The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 412 คนแรกของโลก
บรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยความกดดัน
เฉินตงและเย่หยวนชิวนั่งมองตากัน
สายตาที่ดุดันของเย่ยหวนชิว ทำให้เฉินตงรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ราวกับมีมีดแหลมคมคอยทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา
นี่……ถึงจะเป็นรัศมีที่จู่เหลารุ่นหยวนของหงหุ้ยพึงมี!
สิ่งที่เรียกว่าความน่าเกรงขาม เมื่อปรากฏต่อหน้าเย่หยวนกลับดูไร้ค่า
รัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวของเย่หยวนชิว ไม่ใช่ความโกรธและไม่ใช่การข่มขู่ ต่อให้กำลังยิ้มอยู่ ก็สามารถทำให้คนรู้สึกเกรงขาม และรู้สึกถูกกดดันขนสิ้นหวังได้
พักใหญ่
เฉินตงยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “คุณชนะแล้ว”
“ดี! รู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดี ผมจะรีบตระเตรียมพิธีการเดี๋ยวนี้”
ท่าทางน่าเกรงขามของเย่หยวนชิวหายไปในทันที แววตาของเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน และเผยรอยยิ้มออกมา
พิธีการถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใต้การดูแลของเย่หยวนชิวและเย่หลิงหลง
เฉินตงคุกเข่าด้านหน้ากล่องเครื่องหอม เย่หยวนชิวยืนอยู่ด้านข้าง หลังจากการบริกรรมคาถาเสร็จสิ้น
เฉินตงเผากระดาษเงินกระดาษทอง และดื่มเหล้า
จากนั้นจึงรับป้ายหงหุ้ยมาจากเย่หยวนชิว
ป้ายดูคล้ายกันกับของเย่หลิงหลง
เป็นป้ายที่ทำจากไม้จันทน์ แกะสลักคำว่า “หง” เอาไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง แกะสลักคำว่า “หยวน” เอาไว้
“คุณเฉิน นี่คือป้ายเพื่อแสดงฐานะในหงหุ้ย ผู้ที่ครอบครองป้ายนี้ หงหุ้ยทั้งสามพันหกร้อยแห่งบนโลกนี้ จะต้องเชื่อฟัง แม้แต่หลงโถวก็ยังต้องให้ความเคารพ”
ตอนที่เย่หยวนชิวพูด เขาก็ยืดตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่ากำลังแสดงความสูงส่งและเย่อหยิ่งออกมา
ส่วนเย่หลิงหลงที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อเธอเห็นป้ายที่สลักคำว่า “หยวน” เอาไว้ สีหน้าก็ซีดเผือดทันที และแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
ในขณะที่กำลังอึ้งอยู่นั้น
ป้ายสลักคำว่าหยวน แสดงให้เห็นว่าอยู่ในรุ่น “หยวน” ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับคุณปู่!
รุ่นนี้ ในหงหุ้ยตอนนี้ มีเพียงคุณปู่คนเดียวเท่านั้นที่มี!
ตอนนี้……หงหุ้ยได้เชิญผู้อาวุโสเข้ามาอีกคน?
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหงกุ้นของหงหุ้ย เย่หลิงหลงย่อมรู้ดีว่า การแบ่งรุ่นในหงหุ้ยนั้น มีความสำคัญมากขนาดไหน!
เป็นเพราะรู้ดี จึงรู้สึกตกตะลึง!
เฉินตงพลิกแผ่นป้ายดูสักครู่ หลังจากแน่ใจว่าเย่หยวนชิวไม่มีธุระอย่างอื่นอีกแล้ว จึงเดินทางกลับ
เย่หยวนชิวไปส่งเฉินตงที่ประตูด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมองกุญแจรถของเย่หลิงหลงให้เฉินตง จากนั้นจึงกำชับเฉินตงว่า พรุ่งนี้ให้จอดรถเอาไว้ด้านล่างบริษัท แล้วเย่หลิงหลงจะเป็นคนไปขับรถกลับมาเอง
เย่หยวนชิวมองดูรถบีเอ็มดับเบิลยู i8 สีน้ำเงินขับออกไปด้วยแววตาลึกซึ้ง แววตาแอบเปล่งประกายออกมา รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้ายิ่งชัดเจนมากขึ้น
ต่อให้รถแล่นจนลับตาไปแล้ว
เย่หยวนชิวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ประตู
“คุณปู่!”
