Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 393
บทที่ 393 แขกร่วมงาน
พฤศจิกายนเป็นเดือนแห่งสายลมหนาว นครแอนทิฟเฟอร์ซึ่งเป็นเมืองทางตอนเหนืออาจกลายเป็นโลกแห่งน้ำแข็งและหิมะได้ตลอดเวลาภายใต้สายลมเย็นยะเยือก
แม่น้ำกระจ่างใสสีฟ้าอ่อนที่ชื่อว่า ‘โดนาติ’ ไหลผ่านกลางเมือง และคฤหาสน์บ้านสวนของเคานต์เมคเคล็นก็ตั้งอยู่บนบริเวณที่ราบสูงใกล้กับแม่น้ำโดนาติ ภายหลังของคฤหาสน์ มีหุบเหวลึกที่เรียกว่า ‘แซกโซนี’ ซึ่งมีประติมากรรมนูนสลักอยู่บนหน้าผาจำนวนนับไม่ถ้วน
คฤหาสน์แห่งนี้สร้างด้วยโครงสร้างเสาหินโบราณ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะอาคารตามแบบอนุรักษนิยมของจักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อลูเซียนเดินผ่านสวนที่มีดอกไม้สีม่วงอ่อนที่ชื่อว่า ‘คริสตัลเอลฟ์’ บานสะพรั่ง และย่างก้าวเข้าสู่ตัวอาคาร เขาก็พบว่าการออกแบบคฤหาสน์แห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแรงปรารถนาของอาณาจักรซีราคิวส์ด้วยการประดับประดาอันหรูหรา เส้นโค้งงดงามบนผนังกำแพง และแผนผังอันเป็นเอกลักษณ์ของคฤหาสน์
ผนังล้อมรอบและเพดานด้านบนมีลาดลวดหญิงสาวกึ่งเปลือยอันงดงามประดับประดาไว้มากมาย กอปรกับประติมากรรมบุรุษเพศที่สร้างขึ้นมาอย่างประณีตบรรจงที่วางไว้บริเวณพื้นที่ว่าง สร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความห้าวหาญและเสรีภาพ
ลูเซียนมีความรู้ความเข้าใจในศิลปะและจิตวิทยาอยู่บ้าง ขณะเขากำลังชื่นชมการออกแบบอันวิจิตรของคฤหาสน์แห่งนี้ เขาก็พยายามสงสัยว่าพวกขุนนางหนุ่มสาวในจักรวรรดิแห่งนี้จะคิดเห็นกับความงดงามนี้อย่างไร ดูเหมือนพวกขุนนางคนรุ่นใหม่ในจักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์ถูกสั่งสอนมาด้วยธรรมเนียมและกฎระเบียบแนวอนุรักษนิยมสุดโต่ง และได้รับอิทธิพลจากรูปแบบชีวิตอันหรูหราจากอาณาจักรซีราคิวส์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก
แน่นอน นี่เป็นข่าวดีสำหรับสภาเวทมนตร์และอาณาจักรโฮล์ม
ขณะที่สถานที่อื่นๆ เช่น นครอัลลินแห่งอาณาจักรโฮล์ม และราชรัฐคาเลส์ต่างพัฒนาอย่างก้าวกระโดดด้วยพลังงานอันยิ่งใหญ่ และการสร้างความนิยมของผลิตภัณฑ์แร่แปรธาตุก็กำลังก่อความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากมายต่อโครงสร้างทางสังคมและวิธีคิดของผู้คน ส่วนคนรุ่นใหม่ในจักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์และอาณาจักรซีราคิวส์ยังคงมัวเมาอยู่กับความร่ำรวยและชีวิตที่หรูหรา
เมื่อคนรุ่นใหม่ล่มสลาย ชาติก็ล่มสลาย ผู้ที่รู้จักคิดจะรอดตาย ส่วนผู้ที่มองไม่เห็นอันตรายจะวายชีวา
