The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 369 จัดการเขา !
“หลี่เต๋อซานมาแล้ว !”
มีเสียงกระซิบดังขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังคึกคักอยู่
บรรยากาศเงียบสงบลงทันที ทุกสายตาค่อยๆ หันไปจับจ้องตรงประตูห้องจัดเลี้ยง
“เขามาได้ยังไง ? วันนี้เป็นงานประชุมแลกเปลี่ยนภายในอุตสาหกรรมของพวกเรา ตระกูลหลี่ไม่มีธุรกิจด้านบันเทิงไม่ใช่หรือ ?”
“เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่ตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งอย่างตระกูลหลี่ จะเข้ามามีส่วนร่วมในแวดวงธุรกิจของพวกเรา”
“เชอะ……นั่นมันก็แค่ดอกไม้ที่ใกล้จะโรยราแล้ว ตระกูลหลี่ในตอนนี้ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งได้เสียเมื่อไหร่กัน ?”
……
คำพูดกระซิบกระซาบ เต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเสียงหัวเราะด้วยความดูถูก
ตระกูลหลี่ซึ่งเคยเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง เป็นชนชั้นสูงที่แท้จริงในเมืองหลวง และอยู่บนยอดสุดของพีระมิดอย่างภาคภูมิ
อย่าว่าแต่ผู้มีอำนาจในแวดวงบันเทิงที่อยู่ในงานเลย แม้แต่ตระกูลจางและตระกูลฉู่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตระกูลหลี่ ก็ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งเท่านั้น
แต่ทว่าตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงได้เปลี่ยนไปแล้ว ตระกูลหลี่กำลังตกต่ำลงเรื่อยๆ และไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว
เมื่อสูญเสียอำนาจ ทุกคนก็จ้องที่จะเหยียบย่ำ
ถึงแม้ภายในงาน จะไม่มีใครกล้าท้าทายกับตระกูลหลี่อย่างตรงไปตรงมา แต่ความรู้สึกเยาะเย้ยภายในจิตใจนั้นก็ยังคงมีอยู่
เฉินตงที่กำลังยืนอยู่ในฝูงชน ดูราวกับดาวที่กำลังล้อมเดือนอยู่
“มาแล้วหรือ? ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว”
เฉินตงหันมองหลี่เต๋อซานด้วยท่าทีที่สงบ แววตาลึกซึ้ง
ตอนแรกที่พบกับหลี่เต๋อซาน ต่อให้คุณท่านใหญ่ตระกูลหลี่จะอยู่ด้วยก๋ตาม แต่หลี่เต๋อซานก็มักมีท่าทีที่ทำให้คนต้องหวาดกลัว
ทว่าตอนนี้ กลับมีท่าทีที่คล้ายกับคนเสียสติ
“คุณชาย ระวังตัวด้วยครับ !”
ท่านหลงและคุนหลุนเข้าไปยืนขนาบเฉินตงพร้อมกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
ส่วนฉู่เจียนเจียยืนอยู่ด้านข้างของเฉินตง ด้วยท่าทีที่แสดงออกให้เห็นว่ามีเฉินตงเป็นผู้นำ
ที่เธอตั้งใจเชิญเฉินตงมา ก็เพราะรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จึงเชิญเฉินตงมาเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์
ถึงแม้ตระกูลหลี่จะล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่ถ้าหากยืนหยัดขึ้นมาได้จริงๆ ตระกูลจางและตระกูลฉู่เอง ก็คงจะรับมือได้ยากเช่นกัน
ส่วนฉินเย่ ก็ดึงจางหยู่หลันไปหลบที่ด้านหลังของตนเองตามสัญชาตญาณ
เดิมที จางหยู่หลันยังรู้สึกโมโหฉินเย่อยู่เล็กน้อย แต่กลับต้องรู้สึกซาบซึ้งกับการกระทำนี้ และหันมองฉินเย่ด้วยแววตาที่พร่ามัว
ถูกทุกสายตาจับจ้องอยู่
หลี่เต๋อซานซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ประตูใหญ่ของห้องจัดเลี้ยง เมื่อรับรู้ได้ถึงแววตาดูถูกเหยียดหยามที่มองมา
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาคงระเบิดอารมณ์โกรธออกมาแล้ว
สำหรับเขาแล้ว คนเหล่านี้เมื่ออยู่ตรงหน้าของตระกูลหลี่ ก็เป็นเพียงแค่มดที่ตัวใหญ่สักหน่อยก็เท่านั้น แล้วยังจะกล้าดูถูกเหยียดหยามตระกูลหลี่อีกหรือ ?
นี่ถือเป็นการดูหมิ่นตระกูลหลี่อย่างมาก !
แต่ตอนนี้ แววตาของเขากลับเรียบเฉยและดูสงบ
ฉึบ !
เขาหยิบซิการ์ออกมาจากกระเป๋า จากนั้นจึงจุดไฟ
พ่นควันโขมงออกมา จากนั้นหลี่เต๋อซานจึงยิ้ม พลางเอ่ยถามว่า “ทำไม ? ตระกูลหลี่มาถึงงาน ทำให้พวกคุณรู้สึกประหลาดใจจนพูดไม่ออกเลยหรือยังไง ?”
