Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 364
บทที่ 364 กรรมตามสนอง
ในตอนที่เบลลัคค้อมกายให้กับลูเซียน แสงสลัวชั้นบางๆ ก็เข้าปกคลุมแหวนสีดำหน้าตาน่าขนลุกบนมือขวาของเขา
แหวนวงนั้นออกแบบตามรูปร่างงูสองตัวที่โค้งศีรษะและหางเข้าหากัน ทันใดนั้นลำแดงสีเข้มก็พุ่งออกมาโดยมีเป้าหมายที่ลูเซียน
กำแพงป้องกันเวทมนตร์ของลูเซียนหายไปทันที เช่นเดียวกับผลจากบทเวทที่กำกับไว้ในเหรียญตราอาร์คานาระดับสูง ‘เคลื่อนไหวเสรี (สามัญ)’ แล้วอาณาเขตปิดกั้นการใช้เวทมนตร์ก็ก่อตัวขึ้นรอบกายลูเซียน
เวทมนตร์ระดับเจ็ด ‘รัศมีปิดกั้นมนตรา!’
ในฐานะนักเวทประจัญบาน เบลลัคจึงมีความระแวดระวังมากกว่านักเวทระดับสูงที่ลูเซียนเคยต่อกรด้วย ตั้งแต่ต้น เขาก็เลือกใช้เวทมนตร์ที่ใช้การได้ดีที่สุดกับลูเซียนแล้วเรียกใช้อุปกรณ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ เขายังสกัดลูเซียนไม่ให้ใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ระดับสูงชิ้นใดด้วยการสร้างอาณาเขตปิดกั้นการใช้เวทมนตร์
ลูเซียนไม่สามารถเรียกใช้แหวน ‘เวทธาตุ’ บทเวทในนั้นจึงไม่อาจเรียกออกใช้ได้ แต่โชคดีที่เขาค่อนข้างมีประสบการณ์ในการรับมือกับ ‘รัศมีปิดกั้นมนตรา’ เขาจึงหลบเลี่ยงโดยพลัน และพยายามจะหาที่ซ่อนตัว เพราะว่าอาณาเขตเวทมนตร์นี้จะอยู่ได้ไม่นาน
เมื่อเบลลัคเห็นการเคลื่อนไหวอันว่องไวของลูเซียน เขาก็ตระหนักได้ว่าลูเซียนนั้นยังเป็นอัศวินที่มากความสามารถพอตัวอีกด้วย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา เบลลัคแย้มยิ้มขณะยื่นมือข้างหนึ่งออกไป และชี้ไปยังอากาศเบื้องหน้าลูเซียน ฉับพลันนั้น กำแพงสนามแรงล่องหนสูงตระหง่านก็พุ่งขึ้นมาจากพื้น
ตูม!
ลูเซียนเคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศทางไม่ทัน จึงชนเข้ากับกำแพงนั้น
ด้วยไม่อาจเสียเวลา ลูเซียนจึงใช้แรงสะท้อนจากการชนเพื่อเปลี่ยนทิศทางและเริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มฝีเท้าไปตามแนวกำแพง
ปัญหาใหญ่ของเวทมนตร์ระดับห้าก็คือมันเป็นเพียงกำแพง หาใช่กรงขัง!
เมื่อลูเซียนกำลังจะกระโดดลงไปในทะเลสาบ ระยะเวลาพักการร่ายเวทของเบลลัคก็หมดลงพอดี ลำแสงสีเทาอีกสายจึงแผ่พุ่งออกมาจากปลายนิ้วเขา ไม่ว่าลูเซียนจะพยายามหลบหลีกเพียงใด ลำแสงนั้นก็ยังพุ่งโดนเขา
ดวงตาลูเซียนพลันพร่าเลือน และร่างกายส่วนที่โดนลำแพงนั้นกระแทกก็เริ่มแข็งเป็นหินสีขาวอมเทา
สีขาวอมเทานั้นลุกลามไปอย่างรวดเร็ว และภายในหนึ่งวินาที ลูเซียนก็กลายเป็นรูปปั้นหินโดยสมบูรณ์
เวทมนตร์ระดับหก ‘ศิลา!’
“ฮ่า นี่น่ะหรือมารปฐมภูมิ… ช่างอ่อนแอยิ่งนัก!” เบลลัคยิ้มแย้มอย่างผู้กำชัยและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยวาจาเสียดสี
ในฐานะสายลับ เบลลัคต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันมหาศาล เขาจำต้องฉวยโอกาสนี้ระบายความอัดอั้นกับศัตรู มิเช่นนั้นเขาอาจจะเป็นบ้าไปเสียก่อน แต่แม้ว่าเขาจะนึกเยาะหยัน เขาก็ไม่ได้ลดความระแวงลง หลังจากร่ายเวทอีกหลายบท เบลลัคก็พันธนาการลูเซียนไว้โดยสมบูรณ์แบบ
หลังจากนั้น เบลลัคจึงผ่อนคลายท่าทีลงในที่สุด อย่างไรเสีย ลูเซียนก็เป็นลูกศิษย์ผู้หนึ่งของเจ้าแห่งพายุ และใครเลยจะรู้ว่าเขาอาจมีอุปกรณ์เวทมนตร์หรือมวลคาถาแปลกๆ ไว้ในครอบครอง
ขณะจ้องมองลูเซียนที่ตอนนี้กลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว ใบหน้าคมเข้มของเบลลัคก็ปรากฏรอยยิ้มเยาะ “คำสั่งคือสังหารมารปฐมภูมิ ที่อยู่ในลำดับห้าสิบสาม บนรายชื่อชำระล้าง แต่ข้าเพิ่งจะจับมันได้ทั้งเป็น! เมื่อใดที่ทางศาสนจักรเผามันจนกลายเป็นเถ้าถ่านกลางเมืองแลนซ์ ข้าคงจะได้รับรางวัลมากมายและทุกคนก็จะสรรเสริญข้า!”
เขารู้ว่าตนจะต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีหลบซ่อนตัวอยู่ในนครศักดิ์สิทธิ์แลนซ์ เพราะสังฆมณฑลโฮล์มย่อมไม่มีทางปกป้องคุ้มครองเขาได้แน่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโทสะของเฟอร์นันโด
ในอาณาจักรโฮล์ม ผู้พิทักษ์ราตรีทุกคนต้องหลบซ่อนตัวให้ดี เมื่อใดที่ถูกเปิดเผยตัว นั่นจะเป็นจุดจบของพวกเขาทันที
เบลลัคเหลียวมองไปรอบกายเพื่อดูว่าขณะนี้ตนอยู่ที่ใด
แม้ว่ามวลคาถาที่มีเวทมนตร์ ‘พื้นที่กระแสทวน’ เพิ่งจะส่งพวกเขาอย่างสุ่มๆ มายังสถานที่แห่งนี้ แต่ดูจากระยะเวลาที่พวกเขาใช้เดินทางมาเมื่อครู่ เบลลัคก็พอจะเดาออกว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากเรนทาโตนัก แต่หากจะให้เจาะจงกว่านั้น พวกเขาคงจะอยู่ข้างทะเลสาบชิรักที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของนครเรนทาโตเป็นแน่
เบลลัคร่ายคาถาเปลี่ยนรูปปั้นหินลูเซียนให้หดเล็กลงเพื่อที่เขาจะถือไว้ในมือได้ รูปปั้นจิ๋วดูเหมือนจริงบมากแม้ว่าจะเป็นสีเทาก็ตาม
“เจ้าคือความเสื่อมเสีย และคำพิพากษาของเจ้าคือการถูกเผาด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ ช่างน่าเสียดาย… มิเช่นนั้นข้าอาจจะขอพระสันตะปาปาเปลี่ยนเจ้าให้เป็นรูปปั้นโดยถาวรและเก็บเจ้าไว้ในห้องเก็บสะสมของข้า ตอนนี้เจ้าคือนักเวทที่มีลำดับในรายชื่อสูงที่สุดจากคนทั้งหมดที่ข้าเคยล่า แต่น่าประหลาดใจเสียจริงที่เจ้ายังเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดอีกด้วย!” เมื่อได้ถือรูปปั้นไว้ในมือ เบลลัคก็คล้ายกับจะเสียอาการไปเล็กน้อย “เจ้าเข้าใจหรือยังเล่า หากไร้ซึ่งอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ทรงพลังมากพอ ไม่ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จใหญ่หลวงเพียงใดในอาร์คานาศาสตร์ มันก็เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ถูกจับหรือสังหารโดยนักเวทระดับสูงอย่างง่ายดาย!”
ข้อเท็จจริงที่ว่าระดับอาร์คานาของเขาต่ำเตี้ยนั้นเป็นบาดแผลในใจมาตลอด เบลลัคไม่เก่งทางด้านอาร์คานาศาสตร์และเขาก็มักถูกเพื่อนร่วมสำนักล้อเลียน และยังรวมถึงเหล่าอาจารย์กับเพื่อนร่วมงานของเขาด้วยเช่นกัน ไม่ว่าระดับเวทมนตร์ของเขาจะเพิ่มขึ้นเพียงใด ผู้คนรอบกายเขาก็ยังมองไม่เห็นมัน และหญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขาก็ยังกระโจนเข้าหาอ้อมกอดของชายผู้ที่เขาเกลียดที่สุด ชายผู้มีระดับอาร์คานาสูงกว่าเขาสองขั้น แต่ในตอนนั้น ระดับเวทมนตร์ของเบลลัคยังสูงกว่าอีกฝ่ายเพียงขั้นเดียว
“เจ้ารู้อะไรไหม ภายหลังขณะออกผจญภัยอยู่นั้น ข้าได้จับตัวมันไว้… ข้าสังหารมัน แต่แบบช้าๆ ข้าทรมานมัน… มันผู้นั้นอ้อนวอนขอร้องข้าอย่างสิ้นท่า แต่ข้ามีความสุขอย่างยิ่ง มันมักจะอยู่บนนั้น คอยมองลงมาที่ข้า แต่ในที่สุด มันก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้า และมันยังคิดอยากจะส่งเมียมันเป็นของขวัญให้ข้าอีกด้วย ระดับอาร์คานาอันสูงส่งไม่มีทางช่วยเจ้าได้ เจ้ารู้หรือไม่”
หากลูเซียนจะสามารถครุ่นคิด เขาคงล้อเลียนเบลลัคไปแล้วที่เขาอ่อนไหวมากเกินไปจนทำให้ชีวิตของเขากลายเป็นล้มเหลว ในสภาเวทมนตร์ มิมีผู้ใดกล้าล้อเลียนนักเวทที่มีระดับเวทมนตร์สูงกว่าระดับอาร์คานาแบบต่อหน้า
เบลลัคสงบจิตใจลงหลังจากระบายโทสะออกไป เขาเตรียมจะเดินทางไปยังคริสตจักรแห่งอาภา เพราะเขาไม่มีเวลาแล้ว เมื่อใดที่สมาชิกระดับสูงของเจตจำนงแห่งธาตุมาถึง นั่นคงเป็นจุดจบของเขา
เบลลัครู้ดีว่าเขาควรจะจดจ่ออยู่กับอะไรในตอนนี้แม้ว่าในใจเขาจะมีพายุอารมณ์คุกรุ่นอยู่ก็ตาม
“สารภาพเสียเถิด ท่านลูเซียน อีวานส์ มารปฐมภูมิ! สารภาพบาปก่อนที่จะต้องลงนรก! เจ้าควรจะเสียดายที่ไม่คิดพัฒนาระดับเวทมนตร์ของเจ้า!” เบลลัคส่ายศีรษะขณะเหลือบมองไปที่รูปปั้นจิ๋วในมือ
ทว่า ในชั่วพริบตานั้น เบลลัคเห็นว่ารูปปั้นกำลังแย้มยิ้มชวนขนหัวลุก!
มีบางอย่างผิดปกติ!
โดยสัญชาตญาณ เบลลัคพลันพยายามจะโยนรูปปั้นจิ๋วทิ้งไป เขาไม่สนว่ารูปปั้นจะแตกหักหรือไม่
แต่ว่ามันสายเกินไป เพราะลมหายใจได้พวยพุ่งออกมาจากปากของรูปปั้นแล้ว ลมหายใจนั้นดูสลัวลางมืดมัวเหมือนกับจิตใจอันดำมืดและโลเลของมนุษย์ เบลลัคอยู่ใกล้กับรูปปั้นเกินไป เขาจึงได้รับผลกระทบจากลมหายใจอย่างจัง
ทันใดนั้น สมองของเบลลัคก็ถูกตรึงเอาไว้ ความคิดมากมายแล่นผ่านในหัว และนั่นทำให้เขาจดจ่อสมาธิไม่ได้!
ในตอนนั้น แสงแปลกประหลาดบางอย่างก็วูบผ่าน เบลลัคพลันหายตัวไป วินาทีถัดมา เขาก็ปรากฎตัวอีกครั้งกลางอากาศที่อีกฝั่งหนึ่ง หลุดพ้นจากฤทธิ์ของลมหายใจนั้นและพลังจิตของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นฟูคืนกลับมา
ขณะเดียวกันนั้น เกราะเวทมนตร์ระดับสูงก็เข้าปกคลุมทั่วร่างเขา
เวทมนตร์ระดับหก ‘ชนวนเวท’ ซึ่งเป็นบทเวทอันทรงพลังที่นักเวทระดับสูงใช้รับมือกับสถานการณ์คับขัน เช่น การลอบสังหารหรือลอบโจมตี!
ทันทีที่กลับมาเคลื่อนไหวได้ เบลลัคก็ตระหนักได้ว่านั่นคือลมหายใจอัมพาตของมังกรคริสตัล อัลเฟอร์ริส!
มังกรคริสตัลหาได้มีพลังเช่นนี้ทุกตัวไม่ ลมหายใจมังกรของอัลเฟอร์ริสได้รับการพัฒนาโดยเฟอร์นันโด
ชั้นหินเริ่มร่วงหล่นจากรูปปั้นที่กำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจมังกรนั้นน่าเกรงขามเสียจนปลาทุกตัวรีบดิ่งลงไปยังก้นทะเลสาบด้วยความหวาดกลัว
หลังจากที่ทำสัญญากับลูเซียน อัลเฟอร์ริสก็แนะว่า ไม่ว่าลูเซียนจะต้องไปที่ใด มันจะแปรงกายเป็นลูเซียนโดยใช้เวทมนตร์มายาเพื่อหาตัวการเบื้องหลังกรณีแจกันต้องคำสาป ส่วนลูเซียนตัวจริงนั้นจะติดตามอัลเฟอร์ริสไปเหมือนกับเงาสะท้อนในกระจกจากการใช้เวทมนตร์ล่องหน กระบวนการคิดและการเคลื่อนไหวของอัลเฟอร์ริสจะเหมือนกับลูเซียนตัวจริงทุกประการ
แต่เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ อัลเฟอร์ริสจำต้องสวมอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับสูงทั้งหมดของลูเซียน เพราะพวกมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจลอกเลียนแบบได้ นั่นทำให้ลูเซียนเป็นกังวลเล็กน้อย
เวทมนตร์มายาของอัลเฟอร์ริสนั้นหลอกนักเวทระดับเจ็ดหรือแปดได้ง่ายๆ หากว่าคนผู้นั้นไม่ใช้เวทมนตร์พิเศษในการตรวจสอบอย่างละเอียด จึงไม่ต้องพูดถึงเบลลัค ด้วยเหตุนี้ โดนัลด์ มอร์ริส กับราเวนติที่ทราบความจริงดี จึงไม่นึกเป็นกังวลเลยสักนิดที่จะปล่อย ‘ลูเซียน’ กลับไปกับเบลลัคตามลำพัง
ความจริงแล้ว เวทมนตร์ทั้งหมดของเบลลัคใช้การไม่ได้ผลเลย ยกเว้น ‘รัศมีปิดกั้นมนตรา’ เพราะอัลเฟอร์ริสมีภูมิต้านทานเวทมนตร์หลายๆ บท ทว่า อัลเฟอร์ริสสามารถหลอกเบลลัคได้โดยการใช้ภาพมายา และเฝ้ารอโอกาสในการตอบโต้มาตลอด
เนื่องจาก ‘รัศมีปิดกั้นมนตรา’ ไม่ส่งผลอันใดต่อลูเซียนตัวจริงที่ล่องหนอยู่ พลังมายาของอัลเฟอร์ริสจึงยังใช้การได้ หลังจากนั้นอัลเฟอร์ริสก็กำจัดฤทธิ์ของรัศมีไปได้เร็วกว่านักเวทระดับสูง
“เอาล่ะ เรียกข้าว่าลูเซียน อัลเฟอร์ริสสิ!” มังกรคริสตัลตัวเล็กกล่าวอย่างมีชัยเหนือกว่า กรงเล็บใหญ่ข้างหนึ่งของมันสวมแหวนมงกุฎแห่งโฮล์ม ‘เวทธาตุ’ ที่เปล่งประกายงดงามอยู่
แม้ว่าเบลลัคจะหัวเสีย แต่เขาก็ไม่ได้แตกตื่น เขารู้ดีว่าอัลเฟอร์ริสเพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นระดับเจ็ด จึงคงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะหลบหนีไปจากกรงเล็บของมันได้ ในขณะที่ยังมึนงงและสงสัยว่าลูเซียนอยู่ที่ใดกันแน่ เบลลัคก็เตรียมถอยไปด้วย
ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้เรียกใช้เวทมนตร์ที่ประทับไว้ในดวงจิตของเขา เบลลัคก็พลันสัมผัสได้ถึงภัยร้ายแรง!
บนอากาศเหนือตัวเขา ลูเซียน อีวานส์ ตัวจริงปรากฏกายขึ้นเพราะเวทมนตร์มายาของอัลเฟอร์ริสถูกยกเลิก ที่ลอยอยู่ในอากาศข้างกายเขานั้นมีหลอดแก้วที่บรรจุของเหลวไร้สีอยู่ และลูเซียนกำลังร่ายคาถาแปลกประหลาดยาวเหยียด
วินาทีถัดมา ลำแสงสลัวไร้สีสันก็พุ่งออกมาโดยมีเป้าหมายอยู่ที่เบลลัค ผู้เรียกใช้เวทป้องกันระดับหก ‘เสื้อคลุมแสงดารา’ ในทันใด
แสงจากดวงดาวเชื่อมเข้าหากันและกลายเป็นเสื้อคลุมปกคลุมเบลลัคเมื่อลำแสงเย็นยะเยียบกระแทกเข้าที่ช่วงอก
เบลลัคได้ยินเสียงน้ำแข็งแตกกระจายอยู่ในหัว แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าแม้แต่เสื้อคลุมแสงดารายังป้องกันลำแสงนั้นไม่ได้ เสื้อคลุมถูกแช่แข็ง และกระบวนการนี้ก็ลุกลามไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว
หยดน้ำรอบๆ นั้นถูกแช่แข็งจนกลายเป็นหยดน้ำแข็ง ไฮโดรเจนในอากาศแข็งตัว ออกซิเจนก็เช่นเดียวกัน อากาศจึงถูกแช่แข็งไปด้วย เกล็ดหิมะสีฟ้าอ่อนลอยละล่องอยู่ในอากาศ เปล่งประกายวิบวับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ และพวกมันเกิดมาจากของเหลวไร้สีสันนั้น
เบลลัคไม่อาจขยับกาย แหวนเวทมนตร์ของเขาถูกความเย็นเล่นงานจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ โลหิตในกายเขาเริ่มแข็งตัว และผิวหนังก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งชั้นบางโปร่งใส วินาทีสุดท้ายในชีวิต ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความหวาดกลัว เขาไม่คาดคิดว่าลูเซียนจะมีเวทมนตร์ที่น่าหวาดเกรงไว้ในครอบครองเช่นนี้!
มันคืออะไรกัน แต่ทว่า เบลลัคไม่มีทางรู้ได้แล้วในตอนนี้
ลูเซียนเลียนแบบท่าทางของเบลลัค เขาทาบมือขวาไว้บนอกแล้วค้อมกายลงเล็กน้อย
“ขอบคุณที่ส่งแจกันมาให้นะ เบลลัค”