The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 356 ข่าวดีของภรรยา
เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวส่งเสียงดังสนั่น เตรียมออกจากรันเวย์เพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
มองดูคฤหาสน์ตระกูลเฉินที่อยู่เบื้องล่าง ซึ่งค่อยๆ ห่างออกไปทุกทีๆ
เฉินตงก็พึมพำกับตัวเองว่า “หนึ่งปีให้หลัง เมื่อฉันกลับมาเหยียบที่นี่ใหม่อีกครั้ง ฉันจะทำให้พวกนาย ยอมก้มหัวให้ได้”
ครั้งแรกที่เหยียบเข้าตระกูลเฉิน เขารู้ซึ้งแล้วว่า อะไรที่เรียกว่าความอัปยศ
คำก็ลูกสวะ สองคำก็ลูกสวะ เป็นเหมือนมีดที่กรีดแทงหัวใจเสียจริงๆ
แม้แต่ในสายตาของคนรับใช้ธรรมดาๆ ก็ยังเป็นเพียงแค่ลูกสวะคนหนึ่ง ที่ผู้คนสามารถทุบตีได้
เป็นเป้าโจมตีของทุกคน มีเพียงพ่อคนเดียวเท่านั้นที่คอยช่วยเหลือ
สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาเข้าใจถ่องแท้ว่า ลำดับชั้นของตระกูลเฉินนั้น มีความซับซ้อนมากเพียงใด
ภายในห้องอภิปราย ถึงแม้พ่อจะควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้ แต่เมื่อลองคิดดูอย่างละเอียดแล้ว พ่อก็แค่ใช้วิธีการที่ตรงไปตรงมา เพื่อให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้นก็เท่านั้น
หากลองสังเกตดู อันที่จริงแล้ว ทั้งคำพูดและการกระทำของทุกคนในตอนนั้น สามารถที่จะค้นหาบางอย่างที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นออกมาได้
อย่างเช่น อันที่จริงแล้วในตอนนั้น ทุกคนก็ไม่ได้มีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มิเช่นนั้น เฉินเต้าชินก็คงไม่ยอมปล่อยให้ตนเองต้องอับอายขายหน้า และเฉินเต้าผิงกับคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินก็ไม่ต้องขาดคนสนับสนุนไป
“คุณชาย หนึ่งปี จะพอจริงๆ หรือครับ?”
ท่านหลงเอ่ยถามด้วยความลังเล แววตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน
เฉินตงเมื่อครู่นั้น มีความมั่นใจอย่างยิ่งยวด ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกเชื่อมั่น
แต่ตอนนี้เมื่อทุกอย่างสงบลง ท่านหลงกลับยังคงรู้สึกวิตกกังวลอยู่
เวลาหนึ่งปี สั้นเกินไปจริงๆ!
คุณชายจะต้องส่งกระดาษคำตอบ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีนี้ เพื่อเอาชนะผู้สืบทอดมรดกของตระกูลเฉินทุกคน
การผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชน รวมไปถึงประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่าสิบปี คุณชายสามารถเอาชนะได้ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งปีจริงๆ หรือ?
เฉินตงหัวเราะออกมาโดยไม่พูดอะไร
“คนธรรมดาก็คือคนธรรมดา ยิ่งเมื่อไม่มีทางเลือกด้วยแล้ว นอกจากจะเดินหน้าสู้ต่อไปอย่างกล้าหาญ ก็ไม่เหลือหนทางที่จะล่าถอยได้อีก”
แววตาของท่านหลงสั่นคลอน ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
หนึ่งปี ไม่มีทางพอจริงๆ!
ต่อให้พวกเขาจะอยู่ข้างกายเฉินตง และเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของเฉินตง ด้วยตาของพวกเขาเอง แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าเฉินตงจะสามารถเป็นผู้ชนะได้
บรรยากาศเริ่มหดหู่อย่างหนัก
เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน “ในใจของพวกนาย ฉันมันไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลยหรือ?”
“คุณชายเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่กระผมเคยพบเห็นมา” ท่านหลงเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
คุนหลุนกับฟ่านลู่เองก็หันไปมองเฉินตงพร้อมกัน ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาก็แสดงออกว่าเห็นด้วยกับท่านหลง
เฉินตงยักไหล่ และพูดออกมาด้วยแววตาที่มุ่งมั่น “เพื่อภรรยาและเพื่อพ่อแล้ว ฉันจำเป็นจะต้องชนะให้ได้!”