เสียงของเย่หลิงหลง ทำให้เย่หยวนชิวหันหลังกลับ
“มีอะไร?” เย่หยวนชิวถามด้วยรอยยิ้ม
“เป็น……รุ่นหยวนจริงๆ หรือ?” เย่หลงหลิงถามโดยไม่อยากจะเชื่อนัก
ต่อให้จะเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยตาตัวเอง แต่เธอก็ยังคงรู้สึกตกตะลึงอยู่ดี
“ปู่รู้ดีว้เธอกำลังสงสัย แต่เขาควรอยู่ในฐานะรุ่นหยวน นี่เป็นสิ่งที่ปู่และหลงโถวได้ปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว หงหุ้ยทั้งสามพันหกร้องแห่ง จะต้องปฏิบัติตาม”
เย่หยวนชิวไม่ได้อธิบาย แต่ใช้น้ำเสียงที่เคร่งขรึมเพื่อระงับความสงสัยภายในใจของเย่หลิงหลง
“แต่เขา แต่เขายังอายุน้อยเช่นนี้ ความสำเร็จก็ยังไม่ถึงขั้นติดอันดับต้นๆ ของโลก แต่เพียงแค่เข้ามาในหงหุ้ยก็ได้ขึ้นเป็นรุ่นหยวนแล้ว จะให้หงหุ้ยทั้งสามพันหกร้อยแห่งเห็นด้วยได้อย่างไร?”
เย่หลิงหลงยังคงพูดอย่างไม่เต็มใจ “ปกติแล้วคุณปู่เป็นคนเปิดเผย ทำอะไรตรงไปตรงมา หนูเป็นถึงหลานสาวของคุณปู่ การแบ่งรุ่นยังไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษ ยังถูกแบ่งรุ่นตามกฎเกณฑ์ของหงหุ้ย”
“มอบให้หรือ?”
เย่หยวนชิวยิ้ม “นั่นคือสิ่งที่เขาควรได้รับ!”
คำที่ต่างกัน ก็ให้ความหมายที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน!
พูดจบ เขาก็หันหลังกลับไปมองยังทางที่ส่งเฉินตงจากไป
แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมและพึงพอใจ
จากนั้นจึงพึมพำว่า “คนหนึ่งเช่นนี้ ตั้งแต่ที่ฉันผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นร้อยปี เพิ่งจะเห็นเป็นคนแรกของโลก!”
เปรี้ยง!
เย่หลิงหลงตัวสั่น ราวกับถูกฟ้าผ่าลงตรงกลางใจอย่างแรง
เธอตกใจจนลืมตาอ้าปากค้าง และหันมองเย่หยวนชิวด้วยความตะลึง
คำพูดแสดงความเห็นเช่นนี้ ในความทรงจำของเธอ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ออกมาจากปากของคุณปู่!
แม้แต่บรรดาหลงโถวในอดีตที่เธอรู้จัก ก็ยังไม่เคยได้รับการชื่นชมจากคุณปู่แม้เพียงประโยคเดียว!
“คุณปู่ เขาคู่ควรกับคำพูดนี้ของคุณปู่จริงๆ หรือคะ?”
ริมฝีปากแดงระเรื่อของเย่หลิงหลงสั่นเทา และพูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “แต่เมื่อครู่เขาเสียมารยาทกับคุณปู่ขนาดนั้น ราวกับว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ประสา แล้วจะถือเป็นคนแรกในโลกได้อย่างไร?”
“หากรู้ประสาจะเรียกว่าคนหนุ่มได้อย่างไร?”
เย่หยวนชิวแสยะยิ้มออกมาหนึ่งครั้ง และมีแววตาที่เป็นประกาย “คนหนุ่มนิสัยบ้าคลั่ง และคนหนุ่มที่พยายามบ้าคลั่งยิ่งขึ้น ถ้าหากไม่มีพลังเช่นนี้แม้แต่น้อย จะเอาชนะและขึ้นเป็นราชาได้อย่างไร?”
เย่หลิงหลงเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เรื่องหนึ่ง เธอก็รีบถามขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้คุณปู่ใช้ให้หนูทดสอบฝีมือการต่อสู้ของเขาชัดๆ แต่ทำไมสุดท้ายกลับกล่าวโทษหนู?”
