The Winner is king ผู้ชนะเลศคือราชา - บทที่ 462 การต่อสู้ระหว่างผู้หญิงสองคน
หลังจากพูดจบ
เทียนอ้ายก็สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วถอยหลังไปสองสามก้าว
วินาทีต่อมา เธอวิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็ว
เธอกระโดดลอยตัวขึ้นไปในอากาศ เหยียบกำแพงสองครั้ง และข้ามกำแพงได้อย่างง่ายดาย
ตุ๊บ !
เท้าทั้งสองข้างแตะถึงพื้น
เทียนอ้ายรู้สึกดีใจ ด้วยฝีมือของเธอ หากคิดที่จะปีนกำแพงเข้ามา ถือว่าเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
ในขณะที่กำลังภาคภูมิใจอยู่นั้น เธอเองก็ไม่กล้าประมาทเช่นกัน
สมาคมซานเหอเป็นองค์กรใหญ่ของหงหุ้ย หากถูกจับได้ว่าเธอแอบลักลอบเข้ามา จะต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแน่นอน
เทียนอ้ายเดินเลียบไปตามกำแพงอย่างระมัดระวัง ใบหน้าอันงดงามของเธอดูเคร่งขรึม ดวงตาคอยสอดส่องโดยรอบอยู่ตลอดเวลา
นี่คือลานที่เงียบสงบมาก
“ลานที่เงียบสงบเช่นนี้ คงจะไม่มีใครเดินผ่านมาหรอกนะ ?”
เทียนอ้ายรู้สึกวางใจ
ทว่า
จ๊อกๆ……
จู่ๆ ก็มีเสียงน้ำไหลดังขึ้น
ราวกับเสียงฟ้าผ่า
ทำลายความสงบของลานไปหมดสิ้น
เส้นประสาทของเทียนอ้ายตึงเครียดขึ้นทันที
ยังไม่ทันที่เธอจะได้หันหลังกลับ ก็มีเสียงที่นุ่มนวลดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“ขอโทษด้วยนะ ถ้าไม่มีอะไรเข้าใจผิด ฉันก็ถือว่าเป็นคนคนหนึ่ง”
รูม่านตาของเทียนอ้ายหดลงถึงขีดสุดด้วยความตกใจ
หัวใจเต้นระส่ำ
เธอหันหลังกลับไปทันที จากนั้นจึงพบเข้ากับใบหน้าที่งดงามจนเหนือคำบรรยายกำลังจ้องมองเธออยู่ ดวงตากลมโตเปล่งประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า จ้องเขม็งมาที่เธอ
สวรรค์ สวยเกินไปไหม ?
เทียนอ้ายตกอยู่ในภวังค์ทันที
ถึงแม้ตัวเธอเองจะเป็นผู้หญิง แต่เมื่อเห็นใบหน้านี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตะลึง
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ตอนนี้ใบหน้านั้นจะจ้องเขม็งมาที่เธอ แต่กลับทำให้เธอตื่นตะลึง และรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังจะละลาย
เดี๋ยวก่อน ที่ฉันถูกเจอตัวเข้าแล้วนี่ !
ทำไมยังมัวแต่สนใจใบหน้าของผู้หญิงคนนี้อยู่อีก ?
อันที่จริงแล้ว เย่หลิงหลงเองก็อึ้งไปเช่นเดียวกัน
เธอเป็นหงกุ้นของหงหุ้ย และเป็นหลานสาวคนเดียวของจู่เหล่ารุ่นหยวน เย่หยวนชิว
ตั้งแต่จำความได้ น้อยมากที่จะมีคนแอบเข้ามาในสมาคมซานเหอ
เพราะคนที่ติดต่อกับหงหุ้ยจริงๆ จะรู้ดีว่า สมาคมจงเหอคือสถานที่เช่นไร
แต่ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่เธอเคยพบ !
ผู้หญิงที่ปีนกำแพงเข้ามาตรงหน้า ก็ถือว่าเป็นการบุกรุก !
เพียงแต่ “การพบกันโดยบังเอิญ” ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ก็ทำให้เย่หลิงหลงตั้งสติไม่ได้ไปพักใหญ่เช่นกัน
นิ้วหัวแม่มือด้านขวางอุดก๊อกน้ำเอาไว้ แต่บางครั้งก็ปล่อยมือออกและมีน้ำไหลออกมา จากนั้นก็ถูกนิ้วมืออุดขึ้นอีกครั้ง
เป็นอยู่เช่นนี้
ภาพทุกอย่างหยุดนิ่งลงเป็นเวลาห้าวินาที
จู่ๆ เทียนอ้ายก็พูดขึ้นว่า : “เอ๊ะ ! แปลกจริงๆ ดูเหมือนฉันจะมาผิดที่แล้ว ขอโทษด้วยนะคะ ฉันขอตัวก่อน”
ขณะที่พูด เธอก็เดินถอยหลังไปสองสามก้าว และเตรียมที่จะกระโดดข้ามกำแพงออกไป
หากถูกจับได้ว่าลักลอบเข้ามาในองค์กรใหญ่ของหงหุ้ย จะต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น อาจกระทบไปถึงตำแหน่งของเธอด้วย
“หยุดเดี๋ยวนี้ !”
เย่หลิงหลงตั้งสติได้ ใบหน้าอันงดงามของเธอปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งทันที
เธอทิ้งก๊อกน้ำ แล้วยืนขวางอยู่หน้ากำแพง แววตาเต็มไปด้วยความดุดัน
“เธอคิดว่าฉันโง่หรือยังไง ? ปีนกำแพงเข้ามาในสมาคมซานเหอ แล้วยังจะบอกว่ามาผิดอีกหรือ ?”
ท่าทางดุดัน น้ำเสียงเย็นชา : “หากเธอจะไป ก็ได้ ! หากเธอไม่ทิ้งอะไรเอาไว้สักอย่าง ก็ต้องเอาชนะฉันให้ได้ !”
แย่แล้ว !
เทียนอ้ายตะโกนเสียงดังขึ้นในใจ
แต่ก็ยังมีท่าทีสุขุม ดวงตาของเธอเหลือบไปมองประตูใหญ่ของลาน แล้วรู้สึกกลัวเล็กน้อย
“วางใจเถอะ ไม่มีคนเข้ามาแน่นอน ต่อให้มีคนเข้ามา ฉันก็จะห้ามไม่ให้พวกเขาลงมือ” เย่หลิงหลงเดาความคิดของเทียนอ้ายออก
เทียนอ้ายยักไหล่ : “ฉันไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง เธอก็ถือซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้น……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็จงใจหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกำหมัด แล้วแสดงท่าทีน่าสงสารออกมา และกล่าวอ้อนวอน : “ฉันขอร้องเธอล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ ถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”
ล้อเล่นน่า !
แอบลักลอบเข้ามาในองค์กรใหญ่ของหงหุ้ย นั่นเท่ากับกระตุกหนวดเสือชัดๆ
ยังดีที่ตอนนี้มีแค่ผู้หญิงคนนี้เพียงคนเดียว
หากรู้ไปถึงหูของคนอื่นๆ ในสมาคมซานเหอ วันนี้เธอถูกฝังอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
ถึงแม้นิสัยของเทียนอ้ายจะชอบเอาชนะ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไม่รู้จักกลัวตาย
หากสามารถเอาตัวรอดไปได้จึงถือเป็นเรื่องดี ส่วนศักดิ์ศรีสำคัญตรงไหน ?
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการอ้อนวอนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เย่หลิงหลงเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
จากนั้น สีหน้าของเธอก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น
“เธอกำลังดูถูกฉันอย่างนั้นหรือ ? อะไรที่เรียกว่าไม่รังแกผู้หญิง ?”
เย่หลิงหลงเอ่ยปากพูดขึ้นทันที แววตาของเธอเผยความดุร้ายออกมา
เธอเป็นหนึ่งในหงกุ้นของหงหุ้ย อาศัยความมุ่งมั่นในการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะลบคำสบประมาทว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิง และสายตาที่แปลกประหลาดที่มองเธอว่าเป็นหลานสาวของเย่หยวนชิว
ตอนนี้ คำพูดหนึ่งประโยคของเทียนอ้าย แทงใจดำของเธอเข้าอย่างจัง
วินาทีถัดมา
เย่หลิงหลงทำตัวเหมือนลูกศร พุ่งตรงเข้าหาเทียนอ้ายในทันที
เทียนอ้ายเคร่งขรึมลง รู้ดีว่าไม่อาจหลบเลี่ยงได้อีก
เธอกัดฟันแล้วพุ่งตรงเข้าไปหาเย่หลิงหลง
ตุ้บ !
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน และปล่อยหมัดเข้าใส่อีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
แทบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายหน้าถอดสีพร้อมกันทันที
หมัดนี้เป็นการหยั่งเชิง
ทั้งสองต่างตกตะลึงในความสามารถของฝ่ายตรงข้าม
คนหนึ่งเป็นหงกุ้นของหงหุ้ยที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ส่วนอีกคนก็เป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก
แน่นอนว่าต้องมีอีกฝ่ายที่เหนือกว่า
แต่หากจะพูดว่าเหนือกว่ามากน้อยแค่ไหนนั้น คงไม่อาจตัดสินออกมาได้
หนึ่งหมัดที่ต่อยออกไป ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ
แต่นี่เป็นการจุดประกายจิตวิญญาณในการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย
จากนั้นทั้งสองก็ปล่อยหมัดและเท้าเข้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วราวกับพายุ
หมัดและเท้าที่รวดเร็วเหมือนพายุ พุ่งเข้าโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า
“ผู้หญิงอ่อนแอ” ในสายตาของคนรอบข้าง กลับใช่การโจมตีที่ดุดันอย่างถึงที่สุดในการต่อสู้
แต่เป็นเพราะเกี่ยวพันถึงชาติกำเนิด
ฝีมือของเย่หลิงหลง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเหนือชั้นกว่าเมียนอ้าย หรือพูดได้ว่าดุดันกว่าเทียนอ้ายเล็กน้อย
และเป็นเพราะความแตกต่างเช่นนี้
หลังจากต่อสู้ไปสักพัก เทียนอ้ายก็เริ่มเสียเปรียบ
เธอฝึกฝนตั้งแต่เล็กจนโต แต่ไม่ว่าจะฝึกอย่างไร ก็ไม่อาจสู้เย่หลิงหลงที่เติบโตมาพร้อมกับการสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็กไม่ได้
หงกุ้นประจำพื้นที่ เป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการต่อสู้สูงสุดของพื้นที่นั้นแล้ว
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่แลกมาด้วยการใช้หมัดต่อสู้ !
ไม่แน่ว่าในด้านอื่น เทียนอ้ายอาจจะเหนือกว่าเย่หลิงหลง
แต่การต่อสู้ด้วยหมัดและเท้า เทียนอ้ายย่อมด้อยกว่าเย่หลิงหลงแน่นอน
ตุ้บ !
ในขณะที่ต่อสู้กันอยู่นั้น เย่หลิงหลงแสดงท่าทีดุดันออกมา แล้วฉวยโอกาสชกเข้าไปที่หน้าอกของเทียนอ้าย
และในขณะที่เทียนอ้ายถอยร่นไปด้านหลัง ก็ฉวยโอกาสใช้กรงเล็บจับเข้าไปที่แขนขวาของเย่หลงหลิง จนเกิดเป็นรอยถลอกขึ้นสามเส้น
“ฮู่~”
หลังจากเทียนอ้ายยืนได้อย่างมั่นคง เธอก็รีบหายใจหายใจเข้าด้วยท่าทีเจ็บปวดทันที จากนั้นจึงจ้องเขม็งไปที่เย่หลิงหลงด้วยความโกรธ : “ดูเหมือนเธอจะไม่ใช่คนดีเท่าไหร่นะ ทำไมถึงชกลงมาในที่แบบนี้ได้ ?”
“มันเล็กเกินไป ก็เลยช่วยเพิ่มขนาดให้หน่อย”
เย่หลิงหลงขมวดคิ้วแน่น แล้วเหลือบไปมองรอบแผลบนแขน และไม่ได้สนใจ จากนั้นจึงพุ่งตัวเข้าใส่เทียนอ้ายด้วยความเร็วราวกับพายุอีกครั้ง
ท่าทีดุร้าย ราวกับเสือที่กระโจนลงมาจากภูเขา
เทียนอ้ายขมวดคิ้ว เส้นเลือดบริเวณหางตาของเธอกระตุกสองสามครั้ง
แต่ก็ไม่ได้หลบหลีก และพุ่งตรงเข้าต่อสู้เช่นกัน
เพียงแต่การเผชิญหน้ากับเย่หลิงหลงในแต่ละครั้ง เธอจะค่อยๆ เขยิบตัวเข้าไปใกล้กำแพงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันจะสังเกตเห็น
“ฉันขอสู้ตายกับเธอ !”
จู่ๆ เทียนอ้ายก็ตะโกนออกมาเสียงดัง เท้าขวาของเธอเตะทะลุอากาศไปอย่างรวดเร็วราวกับแส้ และพุ่งตรงเข้าใส่ด้านข้างลำตัวของเย่หลิงหลง
ใช้แรงอันหนักหน่วงและรวดเร็วดุจสายฟ้า
ใบหน้าของเย่หลิงหลงเคร่งขรึมลง เธอยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาและพุ่งตรงเข้าไป
ตุ้บ !
เท้าที่เป็นเหมือนแส้โจมตีเข้ามาอีกครั้ง ที่น่าตกใจก็คือทำให้เย่หลงหลิงต้องโซเซถอยหลังไปหลายก้าว
ใบหน้าเย็นชาของเธอ ในที่สุดก็ปรากฏท่าทีของความเจ็บปวดขึ้นมา แขนทั้งสองข้างรู้สึกเจ็บปวด
ทว่า
“ลาก่อนนะ”
เทียนอ้ายโจมตีสำเร็จ แต่เธอไม่ได้อาศัยจังหวะที่ได้เปรียบเข้าโจมตีอีกครั้งเพื่อเอาชนะ แต่กลับหันหลัง แล้วกระโดดข้ามกำแพงไป
ภาพนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
เย่หลิงหลงผงะไปทันที
นิ้วอันเรียวงามบนมือที่ขาวนวลเนียนขยับโดยไม่รู้ตัว
เมื่อครู่ เธอถึงขนาดเตรียมตัวที่จะรับการโจมตีจากเทียนอ้ายอีกครั้ง และงัดกลยุทธ์ทุกอย่างมาใช้ในการต่อสู้
“ผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่ไม่ใช่คนดี”
เย่หลงหลิงก่นด่าไปหนึ่งประโยค จากนั้นจึงขยับแขนทั้งสองข้าง แล้วพูดออกมาเหมือนมีความคิดอะไรบางอย่าง : “แต่สาเหตุที่ผู้หญิงคนนี้แอบลักลอบเข้ามาในสมาคมซานเหอ เป็นเพราะอะไรกันแน่ ? ดูๆ แล้วไม่เหมือนคนที่มีจุดประสงค์ร้ายนะ”
ภายในห้อง
เฉินตงนอนอยู่บนเตียง
เสียงตะโกนและเสียงต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้านนอกเมื่อครู่ เขาได้ยินชัดเจนทั้งหมด
หนึ่งในเสียงที่ได้ยิน เขาสามารถแยกแยะออกมาได้อย่างรวดเร็วว่า เป็นเสียงของเทียนอ้าย !
เพียงแต่สภาพของเขาในตอนนี้ ไม่อาจที่จะหยุดการต่อสู้ในครั้งนี้ได้
แต่ว่าการมาของเทียนอ้าย กลับทำให้เฉินตงรู้สึกดีใจ
“เสี่ยวหยิ่งเป็นคนให้เธอมาตามหาฉันหรือ ?”