The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 271 เหล้าสามแก้ว
ในเวลานี้ คฤหาสน์ตระกูลฉินเต็มไปด้วยผู้คนที่แน่นขนัดและบรรยากาศของความสนุกสนานรื่นเริง
แต่ภายในห้องโถง บรรยากาศกลับเงียบสงัดและอึมครึม
เมื่อคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินมองเห็นพวงหรีดที่อยู่ในกล่องของขวัญ เส้นเลือดที่หางตาของเขาก็กระตุกขึ้นมาทันที
ฉินซวนและสมาชิกรุ่นที่สามของตระกูลคนอื่นๆ ต่างรู้สึกขุ่นเคืองและไม่พอใจเป็นอย่างมาก
อีกทั้งยังมีสมาชิกวัยกลางคนของตระกูลฉินอีกหลายคนที่หน้าถอดสี แววตาแสดงออกถึงความโกรธเคือง
“คุณปู่ เฉินตงคนนี้มันคิดว่ามันเป็นใคร ? ก็แค่ผู้สืบทอดมรดกนอกคอกคนหนึ่งของตระกูลเฉิน ไอ้สวะฉินเย่มันคิดว่ามันรับใช้ถูกคนแล้วหรืออย่างไร ?”
ฉินซวนเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาโบกมือของเขาแล้วพูดว่า : “ขอแค่คุณปู่สั่งมาคำเดียว ผมจะสั่งให้คนไปหักขาของพวกมันทันที แล้วจับโยนออกไปจากตระกูลฉิน”
“ซวนเอ๋อ หุบปาก !”
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาทันที
เขาคือพ่อของฉินซวน นามว่าฉินเห้อเหนียน เป็นพี่ชายคนโตที่สุดในบรรดาทายาทรุ่นที่สอง
“พ่อครับ ทำไมต้องหุบปากด้วย ? ไอ้สวะฉินเย่มันส่งพวกหรีดมา เห็นอยู่ชัดๆ ว่าต้องการจะแช่งคุณปู่ แล้วจะให้ตระกูลฉินทนได้อย่างไร ?” ฉินซวนตะโกนเถียงคอเป็นเอ็น
เผียะ !
ฉินเห้อเหนียนตบหน้าฉินซวน : “ผู้อาวุโสต่างก็อยู่ที่นี่ แกมีสิทธิ์อะไรมาตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ?”
หลังจากโดนตบ ฉินซวนก็รู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก แต่ในที่สุดก็ต้องก้มหน้าจำยอมถอยไป
“เฮ้อ~”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินถอนหายใจออกมา แล้วเหลือบไปมองฉินซวนด้วยความเบื่อหน่าย
ทายาทโดยชอบธรรมในรุ่นที่สามของตระกูลฉิน ไม่มีใครได้เรื่องสักคน
ถึงแม้เขาจะยึดถือในการสืบทอดอำนาจของทายาทโดยชอบธรรม แต่คุณท่านใหญ่ก็พอจะตระหนักถึงความเป็นจริงได้
ทายาทโดยชอบธรรมในรุ่นที่สาม แต่ละคนล้วนแล้วแต่หยิ่งผยอง ทั้งนิสัยและความสามารถก็อยู่ในระดับปานกลาง ไม่มีอะไรโดดเด่น
หากมีสักคนที่พอจะเทียบกับฉินเย่ได้ ไม่สิ แค่พอเทียบกับฉินเสี่ยวเชียนได้ คุณท่านใหญ่ตระกูลเฉินก็คงใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างยืนยาวและมีความสุข
“พ่อครับ นี่พวกเขาบุกเข้ามา……”
ฉินเห้อเหนียนพูดกับคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“หุบปาก !”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินรู้สึกตื่นตระหนก เขาตะคอกออกมาเพื่อตัดบทฉินเห้อเหนียน
ภาพที่ปรากฏขึ้นทำให้ฉินซวนและคนอื่นๆ รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องที่ตระกูลฉินร่วมมือกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน มีเพียงสมาชิกในตระกูลฉินเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
ทายาทรุ่นที่สาม ไม่มีใครรับรู้เรื่องนี้ !
หลังจากที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตะคอกออกมา บรรยากาศภายในห้องโถงก็เงียบสงัดลงทันที
ทุกคนกลั้นหายใจและเหลือบมองคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินด้วยความหวาดกลัวเป็นระยะๆ
สักพักใหญ่
จู่ๆ คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็พ่นลมออกมาจากปาก ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมาว่า : “คนที่มาล้วนแล้วแต่เป็นแขก ยิ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉินด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องต้อนรับให้สมเกียรติ”
อะไรนะ ? !
