The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 301 เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถปกป้องตระกูลหลี่ได้
- Home
- The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา
- บทที่ 301 เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถปกป้องตระกูลหลี่ได้
ปึง!
ประตูถูกกระแทกเสียงดังสนั่น
ภายในบ้านยังคงอยู่ในความเงียบงัน
คุณท่านใหญ่หลี่กับหลี่เต๋อซานยืนนิ่งค้างอยู่กับที่
หอบรรพชนตระกูลหลี่ ไม่คู่ควรแก่การบูชาหลี่หลานอย่างนั้นรึ?
คำพูดแบบนี้ ไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยรึไง?
หากเทียบกันระหว่างตระกูลหลี่กับตระกูลเฉิน อาจไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นหลังจะมาดูหมิ่น หรือเหยียดหยามได้ตามอำเภอใจแบบนี้หรอกนะ!
นี่ถือเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามบรรพบุรุษตระกูลหลี่ไปด้วยเลยทีเดียว!
คำพูดอันทรงพลัง น้ำเสียงก้องกังวานที่ดังเหมือนโลหะฟาดกระทบกับเหล็กนั้น ติดค้างวนเวียนอยู่ในหูของเขาซ้ำ ๆ
โหดร้าย เผด็จการ เหยียดหยาม…..
เสมือนผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนสูงอยู่เหนือก้อนเมฆ แล้วปรายหางตามองตระกูลหลี่ ว่าเป็นแค่มดตัวจ้อยที่จะเหยียบย่ำเมื่อไหร่ก็ได้
“พ่อ! กับคนที่โหดร้ายบ้าคลั่งเกินทนประเภทนี้ ผมไม่รู้จริง ๆ นะว่าทำไมพ่อถึงยังต้องไปเลียแข้งเลียขา ประจบเอาใจอย่างไร้ประโยชน์แบบนี้ด้วย ?”
หลี่เต๋อซานโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำ คำพูดนี้ เป็นเสมือนเข็มอันแหลมคมที่ทิ่มแทงเข้าใส่ความภูมิใจในตนเองของเขาอย่างโหดเหี้ยม : “ตระกูลหลี่อันทรงเกียรติของเรา ตระกูลที่ร่ำรวยติดอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวง หอบรรพชนตระกูลหลี่เป็นสถานที่ที่คนตระกูลหลี่ทุกคนต่างเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง ถวิลหาแม้ในยามฝันมานับร้อย ๆ ปี เขาอาศัยอะไรมาใช้ความเห็นส่วนตัวของคนเป็น มาผลักไสเจตจำนงของคนตายไปแล้วอย่างหลี่หลานกันล่ะ?”
เพิ่งสิ้นเสียงพูด
คุณท่านใหญ่หลี่ซึ่งเดิมทีนั่งตัวตรงอยู่ก็มีอาการตัวสั่นโอนเอนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
จู่ ๆ ริ้วสีแดงดูแปลกตา ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แก่ชราและซีดเผือดของเขา
ลำคอขยับเพียงครั้งเดียว
ในชั่วขณะที่รอบด้านเงียบงันไร้เสียง ที่มุมปากของคุณท่านใหญ่หลี่ก็มีเลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมา
อารมณ์โกรธเกินขีดจำกัด ส่งผลให้จิตใจกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง!
“พ่อ!”
หลี่เต๋อซานตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบวิ่งไปคุกเข่าตรงหน้าคุณท่านใหญ่หลี่: “พ่อ! อย่าทำให้ผมตกใจสิ พ่อ ! พ่ออย่าเป็นอะไรนะ!”
“ฉัน ฉันไม่เป็นไร….”
