Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 440
บทที่ 440 การตรวจสอบและถูกตรวจสอบ
“มันแค่เรื่องการใช้สมมติฐานควอนตัมพลังงานอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก” ลูเซียนพูดอย่างจริงใจด้วยรอยยิ้มที่ค้างอยู่บนใบหน้า
มุมปากของเฟอร์นันโดแสยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เจ้าเรียกนี้ว่า ‘เพื่อความรู้แจ้ง’… ข้าไม่คิดว่าจะมีจอมเวทคนไหนอยากรู้จังแบบนี้”
เฟอร์นันโดและลูเซียนไม่กล่าวถึงคำอธิบายที่เป็นไปได้อื่นๆ ทั้งหมด และคำตอบที่มีความเป็นไปได้เดียวที่เหลืออยู่ก็คือสมมติฐานควอนตัมพลังงาน ฉะนั้น หลังจากไม่เต็มใจและขัดขืนในช่วงต้น เฟอร์นันโดก็เป็นคนที่ยอมรับสมมติฐานนี้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม เฟอร์นันโดก็เพียงใช้สมมติฐานนี้ในการวิเคราะห์การแผ่รังสีของวัตถุดำ แต่ไม่เคยใช้กับสาขาอื่น
แล้วเฟอร์นันโดก็พูดพึมพำ “เจ้าอยากจะใช้สมมติฐานนี้สร้างระบบของเจ้าเองหรือ?”
หากบทความของลูเซียนเป็นคำอธิบายเพิ่มเติมถึงสมมติฐานควอนตัมพลังงาน ก็ไม่ถือเป็นการหักล้างทฤษฎี ตราบใดที่ลูเซียนยังไม่พิสูจน์สมมติฐานด้วยการทดลอง เฟอร์นันโดก็ยังไม่ต้องกังวลมากเกินไปว่าลูเซียนทำลายสภาเวทมนตร์ทั้งสภาลงด้วยด้วยทฤษฎีของเขา
เมื่อเขาเปิดไปหน้าอื่นๆ สีหน้าของเฟอร์นันโดก็ดูเคร่งเครียดจริงจังมากขึ้น “แม้กำลังศึกษาเรื่องการแผ่รังสีของวัตถุดํา ข้าเริ่มเอนเอียงที่จะใช้สมมติฐานควอนตัมอธิบายเรื่องการดูดซับและการปลดปล่อยพลังงาน แต่ข้ายังไม่คิดว่าจำเป็นต้องใช้สมมติฐานนี้อธิบายการมีอยู่และการส่งผ่านของแสงเพิ่มเติม สมการของบรูคก็เสนอคำอธิบายดีๆ ไว้อยู่แล้ว และสมมติฐานไม่ควรมีมากเกินไปโดยไม่จำเป็น”
แม้ว่าเฟอร์นันโดจะถือหางฝั่งทฤษฎีคลื่นของแสง แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้สนับสนุนที่หนักแน่น แต่จอมเวทที่เชี่ยวชาญสาขาแม่เหล็กไฟฟ้าต่างก็ต้องตกตะลึงและหลงรักในความงดงามของสมการของบรูค เฟอร์นันโดยังคงมีเสียงคัดค้านอยู่ในหัวใจ แม้ว่าสมมติฐานนี้จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็คทริกได้อย่างสมบูรณ์แบบและแม่นยำ
ลูเซียนไม่แปลกใจที่ความคิดนี้ของเขาไม่ได้รับการยอมรับ แม้กระทั่งจากมหาจอมเวทที่มีแนวคิดเปิดกว้างอย่างเฟอร์นันโด
เฟอร์นันโดวางบทความลงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่างไรก็ดี นี่เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดของปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกที่ข้าเคยอ่านมา ถ้าเจ้าใช้เวลาพัฒนาวงเวทมากขึ้นแล้วทำการทดลองด้วยความแม่นยำสูงสุดไว้เป็นหลักฐาน ผู้คนคงยอมรับสมมติฐานนี้ได้ง่ายขึ้น”
“ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถทำการทดลองแบบนั้นได้ขอรับ” ลูเซียนไม่ได้เอ่ยถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าหากเขารวมผลการทดลองเข้าไป โลกแห่งปัญญาของนักเวทบางคนคงแตกเป็นเสี่ยงๆ หรือได้รับบาดเจ็บ
หลังจากเขาอ่านบทความ เฟอร์นันโดรู้ว่าเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการทดลองครั้งนี้มีมากมายเหลือเกิน เขาจึงไม่คิดมากเมื่อได้ยินคำแก้ตัวของลูเซียน “ แม้ข้าจะไม่เห็นด้วยกับเจ้า แต่ด้วยกระบวนการทั้งหมด ข้าก็ต้องยอมรับว่าทัศนคติของเจ้าทำให้รู้แจ้งขึ้น เพราะมันอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกอย่างมีเหตุผลและรัดกุม คำอธิบายของเจ้าทำให้ข้าประทับใจมากจริงๆ แต่ตรงส่วนสุดท้าย เพิ่งจะพูดถึงคุณสมบัติที่เหมือนกับอนุภาคในเรื่องความฉับพลันของเวลา และคุณสมบัติที่เหมือนคลื่นของค่าเฉลี่ยเวลา… มันยังขาดน้ำหนักและพูดวนซ้ำเกินไป! นั่นทำให้คนรู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่ผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งในสมมติฐานของตัวเอง! เจ้าพยายามหาทางลงสวยๆ ให้สอดคล้องกับทฤษฎีคลื่น ด้วยวิธีแปลกๆ!”
“อันที่จริง นี่คือประเด็นที่แท้จริงของข้าขอรับ มิฉะนั้นเราก็คงไม่อาจอธิบายการเลี้ยวเบนของแสง หรือแม้แต่ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกได้” ลูเซียนพยายามพูดออกมาอย่างห้าวหาญ
เฟอร์นันโดจ้องเขาตาเขม็งและถามว่า “นี่เจ้าจะบอกว่านี่เป็นทั้งทฤษฎีคลื่นและอนุภาค แล้วให้ตายเถอะ แสงคืออะไร? เจ้าตั้งสมมติฐานว่าปฏิกิริยาควอนตัมแบ่งแสงออกเป็นส่วนๆ กลายเป็นสูตรผสมผสาน แล้วทำไมเจ้าไม่คิดให้ลึกลงไปหน่อย? แล้วทำไมควอนตัมของแสงถึงแสดงคุณสมบัติของคลื่นกันไปทั่ว? ทำไมควอนตัมถึงเป็นไปตามกฎของคลื่น?”
“เจ้าเคยเห็นการเข้าปะทะของอัศวินไหม? หากไม่มีคำสั่งและการฝึกที่เคร่งครัด การเข้าปะทะจะกลายเป็นหายนะ แทนที่จะอยู่ในรูปแบบของสามเหลี่ยม แล้วใครสั่งการควอนตัมของแสง ทำไมมันถึงเคลื่อนที่ในรูปแบบของคลื่น? พระเจ้าแห่งสัจธรรมอย่างนั้นหรือ?!”
“เจ้าเคยคิดเรื่องนี้บ้างไหม?!”
แม้จะคุยกับลูกศิษย์คนโปรด เฟอร์นันโดก็ยังเคร่งครัดและตรงไปตรงมาเหมือนเดิม ลูเซียนเกือบจะสัมผัสได้ถึงน้ำลายกระเด็นออกมาจากอาจารย์ของเขา
“…ไม่มีใครสั่งการขอรับ มันเป็นแค่คลื่นในตัวเอง และแน่นอน ย่อมแสดงคุณสมบัติของคลื่น อาจารย์ขอรับ ข้าไม่คิดว่าการอธิบายสาเหตุที่แสงมีคุณสมบัติของคลื่นจากมุมมองที่ว่าแสงเป็นอนุภาคจะมีประโยชน์อะไร แสงก็เป็นคลื่นในตัวมันเอง” ลูเซียนตอบอย่างจริงใจ
อย่างไรก็ตาม คำพูดของลูเซียนก็ยังไม่สมเหตุสมผลในมุมมองของเฟอร์นันโดแม้แต่น้อย สำหรับเขาแล้ว รูปแบบการมีอยู่ของแสงอาจเป็นอะไรที่อยู่เหนือจินตนาการของเขา แต่ก็ต้องสมเหตุสมผลกว่านี้!