ด้วยรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้า ลูเซียนเดินตรงเข้าไปหาเจ้าภาพของงานเลี้ยงคืนนี้ เดนิซ เมคเคล็น
“โบลัค สหายรัก ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว!” เดนิซซึ่งเป็นชายหนุ่มงามสง่าที่มีผมยาวสีทองกล่าวทักทาย ลวดลายงดงามมากมายประดับบนชุดสูทสีแดงเข้มของเขา รวมถึงเข็มกลัดทับทิมที่ดูลึกลับและสร้อยเงินเนื้อดี
ในสายตาของลูเซียน เดนิซเป็นเหมือนกับศิลปินหลังยุคนวนิยม ซึ่งประกอบกับคำบรรยายจากโบลัคแล้ว เดนิซหลงใหลในภาพเขียนและภาพร่าง และเขาก็ยังออกแบบอัณมณีและเครื่องแต่งกายด้วยตัวเอง ขณะเดียวกัน เขายังมองว่าตัวเองเป็นสตรีผู้งดงามและสมบูรณ์แบบ และเดนิซก็ชื่นชอบในบุรุษเพศ
ลูเซียนรู้ว่าเขาไม่อาจประเมินเดนิซต่ำไป เขาเป็นหนึ่งในขุนนางรุ่นใหม่ในนครแอนทิฟเฟอร์คนแรกๆ ที่สามารถขึ้นเป็นอัศวินหลวง ในตอนนั้น เดนิซอายุประมาณยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น แต่เขาก็กลายเป็นอัศวินหลวงระดับห้าแล้ว และ ‘สายฟ้า’ พลังโลหิตของเขาก็ทรงพลังอย่างยิ่ง
หลังจากสวมกอดเดนิซอย่างอ่อนโยน ลูเซียนก็ยิ้มกว้างออกมา “ทำไมข้าจะไม่มาล่ะ?”
เดนิซปิดปากหัวเราะคิกคัก “สัญชาตญาณข้าบอก บุรุษเพศมักหยาบคายและเปราะบาง ข้าเกรงว่าเจ้ากับอาร์เธนอาจไม่สนุกกับงานคืนนี้นัก และข้ารู้ว่าอาร์เธนเฝ้ารอโอกาสนี้มานาน เขาจะได้ตัดเจ้าออกจากการแข่งขันปราสาทใต้ดิน เขาก็คงชนะการแข่งง่ายขึ้น พวกกระจอกที่เหลือคงทำได้เพียงคุกเข่าต่อหน้าเขา”
ลูเซียนรู้สึกไม่ค่อยสบายท้อง แต่เขาก็ยังรักษารอยยิ้มทรงเสน่ห์บนใบหน้า “พวกกระจอกก็แค่พวกกระจอก”
การตอบของลูเซียนทำให้เดนิซประหลาดใจ เขาจ้องมองลูเซียนด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อน “เกิดอะไรกับเจ้า โบลัค? เจ้าไม่เหมือนเดิม ข้ารู้สึกถึงความเชื่อมั่น”
ด้วยการแสร้งทำตัวเป็นปริศนา ลูเซียนก็เพียงยิ้มออกมาแต่ไม่พูดอะไรสักคำ
เดนิซหัวเราะอีกครั้ง “ชักน่าสนใจขึ้นแล้วสิ ข้าควรลงไปเล่นกับพวกเขาข้างล่างนั่นด้วยไหมนะ ทำให้ข้าพอใจสิ โบลัค ข้าอาจเต็มใจช่วยเจ้าจัดการอาร์เธนได้นะ”
ความจริงที่ว่าโบลัคอาจได้รับความช่วยเหลือที่สำคัญจากเดนิซเป็นเหตุผลสำคัญที่โบลัคตอบรับคำเชิญมางานสังสรรค์คืนนี้
ลูเซียนตั้งใจแสดงสีหน้าฮึกเหิมออกมาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังพูดอีกว่า “อาร์เธนเองก็อาจมีคนช่วยเหมือนกัน”
เดนิซหัวเราะ “อย่าเพิ่งตื่นเต้น ยังไม่มีการตัดสินใจ ผู้อาวุโสในตระกูลข้าต่างคาดหวังกับอาร์เธนไว้มาก”
เห็นได้ชัดเว่าเดนิซกำลังรอให้โบลัคถามอีกครั้งและใช้ทุกวิถีทางทำให้เขาพอใจ แต่ลูเซียนก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเขาจริงๆ เขาจึงตัดสินใจแหงนหน้ามองเพดาน
“นั่นโบลัค ญาติที่รักของข้าใช่ไหม?”