คุณท่านใหญ่หลี่ยกมือขวาที่สั่นน้อยๆ ขึ้น ยกยิ้มอย่างฝืดฝืน: “เต๋อซานเอ๊ย! แกไม่เข้าใจ ตอนนี้ในเมืองหลวงกระแสคลื่นลมโหมซัดสาด ตระกูลหลี่ของเราก็พลอยถูกคลื่นลมนี้พัดจนง่อนแง่นไปด้วย มีคนนับไม่ถ้วนแอบจ้องมองรอโอกาสจู่โจมตระกูลหลี่ของเราตาเป็นมัน อยากจะกำจัดพวกเราให้เร็วที่สุด เฉินตงก็ไม่นับว่าจะสืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลหลี่”
“แต่ถ้าพวกเราสามารถเชิญหลานเอ๋อกลับไปสักการะที่หอบรรพชนตระกูลหลี่ได้ ด้วยความเกี่ยวพันกันในรูปแบบนี้ ตระกูลหลี่ของเราจะต้องประสบหายนะเข้าจริง ๆ แน่ ในอนาคตเฉินตงไม่มีทางเพิกเฉยกับเรื่องนี้ เพราะแม่ของเขายังอยู่ในหอบรรพชนตระกูลหลี่ยังไงล่ะ”
คำอธิบายที่ชัดเจนทุกคำทุกประโยค ทำให้หลี่เต๋อซานหน้าซีด จนต้องทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น
“ดังนั้น นี่ก็คือเหตุผลที่พ่อหลบหูหลบตาผู้คน แล้วพาผมมาที่นี่เพื่อพบกับเฉินตงอย่างเงียบ ๆเองน่ะเหรอ?”
ก่อนที่จะมาที่นี่กับพ่อของเขา เขาเข้าใจจุดประสงค์ของพ่อว่า เป็นการเชิญหลี่หลานไปยังหอบรรพชนก็เท่านั้น
ถ้านี่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกผิดในครอบครัว ก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลดี
แต่เรื่องที่จะปกป้องตระกูลหลี่นั้น เขากลับไม่เคยคิดมาก่อน
“ไม่งั้นล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้าจะร้อนรนเป็นหมูโดนน้ำมันจนทำผิดกฎของตระกูลหลี่ เชิญลูกสาวเข้าไปบูชาในหอบรรพชนแบบนี้หรอกรึ ?” รอยยิ้มที่มุมปากของคุณท่านใหญ่หลี่เต็มไปด้วยความจนใจอย่างยิ่ง
หอบรรพชนตระกูลหลี่ ถ้าไม่ใช่ผู้ชาย ก็ไม่มีสิทธิ์ผ่านเข้าไปได้!
นี่คือกฎข้อที่สามของหอบรรพชน!
หลี่เต๋อซานเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แววตาสั่นไหวไร้ประกาย
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็มองไปที่คุณท่านใหญ่หลี่ด้วยความปวดใจ
เขากัดฟันกรอด แล้วพูดว่า: “พ่อ เราไม่ขอร้องคนดื้อรั้นอกตัญญูนี้เลย มีพ่ออยู่ มีพี่น้องของเราอยู่ ทั้งยังมีลูกหลานที่สืบสายเลือดของตระกูลหลี่อยู่ ตระกูลหลี่ย่อมไม่มีวันล่มสลาย ท่านไม่เห็นจำเป็นต้องรับความน้อยเนื้อต่ำใจ แล้ววางตัวทำท่าต่ำด้อยต่อหน้าคนอกตัญญู ขายหน้าตระกูลหลี่เราไปหมดสิ้นเลย”
เพี๊ยะ!
จู่ ๆ เสียงฝ่ามือที่ตบลงบนใบหน้าแรง ๆ ก็ดังสนั่นขึ้น
ถึงกับทำให้หลี่เต๋อซานมึนงง ตกตะลึงอึ้งค้างไปทั้งอย่างนั้น
คุณท่านใหญ่หลี่ยกมือขวาที่สั่นสะท้านอย่าหนักขึ้นช้า ๆ ราวกับพญาราชสีห์ที่ระเบิดพลังอันดุดันเป็นครั้งสุดท้าย
เขาจ้องหลี่เต๋อซานอย่างโกรธเคือง: “แกมันช่างเป็นคนที่ตาไร้แววสิ้นดี กระทั่งสถานการณ์ในเมืองหลวงตอนนี้ แกก็ยังมองไม่ทะลุอีกเรอะ?”
“พ่อ…” หลี่เต๋อซานยกมือขึ้นกุมแก้ม เริ่มฟื้นคืนสติ
คุณท่านใหญ่หลี่ไม่ให้โอกาสเขาโต้แย้งแม้แต่น้อย กัดฟันพลางพูดว่า: “ฉันกำลังเป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ตอนนี้ที่ตระกูลหลี่มีอิทธิพลโลดแล่นอยู่ในเมืองหลวงได้ ต่างก็พึ่งพาอาศัยการค้ำยันจากฉันทั้งนั้น ถ้าวันใดวันหนึ่งฉันล้มหายตายจากไปจริง ๆ ไม่ช้าก็เร็วตระกูลหลี่คงต้องล่มสลาย ด้วยน้ำมือของพวกไร้ประโยชน์อย่างพวกแกนี่แหละ!”