ดังนั้น เขาจึงคำรามออกมา “แล้วปฏิกิริยาโฟโตอิเล็กทริกจะว่าอย่างไร?!”
“แสงก็ประกอบด้วยควอนตัมของแสง ในกรณีนี้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึงมันจากมุมมองของคลื่น” วิธีพูดของลูเซียนเริ่มเป็นปรัชญามากขึ้น
แต่ลูเซียนไม่ได้คิดจะคำรามกลับใส่เฟอร์นันโด ไม่มีทางแน่นอน เนื่องจากเขายังห่างไกลจากขั้นตอนการเปิดเผยคำตอบสุดท้าย เขาจึงกล่าวกับอาจารย์ของเขา “อาจารย์ขอรับ ทฤษฎีนี้ยังไม่สุกงอม… ข้ายังคิดไม่ตก ฉะนั้นเลยไม่ได้รวมอยู่ในบทความขอรับ”
เฟอร์นันโดพยักหน้าเบาๆ แม้เขาจะรักษาสีหน้าเรียบเฉย เขาก็ปล่อยให้ลูกศิษย์ของเขาได้ใช้จินตนาการที่มีอยู่มากมาย แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานการให้เหตุผลที่หนักแน่น “เทียบกับทัศนคติที่แท้จริงของเจ้า ข้าคิดว่าบทความชิ้นนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ข้าไม่อยากให้การศึกษาอาร์คานากลายเป็นการโต้เถียงเชิงปรัชญาในท้ายที่สุด”
แล้วเฟอร์นันโดก็เคาะโต๊ะแล้วพูดว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการยื่นบทความโดยไม่มีงานวิจัยสนับสนุน? เตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีจากพวกจอมเวทให้ดีล่ะ”
“ไม่เป็นไรขอรับ เมื่อไม่มีข้อสรุป ไม่นานเขาก็ลืม” ลูเซียนไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อมองไปยังลูเซียน เฟอร์นันโดก็ส่ายศีรษะ “อย่าประเมินความดื้อด้านของจอมเวทต่ำไป บางคนไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ”
…
เมื่อกลับมาถึงห้องทำงานของเขาในคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา ลูเซียนก็เห็นบทความชิ้นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาคิดขึ้นมา ลูเซียนก็ต้องขมวดคิ้ว เนื่องจากมีคนรู้ว่าเขาช่วยเลฟสกีและเห็นความสำเร็จของเลฟสกีในตอนนี้ จอมเวทหลายคนก็เริ่มยื่นบทความ ‘หักล้าง’ ถึงลูเซียนโดยตรง หน้าต่างหวังว่าลูเซียนจะสนับสนุนพวกเขา เพื่อให้พวกเขาได้มีชื่อเสียงในชั่วค่ำคืน
อย่างไรก็ตาม บทความของพวกเขาไม่แม้แต่จะเคารพตรรกะพื้นฐาน และลูเซียนก็ไม่อยากจะแม้แต่มองการอ้างแหล่งข้อมูลผิดๆ ของพวกเขา เมื่อมีการอ้างว่าพวกเขาสามารถล้มล้างระบบของบรูคและระบบของดักลาสได้ บทความพวกนั้นก็ยิ่งดูไร้สาระเข้าไปใหญ่ ลูเซียนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ฉีกบทความพวกนี้ออกเป็นชิ้นๆ แล้วปาใส่หน้าพวกเขา และเรียกพวกเขาว่า ‘จอมเวทบ้านๆ!’
อย่างไรก็ตาม หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้สักหน่อย ลูเซียนก็ยังต้องการคงความเป็นกลาง เนื่องจากเขารู้ดีว่าการมีอคติและการเหมารวมในเชิงที่ไม่สร้างสรรค์เป็นอย่างไร เขาจึงเริ่มอ่านบทความนั้นอย่างพิถีพิถัน
แต่กลับปรากฏว่าแย่กว่าที่เคย ผู้เขียนบทความนี้ไม่แม้แต่จะเข้าใจระบบทฤษฎีที่เขาประสงค์อยากจะล้มล้าง ก่อนที่เขาจะอ้างว่าได้พบปัญหาในทฤษฎีนั้นๆ ลูเซียนเริ่มรู้สึกว่าผู้เขียนคนก่อนๆ ก็ยังมีความน่าชมเหลืออยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดส่วนที่เป็นปัญหาก็คือส่วนที่อธิบายเหตุผล
“ถ้าเป็นมุกตลก ก็พอใช้ได้…” ลูเซียนหยิบปากกาขนนกขึ้นมาและเริ่มให้คะแนน
ในฝ่ายบริหารจัดการนักเวท สีหน้าของอีริคก็ดูใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขานั่งนิ่งมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
ตรงหน้าเขา มีชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ผมสีดำ ตาสีฟ้า และหน้าตาดีนั่งอยู่คนหนึ่ง คำพูดมากมายพรั่งพรูออกจากปากของเขา “จากการศึกษามาหลายปีของข้า ข้าระบุได้ถึงความผิดพลาดร้ายแรงในระบบทฤษฎีของท่านประธานเรื่องสนามแรง ผลการค้นพบของข้าทรงพลังมากพอที่จะทำลายระบบที่ดูเหมือนหนักแน่นนี้ และช่วยจอมเวททั้งหลายในสภาเวทมนตร์จากความเข้าใจผิดซึ่งกินเวลาหลายร้อยปี”
อีริคไม่อยากจะพูดอะไรสักคำ ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาเป็นนักเวทผู้เชี่ยวชาญในสำนักแม่เหล็กไฟฟ้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความรู้เรื่องทฤษฎีสนามแรงเลยแม้แต่น้อย
“น่าเสียดาย สมาชิกส่วนใหญ่ของคณะกรรมการไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเขาเพียงแค่ต้องทำตามผู้ใหญ่สั่ง แต่ว่า ตอนนี้เรามีท่านอีวานส์ สมาชิกหนุ่มผู้กล้าหาญซึ่งกล้าท้าทายความผิดพลาด ข้ามั่นใจว่าเขาจะเข้าใจบทความของข้าและเผชิญหน้ากับความผิดพลาด ข้าจะกู้ชื่อเสียงกลับมา” ชายผู้นี้พูดด้วยน้ำเสียงแห่งชัยชนะและความมั่นใจ
อีริคจับผมบางๆ ของเขาก่อนจะตอบ “พีวี่… ยังมีคนอื่นรออยู่อีก… อีกสามวันเจ้าค่อยมาใหม่นะ”
พีวี่ยักไหล่ “ช่างน่าเสียดาย ข้ากำลังจะเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับระบบทฤษฎีของข้าให้ท่านฟังเชียว”
ทันใดนั้น กรงเหล็กเปล่งแสงสีขาวออกมา แล้วเอกสารก็ปรากฏอยู่ภายใน
“นี่… ข้าคิดว่าของเจ้า พีวี่” อีริคเรียกพีวี่ซึ่งเดินไปถึงหน้าประตูแล้ว
พีวี่ประหลาดใจมาก “บทความของข้าได้รับการตอบรับเร็วถึงเพียงนี้เชียว?!”