ส่งพวงหรีดมาทำลายบรรยากาศเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ไล่ออกไป ยังจะต้อนรับให้สมเกียรติอีกหรือ ?
ทุกคนรู้สึกตกใจจนอ้าปากค้าง
กว่าจะตั้งสติกลับมาได้
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็เดินออกจากห้องโถงไปเรียบร้อยแล้ว
“พี่ใหญ่ นี่คุณพ่อคิดจะทำอะไร ?”
“ถึงแม้ตระกูลฉินแห่งซีสู่ของพวกเราจะเทียบไม่ได้กับตระกูลเฉิน แต่ในฐานะที่เราเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ ก็ใช่ว่าจะให้ตระกูลเฉินมาดูถูกเหยียดหยามกันได้ง่ายๆนะ !”
“ส่งพวงหรีดมาให้ในงานฉลองวันเกิด นี่เท่ากับแช่งคุณพ่อชัดๆ แล้วทำไมคุณพ่อยังอดทนอยู่ได้ ?”
……
ฉินเห้อเหนียนตะคอกออกมาด้วยสีหน้าหมองหม่น : “หุบปากให้หมดทุกคน ทำตามที่คุณท่านใหญ่สั่ง !”
ในขณะที่กำลังจะเดินออกไป
ฉินเห้อเหนียนก็หันมากำชับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ซวนเอ๋อ ไปเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาให้พ่อสักสิบคน แล้วคอยคุ้มกันเอาไว้ที่ด้านนอกห้องโถงหลัก หากเกิดความผิดปกติขึ้นภายในงานเลี้ยง ให้ทำตามคำสั่งของพ่อทันที”
แขกไม่ได้มาดี
ถึงแม้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินตั้งใจจะต้อนรับตามมารยาท แต่เขาก็ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเห้อเหนียนก็รู้ที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างดี จึงรู้สึกหวาดกลัวการมาเยือนของเฉินตงและฉินเย่
ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง คือตัวอย่างที่เคยมีให้เห็นมาแล้ว !
ตอนที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเดินนำเหล่าทายาทไปที่โถงด้านหน้า
ก็ได้รับการกล่าวทักทายจากทุกคนที่มาร่วมงาน
มีทั้งตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย มีทั้งบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ รวมไปถึงยังมีเหล่าบรรดาผู้ทรงอิทธิพลรวมอยู่ในนั้นด้วย
ในซีสู่แล้ว ถือว่าตระกูลฉินอยู่บนยอดสูงสุดของพีระมิด !
ในขณะที่มองลงไปยังผู้คนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า ผู้คนเหล่านั้นก็กำลังเงยหน้าขึ้นมามองเช่นกัน
ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และหันไปกล่าวทักทายกับแขกทีละคนๆ
จากนั้น จึงเหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมมุมหนึ่ง
ในโต๊ะจัดเลี้ยงที่จัดวางอยู่ตรงมุม มีพวกของเฉินตงและฉินเย่นั่งอยู่
เป็นเพราะเหล่าบรรดาตระกูลมั่งคั่งในซีสู่ต่างก็รู้จักฉินเย่ดี ประกอบกับเมื่อเห็นรูปร่างสูงใหญ่กำยำของคุนหลุน
ทำให้โต๊ะจัดเลี้ยงตัวนั้น มีเพียงพวกของเฉินตงนั่งอยู่
เฉินตงยังคงนั่งอยู่ในท่าทีที่เย็นชาเช่นเคย ฉินเย่เองก็อยู่ในท่าทีที่ไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้าง คุนหลุนอยู่ในท่าทีที่สงบ ส่วนเฉินไคนั่งอยู่ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มเล็กน้อย
มีเพียงฉินเสี่ยวเชียนเท่านั้น ที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างๆ ฉินเย่ มีทั้งสองข้างพันกันไปมาด้วยความประหม่า มีเหงื่อออกจนเปียกชุ่มอยู่เต็มฝ่ามือ
สองปีมานี้ เธอไม่มีสิทธิ์มีส่วนร่วมในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉินเลย
แม้กระทั่งงานวันเกิดของผู้ใหญ่ภายในตระกูล เธอก็ทำได้เพียงแค่นำของขวัญมามอบให้แล้วเดินทางกลับในทันที
เธอมีบุคลิกที่อ่อนแอ ถึงแม้ตัวเธอเองจะรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้แต่ก็ไม่คิดที่จะต่อต้าน