เสียงทุ่มต่ำและเสแสร้งดังมาจากประตู
ลูเซียนเชื่อว่าเขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนตอนที่เขาเดินสำรวจไปรอบๆ เมื่อหันกลับไป ลูเซียนก็เห็นชายผมทองร่างสูงเดินตรงมาหาพวกเขาโดยควงแขนมากับสาวสวยคนหนึ่ง
ชายหนุ่มคนนั้นสวมเครื่องแบบทหารอย่างเป็นทางการที่วิจิตรงดงาม บนอกขวาของเขามีแถบผ้า ส่วนอีกฝั่งมีเหรียญตราประดับเป็นแถว ด้านข้างเขา สตรีสาวสวยสวมชุดราตรีสีฟ้าอันหรูหรา ผู้ชายแทบทุกคนในงานหันมามองนางตาเป็นมัน
ลูเซียนมองที่ชายหนุ่มผมทองและยิ้มออกมา “อาร์เธน เจ้าควรทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ ในฐานะสมาชิกตระกูลกอร์ส แขกคนอื่นอาจคิดว่าเราหยาบคายเพราะเจ้าตะโกนเสียงดัง”
“โบลัค เจ้า…” สายตาของอาร์เธนเปลี่ยนไป เรื่องที่ดูด้าบอกกับเขาเป็นเรื่องจริง มีบางอย่างเกิดขึ้นกับโบลัค และตอนนี้ เขาก็กำลังแสดงทัศนคติที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!
อาร์เธนไม่ได้แสดงความคิดออกมาทางสีหน้า แต่กลับกัน เขายังคงยิ้ม “ญาติของข้า ความสูงส่งมาจากสายเลือดของเรา ขุนนางที่ปลุกพลังโลหิตไม่สำเร็จก็ไม่มีสิทธิ เจ้ายังด้อยปัญญาเรื่องงานศิลป์ เจ้าไม่รู้จักทั้งการเขียนภาพ ดนตรี เปียโน หรือบทกวี บอกข้าหน่อยเถิด เจ้าต่างจากคนทั่วไปตรงไหน แต่คนอื่นๆ ทั่วไปอย่างน้อยก็เล่นดนตรีเป็นบ้าง!”
สมัยที่โบลัคเป็นทายาทที่มีแนวโน้มจะได้สืบทอดตำแหน่งมากที่สุด เขามัวง่วนอยู่กับการคบค้าสมาคมกับขุนนางและงานสังสรรค์ เขาแทบไม่มีเวลาศึกษาศิลปะ แต่เมื่อเขาสูญสียตำแหน่งตัวเต็ง เขาก็อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการฝึกทักษะอัศวิน แต่ก็คว้าน้ำเหลว ขุนนางหลายๆ คนเรียกโบลัคลับหลังว่าคนห่วยแตก
ลูเซียนไม่ได้อยากชนะการต่อปากต่อคำ เขาเพียงยักคิ้วและตอบออกมาสั้นๆ “ใครหัวเราะทีหลัง ย่อมเสียงดังกว่า”
“โถ จริงหรือ? ข้าได้ข่าวว่าช่วงนี้เจ้าไปตลาดมืดบ่อยๆ โถญาติข้า ข้าว่าเจ้าคงเจอของดีมาสินะ แต่ขอเตือนให้เจ้าคิดดีๆ ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหนกับความช่วยเหลือภายนอกพวกนี้” อาร์เธนบอกให้รู้ว่าเขาจับตาดูโบลัคตลอดเวลา
ขณะที่เขาพูด อาร์เธนกำมือหญิงสาวที่อยู่ในมือเขาแน่น “และผู้หญิงฉลาดๆ อย่างโจเซลีนย่อมเลือกคนอย่างข้า”
โจเซลีนก้มหน้าที่แดงระเรื่อของนางลง อย่างไรก็ตาม สำหรับลูเซียนแล้ว ผู้หญิงที่ฉลาดจริงๆ ควรอยู่ได้ด้วยตัวเองและพลังของตัวเอง
