส่งมา ก็แทนคำพูดได้เป็นหมื่นคำ
เฉินตงแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่ม ตอนนี้กู้ชิงหยิ่งเหมือนลูกแมวน้อยๆ เธอซุกตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขา
“ฉันเคยบอกแล้วว่า จะเก็บครั้งนี้ไว้ในคืนที่งดงามที่สุด !” ริมฝีปากแดงระเรื่อ กระซิบเบาๆ ที่หูของเฉินตง “คืนนี้ขอให้สามีโปรดอ่อนโยนกับฉันด้วย”
เฉินตงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขายกมือขึ้นมาปิดไฟ
ความรู้สึกทั้งหมด ถูกปลดปล่อยออกมาภายใต้ความมืด
การรอคอยมาสามปี ความรู้สึกที่ยาวนาน
ความรักทั้งหมดที่มี ถูกระบายออกมาทั้งหมดภายใต้ความมืด
……
ทั้งคืนไม่มีการพูดคุยอะไรกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่แสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องผ้าม่านเข้าไปในห้อง
เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งก็ค่อยๆ ตื่นจากความฝัน
หลับอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ทั้งสองลืมตาขึ้น ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองตนเองอยู่
เวลาหนึ่งคืน ทำให้ทั้งสองรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก บนใบหน้าของกู้ชิงหยิ่งยังคงเป็นสีแดงระเรื่ออยู่
“ตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ ?”
เฉินตงเลิกคิ้วแล้วยิ้ม
“ตื่นมาเพราะความเจ็บ” กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้ว
เฉินตงผงะไป เมื่อตั้งสติได้ เขาก็หัวเราะออกมา
กู้ชิงหยิ่งรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเฉินตงที่มีท่าทีตกใจเหมือนลูกแมวเอาไว้ : “คนบ้า คุณยังจะหัวเราะอีกหรือ ?”
“ทำไมจะหัวเราะไม่ได้ ? คุณเป็นภรรยาของผมนะ” เฉินตงลูบดั้งจมูกของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ
ทั้งสองมองห้ากันและกันโดยไม่พูดอะไร
พักใหญ่
กู้ชิงหยิ่งจึงค่อยๆ เอ่ยปากพูดขึ้น : “คุณตัดสินใจจะไปที่ตระกูลฉินจริงๆ หรือ ?”
“ใช่” เฉินตงตอบออกมาอย่างสงบ
“รอให้ผ่านไปสักพักก่อนได้ไหม ?” กู้ชิงหยิ่งถาม “ในบ้านเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นเช่นนี้ ฉันอยากให้เรื่องทุกอย่างสงบสักพัก ไม่อยากให้คุณต้องเข้าไปเสี่ยงอันตรายอีก”
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อผมอยู่ สำหรับตระกูลเฉินแล้ว ตระกูลฉินไม่อยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ” เฉินตงยิ้มออกมาเล็กน้อย
“แต่ยังไงฉันก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้มันอันตรายอยู่ดี ตระกูลฉินยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากตระกูลเฉินคิดจะจัดการพวกเขาก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก”กู้ชิงหยิ่งพูดว่า “อีกทั้ง คุณยังเรียกฉินเย่ไปด้วยอีก เขาเองก็เคยเป็นคนตระกูลฉิน คุณทำเช่นนี้ เคยคำนึงถึงความรู้สึกของเขาบ้างไหม ?”
เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน : “ยัยโง่ เพราะผมคิดถึงความรู้สึกของฉินเย่อย่างไรล่ะ ผมถึงได้เรียกเขาไปด้วย”
คำพูดนี้ ทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกงุนงง
ให้ฉินเย่……มองดูตระกูลฉินถูกฆ่าล้างตระกูล แบบนี้เรียกว่าคิดถึงความรู้สึกของฉินเย่หรือ ?
“สิ่งที่ฉินเย่ต้องเผชิญในตระกูลฉิน น่าเวทนายิ่งกว่าที่พวกเราคิดเสียอีก”
จู่ๆ แววตาของเฉินตงก็ลึกซึ้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม : “เพื่อที่จะดึงผมออกมาจากขุมนรก เขาไม่เพียงแต่ยอมเปิดบาดแผลออก ถึงขั้นโรยเกลือลงบนแผลอีกด้วย”
“เขากำลังดูถูกว่าผมเทียบเขาไม่ติด เขาสามารถปีนออกมาจากขุมนรกได้ แต่ผมกลับติดอยู่ในขุมนรก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ดวงตาของเฉินตงก็แดงก่ำ
อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปในทันที ทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก
เฉินตงยังคงพูดต่อไป : “คุณยังจำภาพตอนที่ฉินเย่ฆ่าโจวสวนในงานแต่งงานได้ไหม ?”