แต่ทว่าวันนี้ ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเจ้าบ้าน เธอกลับนั่งร่วมโต๊ะอยู่กับเฉินตงและฉินเย่เช่นนี้ เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอตั้งใจละเมิดกฎของตระกูลฉิน
เธอไม่รู้ว่าจะมีบทลงโทษเช่นไรหลังจากนี้
แต่เหตุผลที่เธอยังอยู่ต่อเป็นเพราะ ข้อแรก มีฉินเย่คอยอยู่เคียงข้างเธอ ข้อที่สอง ตัวเธอเองก็รู้สึกไม่พอใจนัก ในฐานะที่เธอเป็นคนตระกูลฉิน เธอเองก็อยากจะอยู่ร่วมในงาน
ทันใดนั้น
จู่ๆ ก็เกิดเสียงของความโกลาหลดังขึ้นรอบๆ
จากนั้น ฉินเสี่ยวเชียนก็รู้สึกได้ว่ามีกลุ่มคนกำลังเดินมุ่งหน้าเข้ามาทางนี้
แววตาของเธอเริ่มสั่นไหว ความรู้สึกประหม่ายิ่งเพิ่มมากขึ้น เธอมุดหัวลงไปด้านล่าง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง
“คุณชายเฉินอุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ กระผมไม่ได้ออกมาต้อนรับตัวตัวเอง ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
เสียงหัวเราะที่อบอุ่นดังขึ้นในทันที
ฉินเสี่ยวเชียนตัวสั่นเทา แววตาของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึง
นี่คือ……เสียงของเจ้าบ้านตระกูลฉินหรือ ? !
จากนั้นเสียงของเข้าบ้านตระกูลฉินก็ดังขึ้นอีกครั้ง : “เสี่ยวเชียน เย่เอ๋อ”
ฉินเสี่ยวเชียนใจสั่นระรัว เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ แต่กลับไม่ใช่ใบหน้าที่เคร่งขรึมและสง่างามอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่เป็นใบหน้าที่เต็มใบด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น
“คุณ คุณปู่……”
ฉินเสี่ยวเชียนแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า ตลอดสองปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นรอยยิ้มของคุณท่านใหญ่ตระกูลเฉิน
ส่วนฉินเย่กลับยังคงนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน ในปากของเขาคาบไม้จิ้มฟันเอาไว้หนึ่งก้าน แล้วทำสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม และไม่ได้ตอบกลับคำพูดของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน
ในเวลาเดียวกันนี้
คนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างก็แสดงท่าทีตื่นตกใจออกมา
เสียงซุบซิบค่อยๆ ดังขึ้น
“ให้ตายเถอะ ! นี่ฉันเห็นอะไรกันนี่ ? กฎระเบียบของตระกูลฉินเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?”
“ลูกเนรคุณที่ฆ่าพ่อของตัวเองยังมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินได้เช่นนี้ และคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเอง ก็ยังต้อนรับเขาอย่างสุภาพอีกด้วย ?”
“เหอะๆ พวกคุณเองก็ไม่รู้จักดูเอาเสียเลยว่า คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉินเย่คือใคร ถ้าผมจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ เขาน่าจะเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉิน ชื่อว่าเฉินตง !”
เปรี้ยง !
หนึ่งในมหาเศรษฐีที่เคยพบกับเฉินตงมาก่อนได้กล่าวออกมา
ราวกับเสียงฟ้าผ่า ทำให้ห้องโถงด้านหน้าเงียบสงัดในทันที
เป็นที่รู้กันดีว่า
ในงานจัดเลี้ยงของตระกูลฉินที่มีเป็นร้อยโต๊ะ แขกทั้งหมดที่นั่งอยู่ในห้องโถงด้านหน้า ล้วนแล้วแต่เป็นแขกคนสำคัญและใกล้ชิดสนิทสนมทั้งสิ้น
ในบรรดาคนเหล่านั้น มีคนที่รู้จักเฉินตงอยู่ไม่น้อย และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขารู้ถึงความสำคัญของตำแหน่ง “ผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉิน” ดี !
“คุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน ไม่ทราบว่าพอใจกับของขวัญที่ผมมอบให้หรือไม่ ?”