เมื่อลูเซียนกำลังพิจารณาว่าบุคลิกของโบลัคด้วยตอบกลับไปอย่างไร ทั้งห้องโถงก็พลันเงียบเสียงลง หญิงสาวผมทองในชุดราตรีสีขาวอันงดงามก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู ด้วยเครื่องแต่งกายที่ประดับลูกไม้สีหวาน หญิงสาวดูงดงามราวกับเอลฟ์ รูปร่างของนางไม่สูงมาก แต่มีพลังซ่อนอยู่ในความสง่างามนั้น ด้านหลังนาง มีหญิงชราคนหนึ่งอยู่ในชุดสีดำ
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ เจ้าหญิงโซเฟีย” เดนิซเดินไปจุมพิตมือของนางด้วยความเคารพ
ไม่ว่าจะไปที่ไหน ลูเซียนก็ไม่พ้นต้องเจอกับเจ้าหญิงสักคน
โซเฟียยิ้ม “เดนิซ ข้าจะรับคำต้อนรับของท่าน ถ้าเล่นบรรเลงให้ข้าฟังสักเพลง”
เดนิซหัวเราะคิกคักโดยมีนิ้วก้อยกระดกออกมา “ฝ่าบาท หม่อมฉันเล่นไม่เก่งเพคะ มีแขกมากมายในงาน เราน่าจะมีสุภาพบุรุษสักคนบรรเลงให้เราฟัง”
ลูเซียนก็ยังรู้สึกปั่นป่วนในท้อง เมื่อเขามองขึ้นไป เขาก็เห็นหญิงชราคนนั้นจ้องมองเขาอยู่
หญิงชราหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนนางจะสัมผัสได้ถึงพลังอัศวินของลูเซียน
“กระหม่อมขอบรรเลงเองพะยะค่ะ ฝ่าบาท” ทันใดนั้น อาร์เธนก็ยืนขึ้น
สีหน้าของโจเซลีนดูไม่เป็นสุข
ทุกคนรู้ดีว่าเจ้าหญิงโซเฟียโปรดปรานเปียโนอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนางไม่ได้เป็นอัศวินและนางไม่มีพรสวรรค์ด้านดนตรี นางจึงไม่เล่นเปียโนได้ไม่ดีนัก ในตอนนี้ นางเป็นทายาทลำดับที่สองของจักรวรรดิและเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับห้า เจ้าหญิงโซเฟียจึงมีคนตามเกี้ยวพาราสีมากมาย
การเสนอตัวของอาร์เธนทำให้เดนิซประหลาดใจ และจริงๆ แล้วเขาเพียงพูดเล่น ในทางกลับกัน โซเฟียก็ยิ้ม ดวงตาสีเขียวของนางก็มองอาร์เธน “ข้าอยากฟังเสียแล้วสิ”
เมื่อรู้สึกว่าถูกปลุกเร้า อาร์เธนก็มองไปยังเปียโนที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงและเริ่มบรรลง
เมื่อได้ยินเสียงเพลง ลูเซียนถึงกับต้องนวดขมับ เพลงที่อาร์เธนบรรเลงก็คือเพลง ‘แด่ซิลเวีย’
ไม่นาน อาร์เธนก็บรรเลงจบเพลง ขุนนางทุกคนเริ่มปรบมือ แม้ว่าอาร์เธนจะไม่ได้ช่ำชองการดนตรี แต่ในฐานะอัศวินหลวง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะบรรเลงบทเพลง หลังผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างดี
เมื่อเห็นรอยยิ้มงดงามบนใบหน้าของเจ้าหญิง อาร์เธนก็ยืนขึ้นพร้อมกับท่าทีองอาจของผู้ชนะ เขายังชำเลืองมองโบลัคราวกับจะบอกว่าเป็นอีกครั้งที่โบลัคเป็นได้แค่เพียงคนห่วยแตก
ลูเซียนใช้เวลาคิดอยู่ไม่กี่วินาทีว่าโบลัคจะตอบโต้อย่างไร แล้วเขาก็ยืนขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมขอแต่งเพลงสดให้พระองค์ได้หรือไม่พะยะค่ะ?”
“อะไรนะ?” ทั้งเดนิซและอาร์เธนต่างแปลกใจมาก
สีหน้าประหลาดใจคงอยู่บนหน้าของโซเฟียเพียงวินาทีเดียว แล้วนางก็ยิ้มตอบอย่างสง่างาม “ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนจริงๆ โบลัค ข้าไม่คิดว่าท่านจะขันอาสา แต่ถ้าท่านสามารถบรรเลงเปียโนเพราะๆ ให้ข้าได้คืนนี้ ข้าคงมีความหวังด้านดนตรีขึ้นมาอีกครั้ง ไหนท่านลองช่วยทำให้ข้ามั่นใจหน่อยได้ไหม?”
เสียงของนางนุ่มนวลและอ่อนโยน กลิ่นกายจากตัวของนางช่างมีเสน่ห์
“พะยะค่ะ” ลูเซียนมอบความรักให้หญิงอื่นไปแล้ว เขาจึงไม่ต้องมนต์เสน่ห์ของเจ้าหญิงผู้เลอโฉมผู้นี้มากนัก
ลูเซียนนั่งลงตรงหน้าเปียโนและจรดมือลงบนคีย์บอร์ด แล้วเขาก็เริ่มกดคีย์แรกอย่างนุ่มนวล
เพลงที่บรรเลงสดเพลงนี้เพราะอย่างยิ่ง เดนิซอาปากค้างเพราะเขาไม่อยากเชื่อว่าคนห่วยแตกจากสามารถบรรเลงเพลงได้ไพเราะขนาดนี้ อาร์เธนเสียหน้าอย่างมาก ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าโบลัคคงได้อุปกรณ์เวทมนตร์ที่มีประโยชน์มาจากตลาดมืดจริงๆ
ไม่นานลูเซียนก็บรรเลงจบเพลง โซเฟียยิ้มและปรบมือ “ขอบใจมาก โบลัค ที่ช่วยให้ข้ามั่นใจขึ้น ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านมีพรสวรรค์ด้านดนตรีขนาดนี้”
หลังจากโค้งคำนับเล็กน้อย ลูเซียนก็เดินตรงไปที่เจ้าหญิง “สำหรับเรื่องนี้ กระหม่อมมีความลับจะบอกพระองค์ พะยะค่ะ”
“จริงหรือนี่? อะไรล่ะ” โซเฟียกระพริบตาด้วยความใคร่รู้
“แน่นอนพะยะค่ะ” ลูเซียนกล่าวด้วยมารยาทสุภาพบุรุษ “กระหม่อมจะบอกพระองค์คนเดียวเท่านั้นพะยะค่ะ”
ขุนนางทุกคนรู้สึกได้ว่าโบลัคพยายามใกล้ชิดเจ้าหญิง แต่พวกเขาก็ไม่อาจห้ามได้
ลูเซียนกระซิบที่ข้างหูของเจ้าหญิง “ถ้าพระองค์เล่นเฉพาะคีย์สีดำ ในสายตาคนอื่นแล้ว พระองค์จะดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญเลยพะยะค่ะ”
โซเฟียหัวเราะออกมา ตอนที่นางหัวเราะ นางดูงดงามราวกับดอกไม้เบ่งบาน ขุนนางทุกคนรวมถึงอาร์เธนต่างรู้สึกอิจฉา
ลิ่มนิ้วคีย์บอร์ดสีดำสามารถใช้สร้างบันไดเสียงแบบเพนทาโทนิก และแม้กระทั่งการบรรเลงดนตรีสดก็สามารถสร้างท่วงทำนองที่แสนคลาสสิคได้