เขาติดเหรียญตรานักเวทระดับสี่และจอมเวทระดับหนึ่ง
อีริครีบอ่านข้อความในกระดาษ แล้วกล้ามเนื้อบนหน้าของเขาก็กระตุกเล็กน้อย แล้วจึงส่งบทความกลับให้พีวี่ “เจ้าอาจจะอยากจะดูด้วยตัวเอง”
พีวี่เปิดบทความดู และพบเพียงรอยขีดฆ่าด้วยหมึกสีแดง หลังจากแต่ละ รอยขีดฆ่า ก็มีความเห็นและการอ้างแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง และตรงขอบกระดาษของแต่ละหน้า ก็มีความเห็นแปลกๆ อย่าง เช่น “ลบสองคะแนน”
เมื่อเห็นรอยหมึกสีแดงขีดฆ่า เส้นเลือดบนหน้าผากของพีวี่ก็โป่งพอง เขาก็เห็นเพียงรอยขีดฆ่าสีแดงเต็มไปหมด
เขารีบเปิดไปยังหน้าสุดท้าย แล้วก็เห็นความเห็นของลูเซียน “เริ่มจากคะแนนเต็มร้อยคะแนน หลังจากหักคะแนนข้อผิดพลาดทั้งหมด ก็เหลือเพียงหนึ่งคะแนน และให้สิบคะแนน สำหรับลายมือที่เขียนได้เรียบร้อยดี รวมทั้งสิ้นสิบเอ็ดคะแนน มาตรฐานสำหรับการเผยแพร่คือ หกสิบคะแนน ดังนั้น บทความชิ้นนี้ไม่ผ่านการอนุมัติ”
ลูเซียนมีอำนาจยับยั้งในการตัดสินใจว่าบทความหักล้างทฤษฎีชิ้นไหนควรผ่านหรือไม่ นอกจากนี้ บทความชิ้นนี้เคยถูกปฏิเสธจากสมาชิกท่านอื่นมาก่อนด้วยเช่นกัน ดังนั้น ชีวินรสายนเวทจึงประกาศผลตัดสินออกมาในทันที ‘ไม่ผ่าน’
หน้าของพีวี่ร้อนเป็นไฟเมื่อเขาเห็นความเห็นมากมายของลูเซียน
ในความคิดของเขา เนื่องจากความเห็นทั้งหมดของลูเซียนขัดแย้งกับแหล่งที่มาของข้อมูลและเหตุผลของเขา ลูเซียนต้องเป็นฝ่ายที่คิดผิด!
“อีวานส์ก็ไม่ต่างกัน! เขาก็แค่หุ่นเชิดอีกตัวของผู้มีอำนาจ! เขาไม่อยากเห็นอัจฉริยะอย่างข้าเติบโต ไม่อยากเห็นข้าล้มล้างระบบของท่านประธาน ไม่อยากเห็นข้าได้รับรางวัลมากกว่าเขา” พีวี่หันกลับไปอย่างเกรี้ยวกราดและเดินออกจากสำนักงานไป มีความเกลียดชังอยู่ในน้ำเสียงของเขา
อีริคถอนหายใจยาว ในความคิดของเขาแล้ว สภาเวทมนตร์ควรจับคนพวกนี้มาอยู่ด้วยกัน และปล่อยให้พวกเขาได้สนุกสนานและโต้เถียงกันภายในกลุ่มเล็กๆ
…
เนื่องจากบทความชิ้นนี้เป็นของลูเซียน อีวานส์ โกเลมแม่เหล็กไฟฟ้าจึงแจ้งกับลอเร็นโดยตรง แทนที่จะส่งบทความผ่านทางลูกศิษย์และบรรณาธิการของวารสารแสง-ความมืด
อีกวันต่อมา ผู้วิเศษลอเร็นก็กลับมาถึงนครอัลลินและเริ่มอ่านบทความ
“โง่และดื้อด้าน! ทำไมเขาต้องเอาสมมติฐานของตัวเองมาเกี่ยวกับควอนตัมพลังงาน? ประหลาดคน…” ลอเร็นวางบทความลง และมีท่าทีค่อนข้างหงุดหงิด “เขากล้าดีอย่างไรถึงบังอาจมาแบ่งแยกแสง?! นี่มันก็ใกล้เคียงกับทฤษฎีอนุภาค!”
ลอเร็นเริ่มสงสัยในความสำเร็จที่ผ่านมาของลูเซียน และคิดว่าหรือเป็นเพียงเพราะเขาโชคดี บทความที่เขานำเสนอนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย และไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อย!
“ข้าจะทำการทดลองปฏิกิริยาโฟโตอิเล็กทริกที่ถูกต้องและปาผลการทดลองใส่หน้าเจ้า!” ลอเร็นโกรธจัด เนื่องจากทั้งสองทฤษฎีที่เขาเชื่อถูกโจมตีจากสมมติฐานที่ไร้สาระของลูเซียน
อย่างไรก็ตาม หลังจากเขาสงบสติอารมณ์ลง ลอเร็นก็ตระหนักได้ว่าในตอนนั้นเขาไม่สามารถทำการทดลองได้ เพราะมีเครื่องไม้เครื่องมือจำกัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่อาจแสดงความเห็นได้ เขาจึงนั่งลงบนโต๊ะและหยิบปากกาขนนกขึ้นมา