มีความเย่อยิ่งแฝงอยู่ในคำพูด
เมื่อทุกคนได้ยิน กลับรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง
“เชอะ……วางมาดอะไรกัน ? มีใครไม่รู้บ้างว่าสถานการณ์ของตระกูลหลี่ในตอนนี้เป็นอย่างไร ?”
“ตระกูลหลี่ในสมัยก่อน พวกเราไม่อาจเทียบได้จริงๆ แต่ตระกูลหลี่ในตอนนี้……ต้องขอเตือนเจ้าบ้านตระกูลหลี่เสียหน่อยว่า ในเมื่ออยู่กันคนละแวดวง ทำไมต้องมาก้าวก่ายกันด้วย ?”
“ไม่รู้จริงๆ ว่าหลี่เต๋อซาน ตอนนี้ยังเอาความมั่นใจในการพูดคำพูดเช่นนี้มาจากไหน ? หลังจากที่ตระกูลหลี่ถูกยักษ์ใหญ่พวกนั้นกลืนกินเข้าไป เกรงว่าแม้กระทั่งพวกเราก็ยังไม่อาจสู้ได้ !”
……
คำพูดเย้ยหยันค่อยๆ ดังขึ้น
แปะแปะแปะ……
แทนที่จะโกรธ หลี่เต๋อซานกลับปรบมือ
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนต่างประหลาดใจ เสียงดูถูกเย้ยหยัน ค่อยๆ สงบลง
“พูดได้ดี อยู่คนละแวดวงกัน คงไม่อาจก้าวก่ายได้จริงๆ”
หลี่เต๋อซานคาบซิการ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความยินดี “วันนี้ฉันเองก็ไม่ได้คิดที่จะเข้ามาก้าวก่ายแวดวงของพวกคุณ แต่ว่า……มาเพื่อแก้แค้น !”
เปรี้ยง !
คำพูดราวกับเสียงฟ้าผ่า
ทุกคนที่อยู่ในงานต่างแสดงท่าทีตกใจออกมาพร้อมกัน
“เฉินตง แค้นที่ฆ่าพ่อ ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ ฉันจะให้แกต้องตายอยู่ที่นี่ !”
จู่ๆ หลี่เต๋อซานก็มีท่าทีดุร้าย และตะโกนออกมาเสียงดัง
ทันใดนั้น
สายตาหวาดกลัวทั้งหมด ก็จับจ้องไปที่เฉินตง
คนที่อยู่ในงาน ที่พอจะรับรู้เรื่องของตระกูลหลี่ เห็นจะมีเพียงตระกูลจางและตระกูลฉู่
ส่วนคนอื่นๆ แล้ว คำพูดนี้ของหลี่เต๋อซาน ทำให้เหมือนมีฝนตก และฟ้าผ่าลงมาตอนกลางวันแสกๆ อย่างน่าตกใจ
หลังสิ้นเสียงตะโกน
ตรงทางเดินด้านนอกห้องจัดเลี้ยง มีเสียงฝีเท้าที่ต่อเนื่องกันดังขึ้น
อีกทั้งภายในห้องจัดเลี้ยง ฝูงชนก็ค่อยๆ กระจายตัวออกไปอยู่ด้านข้าง เหลือเอาไว้เพียงเฉินตงที่ยืนอยู่ตรงกลาง
ท่าทีของเฉินตงสงบนิ่ง ไม่แสดงออกถึงความประหลาดใจหรือโมโหเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังหันไปมองฉู่เจียนเจียอย่างเฉยเมย “คุณเชิญให้ผมมาควบคุมสถานการณ์ ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ ?”
ฉู่เจียนเจียตัวสั่นเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านนอก เธอก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก
“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ คุณเฉิน ฉัน……”
ฉู่เจียนเจียรีบอธิบาย เธอคำนวณทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงได้เลือกโรงแรมของตระกูลจาง เป็นที่จัดการประชุมแลกเปลี่ยน เป็นเพราะคำนึงถึงเรื่องที่หลี่เต๋อซานน่าจะเข้ามาก่อกวนภายในงาน
สิ่งที่เธอคาดการณ์ไว้ก็คือ เชิญเฉินตงมา เพื่อจัดการกับหลี่เต๋อซานเพียงคนเดียว
แต่คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะบานปลายใหญ่โตเช่นนี้ !
“เกิดเรื่องแล้ว !”
ใบหน้าอันงดงามของจางหยู่หลันซีดเผือด “วันนี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมทุกคนล้วนเข้าประจำการแล้ว !”
คำพูดประโยคนี้ ยิ่งทำให้ฉู่เจียนเจียรู้สึกเหมือนตกลงไปในเหว
“คุณเฉิน ขอโทษด้วยค่ะ !” ฉู่เจียนเจียรีบกล่าวขอโทษด้วยความตื่นตระหนก
เฉินตงพูดด้วยท่าทีเฉยเมย “คุณกับจางหยู่หลันถอยไปก่อน !”
น้ำเสียงฟังดูเย็นชาและไม่สะทกสะท้าน
เขาเองก็มาเพื่อที่จะจัดการกับหลี่เต๋อซานเพียงคนเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์ทั้งหมด จะสูญเสียการควบคุมจนถึงขั้นนี้
ฉู่เจียนเจียไม่มีเหตุผลที่จะ “ร่วมมือกับคนโง่” และไม่มีทางที่จะช่วยหลี่เต๋อซาน ล่อเขาให้มาติดกับอย่างแน่นอน
หากจะโทษก็ต้องโทษเจ้าโง่หลี่เต๋อซาน ที่เลือกใช้วิธีที่อันตรายกว่าเมื่อก่อน เป็นวิธีของสุนัขที่กำลังจนตรอก !
“หยู่หลันถอยไป !”
ใบหน้าของฉินเย่ดุดัน
“ฉันไม่ถอย !”
จางหยู่หลันส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก
“ผมเป็นผู้ชายของคุณ ! เชื่อฟังผม !”
ฉินเย่หันหน้ากลับไปทันที แล้วมองจางหยู่หลันด้วยความโมโห ทำให้จางหยู่หลันตกใจจนยืนนิ่งไป
ฉู้เจียนเจียรีบดึงจางหยู่หลันกลับเข้าไปในฝูงชน
ส่วนบนพื้นที่ที่ว่างเปล่า เหลือเพียงแค่เฉินตง ท่านหลง คุนหลุน และฉินเย่ สี่คนเท่านั้น
ทั้งหมดนี่ เกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
ขณะที่ฉู่เจียนเจียและจางหยู่หลันเพิ่งจะถอยกลับเข้าไปในฝูงชน
ประตูใหญ่ของห้องจัดเลี้ยง มีเสียงฝีเท้าต่อเนื่องดังขึ้นมา และทันใดนั้น ก็ปรากฏฝูงชนจำนวนมากขึ้น
เพียงชั่วพริบตา ก็ยืนกันจนแน่นขนัดไปทั่วด้านหลังของหลี่เอซาน ถึงขั้นมีบางส่วน ล้นออกไปจนถึงทางเดินด้านนอก
เปรี้ยง !
เสียงร้องด้วยความตกใจดังระงมขึ้น
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที และแสดงออกถึงความหวาดกลัว
“เจ้าบ้านตระกูลหลี่ คุณกำลังทำอะไร ? นี่มันเมืองหลวงนะ !”
“เจ้าบ้านตระกูลหลี่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ให้พวกเราไปก่อนได้ไหม ?”
“จะมากเกินไปแล้ว ตระกูลหลี่ต้องการที่จะหายสาบสูญไปจากเหมืองหลวงหรือยังไง ? หลี่เต๋อซาน คุณเสียสติไปแล้วหรือยังไง ?”
……
หลี่เต๋อซานมีท่าทีที่น่ากลัวเหมือนงูพิษ เขามองเฉินตงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและอาฆาต
“วันนี้ ฉันจะให้แกตายที่นี่ !”
คำพูดประโยคนี้ ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกหนาวสั่น
เสียงโวยวายหยุดลงในทันที
“น่าจะมีอย่างน้อยร้อยคนใช่ไหม ?”
จู่ๆ เฉินตงก็ยิ้มออกมา แล้วส่งเสียงหัวเราะอย่างไร้เหตุผล
ทำให้ทุกคนในงานต่างอึ้งไป
หลี่เต๋อซานเองก็พลอยหัวเราะขึ้นมาด้วย “ดีดีดี ไม่เสียแรงที่เป็นพวกบ้าระห่ำ จะตายอยู่แล้วยังสามารถหัวเราะออกมาได้อีกหรือ ?”
เขารู้สึกอยู่อย่างสิ้นหวัง ตระกูลหลี่เองก็กำลังสั่นคลอน
ถ้าหากไม่สามารถฆ่าเฉินตงเพื่อแก้แค้นได้ เขาก็ไม่อาจนอนตายตาหลับได้
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลี่ สำหรับหลี่เต๋อซานแล้ว เฉินตงเป็นคนก่อขึ้นทั้งหมด
ความแค้นที่ฆ่าพ่อและทำให้ตระกูลต้องแตกแยก เลือดต้องชดใช้ด้วยเลือด !
ทว่า
เฉินตงกลับหันมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีที่สงบ
“พวกเรามีเพียงแค่สี่คนเอง”
เขาพูดพลาง ปลดเนกไทออกไปพลาง และค่อยๆ มีสีหน้าที่ดุดันขึ้น
ส่วนฉินเย่กลับหันหลัง ยกขวดไวน์ขึ้นมาหนึ่งขวด แล้วทุบลงบนขอบโต๊ะจนแตก ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ปลดเนกไทของตัวเองไปพลาง และถามออกมาอย่างดุดันว่า “เอายังไงดี ?”
เฉินตงยิ้มเล็กน้อย
จากนั้นจึงหันไปมองหลี่เต๋อซาน และยิ้มอย่างมั่นใจ “จัดการเขา !”