“ปู่ใช้ให้หลานหยั่งเชิงดูเท่านั้น ไม่ได้ใช้ให้ต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย”
เย่หยวนชิวหันไปมองด้วยแววตาตำหนิ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากจะพูดว่าคนหนุ่มสาวไม่รู้ประสา หลานต่างหากที่ไม่รู้ประสา เมื่อครู่ตอนเธอประมือกับเขาหลายรอบ เธอแยกระดับฝีมือไม่ออกเลยเชียวหรือ? ตอนนี้เธอถามเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นปู่ขอถามเธอกลับ ถ้าเธอต่อสู้กับเขาอย่างสุดชีวิตจริงๆ เธอจะมีโอกาสเอาชนะเขาแค่ไหนกัน?”
เย่หลิงหลงขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิด
คำพูดของคุณปู่ ทำให้เธอเถียงไม่ออก
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เรื่องทักษะในการต่อสู้ เวลาที่ผ่านมาอย่างสูญเปล่ากว่ายี่สิบปี หลังจากผ่านการฝึกฝนอย่างหนักในช่วงสั้นๆ กลับเอาชนะหงกุ้นของหงหุ้ยอย่างเธอได้
พรสวรรค์เช่นนี้ ถือว่าน่ากลัวมากจริงๆ!
“หลิงหลง เธอจำเอาไว้นะ คนประเภทนี้ เพียงแค่เขาขยับก็ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงได้ เธออาจรู้สึกว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดา แต่เมื่อไหร่ที่เขาได้ลอยขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงขึ้น คำว่าพรสวรรค์ ที่ใช้อธิบายคนเหล่านี้นั้น ได้รับการสะสมมาตามกาลเวลา”
เย่หยวนชิวพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นจึงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
เขาหันหลังกลับไป แล้วยิ้มแปลกๆ ให้กับเย่หลิงหลง
“แต่ว่า ปู่เลี้ยงเธอมาจนโตขนาดนี้ ถึงแม้ปากของเธอจะก่นด่าเฉินตงด้วยความไม่พอใจ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ปู่เห็นเธอยั่วยวนคนนะ”
“หา?!”
เย่หลิงหลงตกใจอย่างมาก ใบหน้าอันงดงามของเธอแดงก่ำขึ้นมาทันที
เธอก้มหน้าด้วยความเขินอาย แล้วพึมพำว่า “ก็คุณปู่สั่งให้หนูทดสอบเขานี่คะ!”
“ปู่ไม่ได้สั่งให้เธอยั่วยวนเขาเสียหน่อย”
“อ้าว ทำไมคุณปู่ถึงปัดความรับผิดชอบเช่นนี้ล่ะคะ?” เย่หลิงหลงพูดเสียงแหลมขึ้นมา
อีกทางด้านหนึ่ง
เฉินตงขับรถบีเอ็มดับเบิลยู i8 กลับมาที่เขาเทียนซาน
ภายในรถ ยังมีกลิ่นหอมอบอวลคละคลุ้งอยู่ เป็นกลิ่นหอมของเย่หลิงหลง
แต่เฉินตงกลับไม่สนใจเลยสักนิด
เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ และไม่ใช่คนน่าสมเพช ไม่มีทางที่จะหวั่นไหวเพียงเพราะกลิ่นหอมอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกแรกที่เขามีให้กับเย่หลิงหลง เหลือเพียงแค่ความรู้สึกรังเกียจก็เท่านั้น
เขาพลิกป้ายหงหุ้ยที่อยู่ในมือไปมา
เฉินตงขมวดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย
เขามองไปยังถนนที่มืดมิดตรงหน้า แล้วพึมพำออกมาเบาๆ
“เข้าร่วมหงหุ้ย ก็จะได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งเหนือใคร แต่หากไม่เขาร่วมหงหุ้ย ทางด้านของฉินเย่ก็ต้องพังไม่เป็นท่า บนโลกนี้มีเรื่องดีขนาดนี้เลยหรือ?”
“หงหุ้ย……เพียงแค่มีเวลาว่าง หรือขาดบรรพบุรุษให้บูชาจริงหรือ?”
เขาโยนป้ายลงบนเบาะที่นั่งข้างคนขับ แล้วเฉินตงก็หัวเราะตัวเอง “มีเรื่องดีขนาดนี้ที่ไหนกัน เพียงแต่จุดประสงค์ที่หงหุ้ยต้องการให้ฉันเข้าร่วมคืออะไรเท่านั้น?”