……
เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแถบชานเมือง
ก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว
แต่ว่าเฉินตงไม่ได้กลับไปที่คลับสี่ยิ่นในทันที แต่กลับพาพวกของท่านหลงทั้งสามคน มุ่งหน้าไปยังสุสานของแม่
“คุณชาย ทำเช่นนี้อันตรายเกินไปแล้ว” ท่านหลงรู้สึกกลัวอยู่ในใจ
เมื่อนึกถึงภาพของเฉินเต้าจูนในวันนั้นที่ปรากฏขึ้นต่อหน้า มีนักฆ่าสิบกว่าคนที่มาคอยดักรออยู่นานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการซุ่มโจมตีจากทุกด้าน
หากไปอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่มีเฉินเต้าจูนอยู่ด้วยแล้ว
“คงจะไม่มีอะไร”
แววตาของเฉินตงลึกซึ้ง เขายิ้มออกมาเล็กน้อย
จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่ว่า ตอนนี้ฉันอยากรู้แล้วสิว่า เสี่ยวหยิ่งจะบอกข่าวดีอะไรกับฉันกันแน่”
ตอนที่เพิ่งลงจากเครื่องบิน เขาได้คุยโทรศัพท์กับกู้ชิงหยิ่ง บอกว่าจะไปเคารพหลุมศพของแม่ก่อน
ขณะพูดคุยกัน กู้ชิงหยิ่งพูดจามีลับลมคมใน บอกว่ามีข่าวดีจะบอก โดยรอให้เขากลับถึงบ้านก่อนแล้วจะบอกเขา
อันที่จริงแล้ว น้อยครั้งนักที่กู้ชิงหยิ่งจะพูดจามีลับลมคมใน ต่อให้เป็นการแสร้งทำ ก็จะเจือปนท่าทีขี้เล่นเล็กน้อย
แต่ทว่าน้ำเสียงของเธอในสายโทรศัพท์เมื่อครู่ กลับเป็นเสียงที่จริงจัง ซึ่งหาได้น้อยครั้งมาก
เมื่อได้ยิน
ท่านหลงก็ส่ายหัวด้วยความงุนงง
ฤดูใบไม้ร่วง สายลมพัดพาเอาความหนาวเหน็บเล็กน้อยมา
บริเวณโดยรอบหลุมศพของแม่ ถึงแม้ครั้งก่อนจะเกิดการ “สังหาร” ที่น่าอนาถขึ้น แต่หลังจากที่มีการเก็บกวาดตามมาเรียบร้อยแล้ว บริเวณโดยรอบก็มีสภาพกลับมาดังเดิม
ป้ายหลุมศพตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าหลุมศพอย่างโดดเดี่ยว
ด้านบนมีรูปของแม่แปะเอาไว้
เฉินตงคุกเข่าลงด้านหน้าหลุมศพด้วยท่าทีที่สงบและเคร่งขรึม
มีเพียงแค่ดวงตาเท่านั้นที่แดงก่ำขึ้นมา
เมื่อไปตระกูลเฉินแล้ว ถึงได้รู้ว่าตระกูลเฉินนั้นมีความซับซ้อนมากแค่ไหน
หากพูดตรงๆ ก็คือ ตอนนั้นที่พ่อสามารถปกป้องพวกเขาสองแม่ลูกเอาไว้ได้ ก็ถือว่าต้องใช้ความสามารถอย่างมหาศาลแล้ว
ภาพในห้องอภิปรายปรากฏขึ้นในหัว คนเหล่านั้นกล้าตะโกนโห่ร้องที่จะฆ่าเขาต่อหน้าพ่อ ในตอนนั้นที่พ่อเป็นเพียงแค่ผู้สืบทอดมรดก คิดว่าคงยิ่งรุนแรงมากกว่านี้
นี่จึงไม่แปลกเลยที่หลังจากพ่อได้ดำรงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลเฉินแล้ว จึงไม่เคยคิดที่จะยกฐานะที่แม่ควรจะได้ให้กับแม่เลย
ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้
แต่เป็นเพราะแรงกดดัน จนไม่อาจให้ได้!
เขาและแม่ต่อสู้ดิ้นรนร่วมกันมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี เขาพยายามอย่างสุดชีวิต ก็เพื่อคำพูดที่ท่านหลงพูดเอาไว้กับเขา ตอนที่พบหน้ากันครั้งแรก มอบเกียรติยศที่ควรจะเป็นของแม่ กลับคืนให้กับแม่ทั้งหมด
“แม่ครับ อีกหนึ่งปีให้หลัง ผมจะเอาเกียรติยศที่แม่ต้องสูญเสียไปกว่ายี่สิบปี กลับคืนมาให้แม่”
เฉินตงค่อยๆ ก้มหัวลง เหมือนกับกำลังกล่าวคำสาบาน “ผมจะให้แม่กลับไปอยู่ในศาลบรรพชนตระกูลเฉิน ให้คนในตระกูลเฉินทุกคน ต้องก้มหัวให้แม่ และยอมเรียกแม่ว่า——คุณนายเฉิน!”
พูดจบ เฉินตงก็ลุกขึ้นทันที แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว
ที่เขามาที่หลุมศพของแม่ก่อน เป็นเพราะหนึ่งปีต่อจากนี้ เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้มากราบไหว้แม่แล้ว
หนึ่งปีนั้นสั้นนัก สำหรับการต่อสู้แข่งขันเพื่อขึ้นเป็นเจ้าบ้านของเขา
แต่สำหรับการมากราบไหว้แม่นั้น เวลาหนึ่งปีถือว่ายาวนานมาก
หากหน้าหลุมศพไม่มีธูปเทียน ก็เท่ากับอกตัญญู!
……
เหมือนกับที่เฉินตงคาดเอาไว้ ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินจนถึงหลุมศพของแม่ และจนกระทั่งกลับไปถึงคลับสี่ยิ่น ทุกอย่างอยู่ในความสงบ ไม่มีเรื่องร้ายใดๆ เกิดขึ้น
ราวกับว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมอันน่ากลัวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า กลับไปสู่ภาวะปกติอย่างเงียบๆ เรียบร้อยแล้ว
แต่อย่างไรเสียก็ยังต้องระวัง
เฉินตงไม่ได้ยกเลิกการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบลานป่าไผ่
การระมัดระวัง เป็นเหตุผลที่จะทำให้มีอายุยืนยาว เขาเองก็รู้ดี
ซึ่งแม้สถานการณ์จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี แต่ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น จนทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง
บรรยากาศยามค่ำคืนไร้เสียงผู้คน
ภายในลานป่าไผ่สวยงามและเงียบสงบ
เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งนอนอยู่บนเตียง ภายในห้องมีแสงไฟสลัวๆ โทรทัศน์ยังคงเปิดอยู่ ทำให้ห้องที่เงียบสงบ ไม่ดูอ้างว้างจนเกินไป
“ทำไมคุณถึงไม่พูดอะไร?” กู้ชิงหยิ่งขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ใบหน้าอันงดงามถูกผ้าห่มปิดบังเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เธอมองดูเฉินตงด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ผมอาบน้ำจนสะอาดตั้งนานแล้ว”
เฉินตงพูดขึ้นมาลอยๆ อย่างไม่มีเหตุผลหนึ่งประโยค
กู้ชิงหยิ่งผงะไป “อาบน้ำสะอาดแล้ว แล้วยังไงต่อ?”
เฉินตงดูเศร้าหมอง และแสร้งทำเป็นไม่พอใจ “มีคนพูดว่า การแยกจากกันบ้าง ทำให้ชีวิตแต่งงานใหม่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่คุณกลับไม่คิดอะไรกับผมเลย นี่มันช่างหน้าผิดหวังจริงๆ”
“หึ คุณนี่มันร้ายกาจจริงๆ” กู้ชิงหยิ่งตัวสั่น ใบหน้าอันงดงามของเธอค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมา
“ที่รัก ผมต้องการ”
เฉินคงหันไปมองกู้ชิงหยิ่ง
ตาทั้งสองคู่สบกัน เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
ภายใต้แสงไฟสลัวๆ กลายเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ขึ้นมาทันใด
ดูเหมือนบรรยากาศจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรักที่รุนแรง
วินาทีถัดมา
เฉินตงกระเถิบตัวเข้าไปอยู่ตรงหน้ากู้ชิงหยิ่ง
ทว่า
จู่ๆ กู้ชิงหยิ่งกลับยกมืออันเรียวงามขึ้น นิ้วมืออันงดงามค่อยๆ สัมผัสลงบนริมฝีปากของเฉินตง แล้วกล่าวตำหนิว่า “คนบ้า ฉันยังไม่ยินยอมสักหน่อย”
“ห่างกันไปขนาดนี้ คุณยังไม่มีใจโหยหาอีก ในฐานะที่ผมเป็นสามีรู้สึกเหนื่อยใจจริงๆ” เฉินตงถอนหายใจออกมา
กู้ชิงหยิ่งผงะไป แล้ววางมือของเธอลง
จากนั้น ริมฝีปากแดงระเรื่อก็ค่อยๆ ขยับเล็กน้อย ราวกับแมลงปอที่แตะผิวน้ำ สัมผัสเข้าหากันแล้วแยกออก
กลิ่นหอมที่ลอยเตะจมูก ทำให้เฉินตงรู้สึกเคลิบเคลิ้ม
แต่ท่าทีของกู้ชิงหยิ่งกลับทำให้เขารู้สึกสงสัยและประหลาดใจเล็กน้อย “แล้วยังไงต่อ?”
“ลืมไปแล้วหรือว่าตอนคุยโทรศัพท์กัน ฉันพูดว่ามีข่าวดีจะบอกคุณ?” ใบหน้าอันงดงามของกู้ชิงหยิ่งแดงก่ำ ดวงตาอันงดงามของเธอเปล่งประกายแวววาว ดูเขินอายและมีเสน่ห์อย่างมาก
ริมฝีปากแดงระเรื่อค่อยๆ ขยับ คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้เฉินตงรู้สึกปีติยินดี จนกระโดดโลดเต้น
“ที่รักคะ พวกเรามีเฉินตงน้อยแล้ว”