คำพูดที่แฝงโทสะนั้น ยังเป็นการวิจารณ์ความไม่เอาไหนของพวกพี่น้องหลี่เต๋อซานไปด้วยในตัว
“ความสามารถนิสัยใจคอของเฉินตง ล้วนเหมาะกับตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลหลี่ทั้งนั้น ต่อให้เขาจะเป็นคนตระกูลหลี่ไม่ได้ แต่ถ้าได้รับคำสัญญาจากเขาเพียงหนึ่งข้อ ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ที่เขามี แล้วก็ตระกูลเฉินที่อยู่เบื้องหลังเขา เพียงพอแล้วที่จะคงตำแหน่งตระกูลร่ำรวยอันดับหนึ่งของเมืองหลวงของตระกูลหลี่เรา”
“มีเขาอยู่ ยักษ์ใหญ่ในเมืองหลวงหน้าไหนจะกล้ายื่นมือมาแตะต้องตระกูลหลี่กัน ? เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถปกป้องตระกูลหลี่ได้!”
น้ำเสียงที่พูดแผดสูง เรียกได้ว่า เขาแทบจะต้องตะเบ็งเสียงทั้งหมดที่มีออกมาเลยทีเดียว
แต่เพราะใช้อารมณ์มากเกินไป ทำให้ร่างกายของคุณท่านใหญ่หลี่สั่นโอนเอนอีกครั้ง
ใบหน้าของเขาคล้ำจนเปลี่ยนเป็นสีตับหมูแล้ว
“อั๊ก!”
เลือดสด ๆ คำใหญ่พลันพุ่งทะลักออกมาในทันที
เลือดสาดกระจายราวกลีบดอกเหมย โปรยปรายกระเด็นไปจนทั่วใบหน้าของหลี่เต๋อซาน
หลี่เต๋อซานตกใจราวถูกฟ้าผ่ากลางแดด เริ่มร้องไห้ฟูมฟาย: “พ่อ ท่านอย่าโกรธเลย! ท่านอย่าโกรธอีกเลยนะครับ! ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วจริง ๆ ต่อจากนี้ไป ผมไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของท่านอีกแล้ว!”
เลือดเปื้อนที่หน้าอกของเขา
คุณท่านใหญ่หลี่ยิ้มอย่างหมองเศร้า ค่อย ๆ พูดออกมาช้า ๆ ว่า: “พา พาฉัน…ไปโรงพยาบาลที”
ฮวบ!
พูดจบ เขาก็ทรุดล้มลงไปบนตัวหลี่เต๋อซานทันที
“พ่อ!”
หลี่เต๋อซานตื่นตระหนกจนสติเตลิด โทสะเดือดพล่าน กัดฟันพูดด้วยขอบตาแดงก่ำว่า “เฉินตง ไอ้มารหัวขน ถ้าวันนี้พ่อฉันเป็นอะไรไป ฉันจะขอแลกชีวิตกับแกเลยคอยดู!”
……………
เฉินตงที่ออกจาก โรงแรมคาร์ลตัน ไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาออกมาแล้ว
ในใจของเขา วิธีการของตระกูลหลี่
ช่างไร้ยางอายสิ้นดี
มันทำให้รู้สึกว่าช่างไร้สาระ ทั้งยังน่าขำที่สุด!
ทำทุกอย่างแบบไม่เลือกวิธีการ สร้างเรื่องสลดจนมีคนประสบเคราะห์ร้าย แล้วยังมีหน้ามาเฉไฉอย่างไร้ยางอายอีก พอถึงเวลาน้ำลดตอผุด กลับคิดจะปัดสวะให้พ้นตัวไปง่าย ๆ แบบนี้?
กับคำว่าเชิญไปสักการะที่หอบรรพชนเพีนงคำเดียว ก็คิดจะลบล้างทุกสิ่งที่เกิดในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมางั้นเหรอ?
กะอีแค่หอบรรพชนเล็กๆตระกูลหลี่ ก็คู่ควรกับการสักการะคุณแม่ด้วยเหรอ?
น่าขำเป็นบ้า!
ถ้าในใจแม่ให้ความสำคัญกับตระกูลหลี่จริง จะเกิดเรื่องพวกนั้นที่ตระกูลหลี่เหรอ?
ตระกูลหลี่ ได้ทำร้ายคุณแม่จนลึกล้ำจนเกินจะทานทนไปตั้งนานแล้ว!
ถ้าเขายอมรับปาก ว่าจะให้คุณแม่เข้าไปตั้งบูชาที่หอบรรพชนของตระกูลหลี่ มันก็เท่ากับว่าจะให้แม่นอนตายตาไม่หลับหรอกเหรอ?
ในฐานะลูกคนหนึ่ง นี่ต่างหากคือความไม่กตัญญูอย่างที่สุด!
ความรุ่งโรจน์ของตระกูลเฉินต่างหาก คือสิ่งที่คุณแม่ควรได้รับ
ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่มีชีวิตอยู่ หรือหลังตายจากไปก็ตาม คุณแม่ควรจะได้รับเกียรติจากตระกูลเฉิน ได้อยู่เหนือคนนับหมื่น!
แทนที่จะเป็นพวกต่ำช้า ทำตัวไม่ต่างจากหมากับแมลงวัน ( หมายถึง คนที่สามารถทําทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงลาภยศอย่างไร้ยางอาย ) อย่างตระกูลหลี่นั่น
ไฟโทสะสุมในหัวใจเขา จนมันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง
ตลอดเส้นทางที่เฉินตงขับรถไป เขาหักเลี้ยวอย่างรวดเร็วรุนแรง ราวกับกำลังระบายไฟโทสะในใจออกไป
หลังจากมาถึงบริษัทไท่ติ่ง ความโกรธของเขาก็ยังไม่สงบ
แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา และเขาก็ไม่สมควรนำความคับข้องใจนี้มาปะปนกับงาน
เขาหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง ฝืนระงับความโกรธไว้ในใจ
เฉินตงเพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในบริษัท
หลังจากทักทายพนักงานในบริษัทแล้ว เขาก็กลับไปที่ออฟฟิศเพียงลำพัง
เสี่ยวหม่ากับกูหลังรีบไปรายงานเรื่องความคืบหน้าของงานทันที
ทุกวันนี้เกือบทั้งบริษัท ล้วนเป็นพวกเขาสองคนช่วยทำหน้าที่เป็นผู้ชี้นำ
พูดให้ถูกก็คือ เสี่ยวหม่าผู้ที่เป็นลูกมือซึ่งมีความสามารถมาก ๆ ของเฉินตงคอยทำหน้าที่เป็นผู้นำ ส่วนกูหลังก็คอยช่วยเหลือสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ
ตอนนี้เฉินตงกลับมาแล้ว จึงสมควรจะส่งมอบงานต่อให้ดีที่สุด
การส่งถ่ายภาระงานทั้งหมด ใช้เวลานานและซับซ้อนไม่น้อย จนกระทั่งจัดการธุระเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยไปถึงบ่ายสองโมงกว่า ๆ แล้ว
ทั้งสามคนยุ่งมาก จนกระทั่งลืมกินข้าวเลยทีเดียว
“ทั้งสองคนไปกินข้าวก่อนเถอะ ลำบากพวกนายแล้ว”
เฉินตงเรียกให้เสี่ยวหม่ากับกูหลังออกไปก่อน ในใจยังคงอึดอัดคับข้องใจไม่หาย เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ พลางบีบคลึงจมูกที่บวมน้อย ๆ
คุณแม่เป็นต่อมโมโหของเขา
แต่ตระกูลหลี่ กลับคิดจะแตะต่อมโมโหของเขามาหลายต่อหลายครั้ง
แล้วแบบนี้ จะให้เขาจะระงับความโกรธเกรี้ยวในใจลงไปได้โดยเร็วได้ยังไงล่ะ?
ในขณะนั้นเอง ก็มีโทรศัพท์มาจากฉินเย่
เฉินตงรับโทรศัพท์: “ฮัลโหล กลับมาแล้วเหรอ?”
“กลับมาแล้ว ตอนนี้นายอยู่ไหน ? ฉันจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้เลย ฉันมีทั้งข่าวดีแล้วก็มีทั้งข่าวร้ายมาบอกนายด้วยล่ะ” เสียงหัวเราะของฉินเย่ ฟังดูแปลกประหลาดไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง