Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 373
การจะสร้างความก้าวหน้า จอมเวทในปัจจุบันส่วนใหญ่มักผสมผสานทั้งสองวิธีการเข้าด้วยกัน พวกเขาจะออกไปสำรวจโลกและศึกษาอาร์คานาศาสตร์เพื่อพัฒนาปัญญาของพวกเขาและผลักดันให้โลกแห่งปัญญาเข้าใกล้การรวมตัวเป็นปึกแผ่นมั่นคงให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงหันมาใช้พิธีกรรมเวทมนตร์ และวาดหวังว่าพวกเขาจะเลื่อนขึ้นเป็นระดับสูงได้ภายในประมาณยี่สิบปี
สำหรับผู้ที่สามารถเลื่อนขึ้นเป็นระดับสูงได้ก่อนอายุสามสิบปีนั้น พวกเขาต่างมีโลกแห่งปัญญาที่มั่นคงแข็งแรงจากการออกไปสำรวจโลก
ทอมป์สันส่ายศีรษะเพื่อขับไล่ความรู้สึกอิจฉาริษยาที่มีต่อลูเซียนออกไป เขานึกสงสัยว่าความเข้าใจของคนคนหนึ่งที่มีต่อโลกจุลภาคนั้นสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แล้วโลกจุลภาคคือความจริงแท้ของโลกใบนี้หรือไม่ ทอมป์สันต้องใช้เวลาถึงยี่สิบหกปีเต็มๆ กว่าที่เขาจะเลื่อนขึ้นเป็นระดับหกได้ ซึ่งตอนนั้นเขาก็เกือบจะห้าสิบแล้ว
ทว่า ทัศนคติที่เขามีต่อการเร่งรัดเลื่อนขั้นของลูเซียนนั้นแตกต่างจากเฟอร์นันโด ทอมป์สันเห็นด้วยกับสิ่งที่ลูเซียนกำลังทำ อย่างไรเสีย ลูเซียนก็มักจะถูกรายล้อมด้วยภัยอันตราย ดังนั้น เมื่อมีโอกาส เขาก็ควรจะเลื่อนขั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มิเช่นนั้นเวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายแท้จริง มันก็คงจะสายเกินไปที่จะทำอะไรแล้ว
ในสายตาของทอมป์สัน การเลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับสูงนั้นยังเป็นเรื่องสำคัญมาก ตราบใดที่สิ่งที่ต้องแลกนั้นไม่ได้มากมายอะไร แม้ว่าลูเซียนจะไม่ใช่คนชอบสร้างปัญหาเสียเท่าไรก็ตาม เมื่อองค์ความรู้ทางด้านอาร์คานาของคนผู้นั้นยังไม่เปลี่ยนถ่ายเป็นพลังเวทมนตร์ นักเวทก็จะตกอยู่ในวงล้อมของภัยร้ายอยู่เสมอ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว จอมเวทอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ไม่กี่คนต่างเสียชีวิตลงก่อนที่พวกเขาจะพัฒนาพลังเวทมนตร์ของตนได้
อัลเฟอร์ริสไม่มีความเห็นใดต่อสิ่งที่ลูเซียนกำลังทำ มันเพียงเข้าใจอย่างคลุมเครือเกี่ยวกับเวลา ในตอนที่อัลเฟอร์ริสเลื่อนขั้นเป็นระดับสูง มันหาได้ใช้พิธีกรรมใดๆ มันพึ่งพาแต่เพียงความรู้ทางอาร์คานาและเวทมนตร์เพื่อพัฒนาพลังของดวงจิตและใช้พลังนั้นเพื่อกระตุ้นร่างกายมัน เหมือนกับที่มังกรผู้ใหญ่โตเต็มวัยจะทำกัน ดังนั้น ณ ตอนนี้ อัลเฟอร์ริสจึงมีความสุขกับการเล่นอุปกรณ์เวทมนตร์ทั้งหลายของลูเซียน มันสวมแหวน ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ไว้บนกรงเล็บเพื่ออวดโอ่
แม้ว่าเสื้อคลุม ‘บัลลังก์นิรันดร’ จะหาได้มีอัญมณีล้ำค่าประดับอยู่ แต่อัลเฟอร์ริสก็รู้ว่ามันยังมีมูลค่ามหาศาลและสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับคริสตัลและอัญมณีล้ำค่าทั้งหลายได้
เมื่อลูเซียนพร้อม เขาก็นำลูกแก้วคริสตัลสิบสองลูกออกมาจากกระเป๋ามิติ
พวกมันต่างทำมาจากคริสตัลคนละชนิด ทั้งหินสุริยันต์ หินคลื่น ยางต้นสกาเล็ต และวัตถุดิบอื่นๆ ตามลำดับ แต่ละลูกนั้นเปล่งแสงต่างสีสันกัน บางลูกเหมือนกับดวงดาว บางลูกเป็นประกายเหมือนกับดวงอาทิตย์ และบางลูกก็ดูพิศวงลี้ลับเหมือนห้วงมหาสมุทร ลูกแก้วคริสตัลทั้งสิบสองลูกเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มดาวและธาตุทั้งสิบสอง
ลูเซียนวางลูกแก้วคริสตัลทั้งสิบสองลูกไว้ตรงกลางวงแหวนเวทเล็กๆ ทั้งสิบสอง โดยวางไปทีละลูกตามลำดับ ลูกแก้วคริสตัลพลันเชื่อมต่อกับพลังจากวงแหวนเวทและระเบิดโพลงออกเป็นเส้นแสงสว่างจ้า พลังล่องหนของวงแหวนเวทยกพวกมันให้ลอยขึ้น
จากนั้นลูเซียนก็ก้าวเข้าไปในวงแหวนที่ใหญ่ที่สุดตรงกลาง และยืนอยู่บนสัญลักษณ์ซึ่งเป็นตัวแทนของธาตุดิน ลูเซียนหยิบเอาลูกแก้วคริสตัลสีทึมออกมาอีกหกลูกแล้ววางพวกมันไว้ตรงกลางสัญลักษณ์ดาวหกแฉกทั้งหก
หลังจากโยนกระเป๋าออกไปนอกวงแหวนเวท ลูเซียนก็เริ่มกระตุ้นพลังไปที่แก่นของวงแหวนเวท
แสงสว่างสีเงินลุกวาบขึ้นจากดาวหกแฉกทั้งหกและพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูราวกับแท่นบูชาหกแท่น ส่วนลูกแก้วคริสตัลหกลูกที่เป็นตัวแทนธาตุหกชนิดก็อยู่บนแท่นนั้น
สีแดงสด น้ำเงินเข้ม ดำ น้ำเงินออกเขียวอ่อน เขียวหยก และขาวบริสุทธิ์ แสงจากสีสันทั้งหกเปล่งประกายออกจากลูกแก้วคริสตัลจนดูเหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเล็กหกดวง
ลูเซียนเริ่มต้นร่ายคาถาด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนที่จะดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเสียงเพลงแห่งการสรรเสริญแด่ท้องนภายามค่ำคืนและแด่จักรวาล ขณะที่บทเวทถูกร่ายนั้น เส้นสายสีเงินของวงแหวนเวทก็เปล่งแสงขึ้นทีละส่วนๆ และยังมีเส้นสายแบบเดียวกันนี้ที่เชื่อมโยงบรรดาลูกแก้วคริสตัลเข้าด้วยกัน
ลูกแก้วคริสตัลเริ่มหมุนวนรอบตัวลูเซียนช้าๆ วงนอกมีลูกแก้วสิบสองลูกและหกลูกที่ด้านใน แม้ว่าพวกมันจะหมุนวนไปตามเส้นทางที่แตกต่าง แต่กลับไม่ไปขัดขวางการเคลื่อนไหวของกันและกันเลยสักนิด
แสงสว่างที่ปกคลุมวงแหวนเวททำให้พิธีกรรมนี้ดูราวกับภาพฝัน ลูกแก้วคริสตัลที่หมุนวนนั้นเป็นเหมือนดั่งดวงดาวแสนลี้ลับบนท้องฟ้า
ด้วยพลังของวงแหวนเวท ลูเซียนพลันเข้าสู่โลกแห่งปัญญากึ่งเสมือนจริง ท้องฟ้าที่มีดวงดาวมากมายยังอยู่บนนั้น ยึดโยงด้วยสายใยแห่งแรงโน้มถ่วงที่มองไม่เห็น ดวงดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวลูเซียนอยู่บนท้องฟ้า ที่ตรงกลางโลกแห่งปัญญา เชื่อมต่อกับเงาสะท้อนบนดวงจิตของลูเซียน ชี้ให้เห็นถึงโชคชะตาที่ไม่อาจทำนายได้
ดวงไฟคุกรุ่น สายลมอิสระ และสายน้ำอ่อนโยนประกอบอยู่ในรากฐานของโลกแห่งปัญญา แต่รูปแบบพลังงานหาใช่กระแสต่อเนื่อง กลับแบ่งเป็นส่วนๆ
จุดแสงเล็กๆ มากมายซึ่งเป็นตัวแทนธาตุทั้งหลายยิ่งฝังรากฐานลึกลงในโลกแห่งปัญญาของลูเซียน อิเล็กตรอนหมุนวนไปรอบๆ และบางครั้งก็จะปรากฎลำแสงเจิดจ้าออกมา
หยาดหยดจากของเหลวพลันนำพาน้ำแข็งและหิมะที่เปล่งประกายวิบวับมาสู่โลกใบนี้
ลูกแก้วคริสตัลพุ่งผ่านเขตแดนระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งความคิด ทำให้โลกแห่งปัญญาปั่นป่วน จากนั้นพวกมันก็กลับออกมายังโลกแห่งความจริงที่มีวงแหวนเวทอยู่ ดูราวกับดาวตก
ขณะอยู่ระหว่างความเป็นจริงกับภาพมายา ลูเซียนไม่แน่ใจนักว่าตนเองอยู่ที่ไหนในตอนนี้
ลูเซียนบังคับตัวเองให้มีสมาธิจดจ่อ ก่อนจะเริ่มควบคุมเงาสะท้อนของดวงดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวบนดวงจิตของเขาในทันที สายสัมพันธ์ดวงดาวที่ส่องสว่างพลันปรากฎขึ้นและเชื่อมต่อกับดวงดาวแห่งโชคชะตาที่อยู่บนฟ้า
สายสัมพันธ์พลันสั่นสะเทือน ดึงรั้งทั้งสองฝั่งฟาก!
เงาสะท้อนของดวงดาวก่อให้เกิดแรงสั่นกับพลังจิตของลูเซียน ตามติดจากนั้น ดวงจิตของลูเซียนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ดวงดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวขยับไหวไปพร้อมกับโลกแห่งปัญญา และพลังจากทั้งสองฝั่งก็พลันมีปฏิกิริยาต่อกัน!
ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโลกแห่งปัญญาของคนผู้นั้นมั่นคงแข็งแรงดีแล้ว ในอดีต ตอนที่ลูเซียนเข้าฌานสมาธิ เขาสามารถควบคุมได้เพียงดวงจิต ไม่ใช่โลกแห่งปัญญาทั้งใบ
ลูกแก้วคริสตัลลูกหนึ่งหมุนวนเข้าไปในโลกแห่งปัญญาตามที่คาดไว้และพุ่งเข้าชนกับสายสัมพันธ์ดวงดาวอย่างจัง แรงสั่นสะเทือนรุนแรงพลันบังเกิดและสายสัมพันธ์ดวงดาวก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นก็พุ่งเข้าหาดวงจิตของลูเซียน ดวงดาวแห่งโชคชะตาประจำตัว และกลุ่มแสงตัวแทนธาตุ
ลำแสงพลังจิตอันเจิดจ้าแผ่พุ่งออกมาจากดวงจิตของลูเซียนและกลายเป็นเส้นสายแรกที่ก่อเป็นโครงสร้างของบทเวทมนตร์ ‘ชนวนเวท’
เส้นสายลวดลายเข้ามารวมตัวกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแรงสั่นสะเทือนภายในโลกแห่งปัญญาของลูเซียนก็ยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม พลังที่ซ่อนเร้นกำลังจะระเบิดออกราวกับมีบางอย่างกำลังพยายามจะกระโจนออกจากโลกแห่งมายาเพื่อเข้าไปสู่โลกแห่งความจริง และเพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในดวงจิตของลูเซียน
ลูกแก้วคริสตัลพุ่งเข้ามากระทบกับโลกแห่งมายาเรื่อยๆ และโครงสร้างเวทมนตร์อันซับซ้อนก็ก่อตัวขึ้นช้าๆ ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับมหันตภัย อุณหภูมิภายในโลกแห่งปัญญาของลูเซียนเริ่มเดือด ดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวก็เริ่มพองขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกินพื้นที่ท้องฟ้ามืดมิดเกือบทั้งหมด
เพราะพลังจากลูกแก้วคริสตัล กลุ่มแสงตัวแทนธาตุเองก็ขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน ลูเซียนเป็นดั่งอิเล็กตรอนที่เงยหน้ามองกลุ่มนิวเคลียสขนาดใหญ่ยักษ์
ทว่า กลุ่มนิวเคลียสเหล่านั้นกลับซ่อนตัวจากสายลม เปลวเพลิง และสายน้ำ ธาตุทั้งสามถูกกีดกันไม่ให้เข้ามาใกล้ดวงดาวทั้งหลาย คล้ายกับมีกำแพงแห่งพลังล่องหนกั้นอยู่
โลกแห่งธาตุและโลกแห่งโหราศาสตร์แตกต่างกันมาก เหมือนกับโลกของจุลภาคและมหภาค
เมื่อลูกแก้วคริสตัลลูกสุดท้ายเข้ากระแทกสายสัมพันธ์ดวงดาว ขั้นตอนสุดท้ายของพิธีกรรมก็พลันถูกกระตุ้น
ท่ามกลางความเงียบงัน ดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวโชนแสงโชติช่วง ทำให้ทั้งโลกแห่งปัญญาสว่างไสว ท้องฟ้าอันมืดมิดแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว กลืนกินสภาพแวดล้อมแห่งสายลม เปลวเพลิง และสายน้ำ เช่นเดียวกับธาตุ อะตอม และอิเล็กตรอน
ขณะใช้พลัง จิตสำนึกของลูเซียนยังคงนิ่งสงบมั่นคง และเขาก็สามารถประกอบโครงสร้างเวทมนตร์ส่วนสุดท้ายได้สำเร็จ
เกิดเสียงระเบิดทึบๆ ดังตามมา แสงสว่างทั้งหมดพลันพุ่งเข้าหาดวงจิตของลูเซียนและผสมผสานไปกับแบบจำลองเวทมนตร์
ทว่า ในตอนนั้นเอง ลูเซียนพบว่าดวงจิตของตนไม่มั่นคงพอจะควบคุมพลังจากแรงระเบิดของดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวและการขยายขนาดของท้องฟ้ามืดมิดได้ โลกแห่งปัญญาของเขาอาจระเบิดได้ทุกเมื่อ!
เฟอร์นันโดก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา ระหว่างฝ่ามือเขาปรากฏสายฟ้าแปลบปลาบส่องแสงสว่างวูบวาบ และในดวงตาสีแดงก็ฉายชัดถึงพายุอันทรงพลัง!
หากว่าทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมของลูเซียน เขาก็จะทำลายพิธีกรรมทิ้งเสีย แม้ว่าลูเซียนอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการทำเช่นนั้น แต่ก็นับว่าดีกว่าปล่อยให้ร่างเขาระเบิดเป็นจุล!
มือขวาของทอมป์สันที่เขาตั้งใจยกขึ้นมาเพื่อปรับระดับแว่นตา ตอนนี้กลับค้างอยู่กลางอากาศ เขารู้ได้ว่าเกิดความผิดปกติบางอย่างกับขั้นตอนสุดท้าย
แม้แต่อัลเฟอร์ริสก็ยังลืมเลือนแหวนและเครื่องรางทั้งหลายไป แม้ว่ามันจะหาได้เข้าใจเสียทีเดียวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นเหนือวงแหวนเวทมนตร์ อัลเฟอร์ริสก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้
จิตสำนึกของลูเซียน ที่คล้ายกับเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ รีบร้อนคิดหาวิธีรับมือจากองค์ความรู้ทั้งหมดที่เขาเคยได้เรียนรู้มา ดวงจิตของเขาสามารถควบคุมดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ขณะนี้การขยายพื้นที่และดวงดาวที่พองตัวขึ้น ทำให้เหมือนมีกลุ่มแสงอันเจิดจ้ามารวมตัวกัน
ลูเซียนมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น!
เขาควบคุมดาวแห่งโชคชะตาส่วนหนึ่งนั้นและปล่อยให้ที่เหลือลุกไหม้เผาผลาญและเติบโตขึ้นด้วยอัตราความเร็วที่มากยิ่งกว่าเดิม!
นี่เขาเสียสติไปแล้วรึ?!
ดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวส่วนหนึ่งเริ่มโชนแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ทว่า หลังจากที่มาถึงขีดจำกัด จู่ๆ มันก็อ่อนแสงลง ลูเซียนมิได้หยุดมัน กลับคอยกระตุ้นให้มันระเบิดพลังออกมา ซึ่งทำให้มันมีรูปร่างแตกต่างจากอีกส่วนหนึ่งอย่างยิ่ง
การขยายตัวของดวงดาวมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว แต่แล้วจู่ๆ ส่วนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของลูเซียนก็พังทลายลง ลูเซียนพลันรู้สึกเจ็บแปลบภายในดวงจิต
ตูม!
ส่วนที่พังทลายลงของดวงดาวก่อเป็นพายุหมุนสีดำ มันกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง แม้แต่แสงสว่าง!
ลูเซียนสามารถใช้พลังหยุดยั้งดวงดาวส่วนที่เหลือมิให้ขยายตัวไปมากกว่านี้ ขณะนี้เงาสะท้อนของแบบจำลองเวทมนตร์ที่ก่อสร้างขึ้นอยู่ในโลกแห่งปัญญาของเขาในรูปแบบดวงดาวอันเจิดจรัส
แบบจำลองเวทมนตร์ที่เหลือต่างก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า รวมตัวกันเป็นดวงดาวเล็กๆ มากมาย ที่อยู่ล้อมรอบแบบจำลองของ ‘ชนวนเวท’ จักรวาลหนึ่งเอกภพได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว และมันก็กินพื้นที่เกือบทั้งโลกแห่งปัญญาของลูเซียน
ณ ใจกลางท้องนภาอันมืดมิด ดาวแห่งโชคชะตาประจำตัวนั้นส่องสว่างกว่าเดิมมาก ทว่า เมื่อมันหมุนรอบตัวเอง มิมีผู้ใดสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังมันได้ ด้านหลังนั้นคือความมืดมิดที่ไร้ขอบเขต ดูราวกับพายุหมุนที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ นั้น แม้แต่แสงสว่างใกล้ๆ กันนั้นก็ยังบิดเบี้ยวไป
พายุหมุนสีดำกับดวงดาวสุกสว่างนั้นเป็นดั่งฝาแฝด
เงาสะท้อนของพวกมันบนดวงจิตของลูเซียนก็เป็นเช่นนั้น ลูเซียนไม่อาจรู้ได้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็กลายเป็นนักเวทระดับสูงแล้ว!
เมื่อลูเซียนลืมตาขึ้น ลูกแก้วคริสตัลทั้งสิบแปดลูกก็ร่วงลงไปบนพื้นพร้อมๆ กันแล้วแตกกระจายกลายเป็นกลุ่มพลังงานอันสลัวราง
…
ในตอนที่พายุหมุนสีดำปรากฎขึ้น สายฟ้าพลันแล่นผ่านดวงตาสีแดงไป
“‘ไร้ร่องรอยชะตา’ เช่นนั้นรึ”