“จำได้ค่ะ” ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งแสดงออกถึงความหวาดกลัว “ตอนนั้นฉินเย่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจมาก ถ้าไม่ใช่เพราะคุณลงมือกับเขา ก็คงไม่มีใครสามารถขวางเขาได้”
“ดังนั้น……”
เฉินตงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น : “เขาพยายามที่จะปีนออกมาจากขุมนรกอยู่ตลอด แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขายังคงอยู่ในขุมนรก เพียงแต่ผู้ชายคนนี้ เข้าใช้ท่าทางขวางโลกของเขา มาปิดบังความโหดเหี้ยมที่แอบซ่อนอยู่ส่วนลึกภายในใจของเขาเท่านั้น
“แต่ทั้งหมดนี่ก็มีสาเหตุมาจากตระกูลฉิน !”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” กู้ชิงหยิ่งพยักหน้า เธอพูดพึมพำออกมาเบาๆ : “ฉันรู้ว่าคุณอยากแก้แค้น และอยากจะพาฉินเย่เดินออกมาด้วย แต่คุณต้องรับปากฉัน ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้ความปลอดภัย ถ้าหากไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ต้องรีบกลับมาทันที”
ขณะที่พูด เธอตบท้องแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ : “ฉันกับลูกยังรอคุณอยู่นะ”
“อะไรจะเร็วขนาดนั้น ?” เฉินตงมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความประหลาดใจ
กู้ชิงหยิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย ใบหน้างดงามของเธอแดงก่ำ เธอพูดว่า : “ไม่สน ฉันจะแสร้งทำเป็นว่าฉันอุ้มท้องลูกของเราแล้ว”
เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งอาบน้ำกันสักพัก ขณะที่กู้ชิงหยิ่งกำลังเลือกเสื้อผ้า ก็หยิบชุดสูทที่ดูเรียบหรูขึ้นมาใส่
จากนั้นก็ส่องกระจกมองดูตนเองด้วยท่าทีที่กระปรี้กระเปร่า ส่วนเฉินตงนั่งดูด้วยท่าทีเหม่อลอย
มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไป ดูเหมือนว่าแก้มจะตอบลงกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะสวมมงกุฎของราชา……”
เขาแอบตัดสินใจอยู่ในใจ แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างถึงที่สุด
ถ้าอยากสวมมงกุฎของราชา ก็ต้องทนแบกรับน้ำหนักของมันให้ได้ !
เพื่อแม่ที่จากไปแล้วของเขา เขาต้องเอามงกุฎนี้มาสวมไว้บนหัวให้ได้
เขาจูงกู้ชิงหยิ่งเดินลงชั้นล่าง
ในห้องอาหาร
เฉินเต้าหลิน ท่านหลง ฟ่านลู่ คุนหลุนและฉินเย่กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้ากัน
เมื่อเห็นเฉินตงและกู้ชิงหยิ่งที่เดินลงมาจากชั้นบน
ฉินเย่ทำท่าทีประหลาดใจ : “ให้ตายเถอะ ตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ ? การต้องแยกจากกันทำให้มีแรงปรารถนามากกว่าการแต่งงานใหม่เสียอีก แล้วพวกนายทั้งเพิ่งจะแยกจากกันและเพิ่งจะแต่งงานกันหมาดๆ อย่างน้อยก็ต้องรอให้พระอาทิตย์ตกดินค่อยตื่นสิ ?”
คำพูดประโยคนี้ทำให้เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งรู้สึกเขินอาย
ส่วนคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ก็สำลักจนโจ๊กพุ่งกลับลงไปในถ้วย
เฉินเต้าหลินเช็ดโจ๊กที่เลอะอยู่ข้างมาก แล้วหันไปจ้องฉินเย่ตาเขม็ง : “ในปากของเธอมีรถไฟวิ่งอยู่หรือยังไง ?”
ฉินเย่ยักไหล่ เขาเหลือบมองเฉินตงด้วยสายตาดูถูกเยาะเย้ย : “พี่เฉินนี้ไม่ไหวเลย”
จากนั้นเขาจึงหันกลับไปหาฟ่านลู่แล้วพูดว่า : “พี่เสี่ยวลู่ กับข้าวทุกอย่างตอนมื้อเที่ยงให้เติมเก๋ากี้ลงไปด้วยนะ”
ฟ่านลู่รู้สึกเขินจนหน้าแดง เธอหันไปพูดกับคุนหลุนด้วยท่าทีเขินอาย : “พี่คุนหลุน……”
คุนหลุนทำสีหน้าเคร่งขรึม เขาหันไปมองฉินเย่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า : “ถ้านายยังล้อเล่นกับพี่ลู่ของนายอีกล่ะก็ ฉันจะทำให้นายได้รู้จักว่าอะไรที่เรียกว่าหมัดทรงพลัง”
“เอาล่ะๆ เห็นว่าผมโสดก็เลยคิดจะรังแกล่ะสิ” ฉินเย่ยักไหล่ จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตากินโจ๊กต่อ
เฉินตงจูงกู้ชิงหยิ่งไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
เขาหันไปหัวเราะฉินเย่ : “นายโสดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? จางหยู่หลันถูกนายกลืนเข้าไปทั้งตัวแล้วนี่”
“พรวด !”
โจ๊กที่อยู่ในปากของฉินเย่พุ่งออกมา จนทำให้เขาสำลักและไออยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา : “บอกมาซิว่า พวกเราจะไปที่ตระกูลฉินเมื่อไหร่ ?”
จู่ๆ บรรยากาศก็ตึงเครียด
แม้แต่เฉินเต้าหลินก็จ้องมองไปทางเฉินตงด้วย
เฉินตงกินโจ๊กอย่างสงบ จากนั้นจึงพูดออกมาเบาๆ ว่า : “ออกเดินทางเที่ยงนี้ !”
“เร็วขนาดนี้เลยหรือ ?”
แม้กระทั่งฉินเย่เองก็คาดไม่ถึง
เฉินตงเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“แก้แค้น ยังต้องดูฤกษ์งามยามดีอีกหรือ ? หากชักช้าจะไม่ทันการ !”
เฉินเต้าหลินพยักหน้า : “ถ้าอย่างนั้นพ่อจะกลับไปที่ตระกูลเฉินเดี๋ยวนี้ จิตใจของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินโหดเหี้ยมเกินไป ถึงเวลาที่ควรส่งเธอเข้าไปสวดมนต์ในห้องพระสักระยะแล้ว”