เฉินตงยิ้มเยาะออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและแสดงอำนาจ
คำพูดเพียงประโยคเดียว ทำให้ทุกคนขมวดคิ้วแน่น
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าของขวัญชิ้นนั้นคืออะไร แต่คำพูดของเฉินตง ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน !
ใบหน้าของพวกฉินเห้อเหนียนเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
มีเพียงคุณท่านใหญ่ตระกูลเฉินที่เส้นเลือดบริเวณหางตาปูดโปนขึ้นมา แต่ก็ยังคงพยายามระงับอารมณ์โกรธ แล้วแสร้งทำเป็นยิ้มและยกมือขึ้นคารวะ
“พอใจสิครับ ของขวัญที่คุณชายมอบให้ ผมจะรู้สึกไม่พอใจได้อย่างไร ? ผมได้จัดเตรียมสุราชั้นดีเอาไว้ หวังว่าคุณชายเฉินจะไม่รังเกียจที่จะร่วมงานเลี้ยงของผมจนจบ”
คุณท่านใหญ่พูดขึ้นต่อหน้าทุกคน
ในขณะเดียวกันก็หยิบสุราเหมาไถขึ้นมา แล้วรินให้กับเฉินตงด้วยตัวเอง
คำพูดและการกระทำของเขา แสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงด้านหน้าที่เห็นเหตุการณ์ทุกคน ต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
เจ้าบ้านตระกูลฉิน ชายชราผู้มั่งคั่งที่สุดในซีสู่ ต่อให้คนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเจ้าบ้านตระกูลเฉิน เขาก็ไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมถ่อมตนถึงขนาดนี้
“สามแก้ว”
เฉินตงเลิกคิ้ว จากนั้นจึงหยิบอก้วของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียนมาวางด้านหน้าตนเองอย่างไม่แยแส : “รินเหล้า !”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินรู้สึกตกใจ เกิดความสงสัยขึ้นในแววตาของเขา
แต่เขาก็ยังคงยิ้มแย้ม และริมเหล้าจนเต็มทั้งสองแก้ว
ยังไม่ทันที่เขาจะวางขวดเหล้าลง
เฉินตงก็ค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นจึงหยิบแก้วเหล้าขึ้นมา
“แก้วแรก ขอคารวะฟ้า !”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินยืนตัวสั่น มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบริเวณหางตาของเขา
ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ในตระกูลฉินก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น สีหน้าขอทุกคนเต็มไปด้วยความดุร้าย
ส่วนแขกคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถงด้านหน้า ต่างก็รู้สึกตกใจจนตาเบิกโพลง นี่มัน……
ภายใต้สายตาทุกคู่ที่กำลังจับจ้องมา เฉินตงยังคงใช้นิ้วจุ่มลงไปในแก้วเหล้าแล้วพรมเหล้าขึ้นบนอากาศสองสามหยดอย่างไม่แยแส จากนั้นจึงดื่มเหล้าที่อยู่ในแก้วจนหมด
จากนั้นเขาจึงหยิบเหล้าแก้วที่สองขึ้นมาทันที
“แก้วที่สอง คารวะดิน !”
ใบหน้าของเขาทั้งเยือกเย็นและเย่อหยิ่ง เขาใช้นิ้วจุ่มลงไปในแก้วเหล้า แล้วพรมเหล้าลงบนพื้นสองสามหยด จากนั้นจึงดื่มแก้วในเหล้าจนหมด
บรรยากาศภายในห้องโถงด้านหน้าเงียบสงัด
แต่ในอากาศกลับมีกลิ่นของดินปืนลอยคละคลุ้งอย่างรุนแรง
ขณะที่เฉินตงหยิบแก้วเหล้าใบที่สามขึ้นมา
ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง ตอนนี้ทุกคนรับรู้ได้ถึงความอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฉินตงทันที
เขาค่อยๆ แสยะยิ้ม แววตาเย็นชาของเขาจับจ้องไปที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน
“แก้วที่สามนี้ ขอคารวะให้วิญญาณของแม่ผมที่อยู่บนฟ้า และขอคารวะให้กับการไปสู่สุคติของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินด้วย !”
พรวด……
เหล้าชั้นดีที่อยู่ในแก้ว ถูกเทลงบนพื้น
บรรยากาศภายในห้องโถงด้านหน้าเต็มไปเจตนาฆ่าที่รุนแรง
สีหน้าของแขกทุกคนเปลี่ยนไปในทันที พวกเขารู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง