Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 450
บทที่ 450 การทดลองของทุกคน
“เป็นเวลาสามปีแล้วที่สงครามโต้วาทีระหว่างคลื่นและอนุภาคเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่การทดลองความเร็วแสงของท่านดักลาสก่อให้เกิดความสงสัยอย่างมากมายต่อการมีอยู่ของอีเธอร์ และเข้าสู่ช่วงสูงสุดของเหตุการณ์โดยข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงของท่านอีวานส์ และมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงเลย ดังนั้น นี่จึงถือเป็นสงครามแห่งประวัติศาสตร์ครั้งที่สามระหว่างคลื่นและอนุภาคอย่างเป็นทางการ
“เมื่อเราย้อนกลับไปมองการปะทะกันในสองรอบแรก ท่านบรูกและคณะเกือบจะเอาชนะทฤษฎีอนุภาคไปอย่างหมดจด แต่ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้สนับสนุนทฤษฎีอนุภาคต่างก็ยึดเหนี่ยวตัวเองไว้กับฟางเส้นสุดท้ายนี้ และคอยบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าการมีอยู่ของอีเธอร์ยังไม่มีการพิสูจน์ยืนยันแน่ชัด เพื่อป้องกันไม่ให้โลกแห่งปัญญาของพวกเขาพังทลายลง แต่ทว่า พักหลังนี้ทฤษฎีอนุภาคเริ่มกลับมายืนได้มั่นคงอีกครั้งด้วยการใช้การทดลองความเร็วแสงและข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสง ทั้งยังโจมตีระลอกใหม่ใส่ทฤษฎีคลื่นอีกด้วย การทดลองความเร็วแสงและข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงกลายเป็นภาระหนักหน่วงที่ถ่วงอยู่ในใจผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่น แต่จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่พบคำตอบที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาเลย”
ลาร์คอธิบายถึงประวัติศาสตร์สงครามระหว่างคลื่นกับอนุภาคสั้นๆ ซึ่งทำให้เบลครู้สึกถึงโลหิตที่สูบฉีดไปตามเส้นเลือด เขากำมือแน่น ในใจนึกอยากจะตะบันหน้าของนักเวทบางกลุ่มที่ยังคงดื้อรั้น ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็ได้ยินเสียงออกความเห็นอย่างหยาบคายจากนักเวทคนอื่นดังลอดมาจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ เห็นได้ชัดว่า ณ ที่แห่งนี้ มิมีผู้สนับสนุนทฤษฎีอนุภาคเลยสักคนเดียว
“หลังจากที่สถานการณ์คุกรุ่นมาสามปี สงครามอาจจะมาถึงช่วงสุดท้ายแล้วก็เป็นได้ท่านบรูกและท่านลอเร็นต่างพัฒนาวงแหวนเวทได้แล้วและตอนนี้ก็พร้อมจะทำการทดลองปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก[1] ที่เที่ยงตรงแม่นยำ หากว่าข้อมูลและภาพที่ได้มาสามารถพิสูจน์ว่าข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงนั้นไม่ถูกต้อง เช่นนั้นทฤษฎีอนุภาคก็จะถอยกลับไปอยู่สถานะเดิม และใช้เพียงการทดลองความเร็วแสงเพื่อรักษาลมหายใจสุดท้ายเอาไว้”
“การทดลองนี้จะกลายเป็นหนึ่งในการทดลองที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สภาเวทมนตร์ และผลการทดลองก็จะนำเราไปสู่ความจริงของโลกที่ลึกล้ำยิ่งขึ้นและบอกเราว่าเราควรก้าวต่อไปยังทิศทางใด วันนี้ เราจะแลกเปลี่ยนแง่คิดและทัศนคติในเรื่องนี้กับจอมเวทรับเชิญจากทางสภา…” ลาร์คเอ่ยด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความปรารถนา ก่อนจะหันไปพูดกับแขกรับเชิญ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกท่านมาที่นี่ ลาร์ค ผู้ดำเนินรายการ ‘หนึ่งสัปดาห์ในอัลลิน’”
“ดีใจจริงๆ ขอรับที่ได้พบท่านหญิงลาร์ค ท่านช่างงดงามดั่งเสียงของท่าน” เสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
จอมเวททุกคนที่เหลือฟังดูเขินอายเล็กน้อย และทักทายลาร์คด้วยน้ำเสียงทึ่มทื่อ
“ยินดีที่ได้พบท่านหญิงลาร์คค่ะ ข้าเป็นแฟนตัวยงของ ‘หนึ่งสัปดาห์ในอัลลิน’ และท่านก็งดงามกว่าที่ข้าคิดไว้มากเลย” เสียงของสตรีนางหนึ่งเอ่ยตอบแทนแขกรับเชิญคนที่เหลือ
ลาร์คตอบรับเสียงหวาน “ขอบคุณสำหรับแรงสนับสนุนนะค่ะ เอาล่ะ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ท่านคิดเห็นอย่างไรกับการทำการทดลองติดตามผลเรื่องควอนตัมของแสงที่ท่านบรูกกับท่านลอเร็นกำลังจะลงมือปฏิบัติคะ”
“ที่จริง เราเฝ้ารอเวลานี้มานานมากแล้ว… นับแต่ที่ท่านอีวานส์นำเสนอข้อสันนิษฐาน เราก็รอให้ใครสักคนก้าวออกมาพิสูจน์ว่าข้อสันนิษฐานนี้ไม่ถูกต้อง เพราะตัวเราเองยังทำไม่ได้จนกว่าจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นระดับสูง มันผ่านมาสามปีแล้ว และในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่เราจะปฏิเสธข้อสันนิษฐานไร้สาระนี้ได้อย่างชอบธรรม ข้าเชื่อว่าท่านบรูกกับท่านลอเร็นย่อมบอกผลลัพธ์ที่ถูกต้องแม่นยำและน่าเชื่อถือให้กับเราขอรับ” บุรุษผู้หนึ่งตอบเสียงดัง เขาดูเป็นคนช่างพูดไม่น้อย
“ข้าดีใจมากๆ ที่ได้ยินว่าวงแหวนเวทพัฒนาได้สำเร็จแล้ว ข้าเบื่อหน่ายกับพวกที่คอยพล่ามทฤษฎีอนุภาคเต็มทน”
“ผลลัพธ์จะพิสูจน์ว่าทฤษฎีคลื่นถูกต้อง”
จอมเวทหนุ่มตอบทีละคนๆ
“แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วข้าจะยกย่องท่านอีวานส์อย่างมาก และประทับใจกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของท่าน รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าท่านชนะรางวัลสูงสุดแห่งเกียรติยศถึงสี่ครั้งก่อนจะเลื่อนขั้นขึ้นระดับสูง แต่ข้าก็ไม่คิดว่าข้อสันนิษฐานของท่านถูกต้อง ข้าหมายถึง… แม้แต่ท่านอีวานส์ก็อาจก้าวพลาดได้ และข้ารู้สึกว่าความผิดพลาดที่หาได้ยากจากท่านอีวานส์ทำให้ท่านดูเข้าใกล้ได้ง่ายขึ้น…” เสียงเบาๆ ของสตรีนางหนึ่งเหมือนจะอยากพูดต่อแต่กลับถูกสหายตัดบท
หลังจากได้ยินคำตอบของทุกคน ลาร์คก็ถามต่อ “ดูเหมือนว่าจะมิมีผู้ใดเชื่อว่าผลการทดลองนี้จะเอื้อต่อข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงเลยนะคะ ทฤษฎีคลื่นของแสงมีพื้นฐานแน่นหนาถึงเพียงนั้นเลยหรือคะ มันผ่านมาสามปีแล้ว และก็ยังไม่มีทฤษฎีอื่นใดนอกจากข้อสันนิษฐานของท่านอีวานส์ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกได้เลย จนถึงตอนนี้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงก็สอดคล้องกับผลลัพธ์ทั้งหมดที่ได้จากการทดลองที่มีความแม่นยำน้อยกว่า และหนึ่งในคำทำนายของท่านอีวานส์ก็ยังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงอีกด้วย พวกท่านมั่นใจจริงๆ หรือคะว่าผลลัพธ์ในครั้งนี้จะพิสูจน์ว่าข้อสันนิษฐานของท่านอีวานส์ไม่ถูกต้อง”
“แน่อยู่แล้ว”
“ใช่ แน่นอน”
“ไม่ต้องสงสัยเลย”
…
จอมเวททุกคนตอบอย่างหนักแน่น แต่น้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความไม่แน่ใจ
เบลคคลายมือลงและเริ่มคิดตาม สิ่งที่ลาร์คพูดนั้นเป็นความจริง ใช่ มันผ่านมาสามปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทฤษฎีใดนอกจากข้อสันนิษฐานของอีวานส์ที่อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกได้ ผลการทดลองทั้งหมดต่างบอกว่าข้อสันนิษฐานของอีวานส์ถูกต้อง และในขณะเดียวกัน ความพยายามมากมายในการอธิบายการทดลองความเร็วแสงกลับล้มเหลว การมีอยู่ของอีเธอร์จึงถูกตั้งคำถาม
ทฤษฎีคลื่นของแสงถูกต้องโดยสมบูรณ์หรือไม่
ผลการทดลองจะโค่นล้มข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงได้หรือไม่ หรือว่าจะเป็นในทางตรงกันข้ามกันแน่
…
มือที่เหี่ยวแห้งเล็กน้อยกดปุ่มปิดวิทยุเมื่อสัญญาณเสียงถูกแทนที่ด้วยเสียงกระแสไฟฟ้า
บาเร็กหันกลับมาก็พบว่าบรูก อาจารย์ของตน จดจ้องออกไปยังสนามแม่เหล็กบิดเบี้ยวและไฟฟ้าที่แล่นแปลบปลาบเป็นวงโค้งทางด้านนอกหน้าต่าง มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันท่าทางและบรรยากาศของผู้ควบคุมทุกสรรพสิ่ง บาเร็กค่อยๆ สูดหายใจเข้าแล้วถามออกไป “อาจารย์ขอรับ ท่านได้ฟัง ‘หนึ่งสัปดาห์ในอัลลิน’ หรือไม่ขอรับ”
“ฟังสิ” บรูกตอบ เขายังคงสวมวิกผมและดูท่าทางสง่างามตามแบบฉบับสุภาพบุรุษยุคเก่า “รายการน่าสนใจไม่น้อย เหมือนทุกครั้ง อีวานส์สร้างความสำเร็จได้ในทุกวงการที่เขาอยากจะทุ่มเทความพยายามให้ แต่ข้าไม่ค่อยคุ้นชินกับอารมณ์ขันของเขาและคำศัพท์ใหม่ๆ ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเสียเท่าไหร่”
“มันเริ่มกลายเป็นกระแสใหม่แล้วขอรับ การใช้คำศัพท์ใหม่ๆ แพร่หลายในหมู่นักเวทรุ่นเยาว์ทั้งในอัลลิน เรนทาโต คุกส์ และแม้แต่เกาะสุริยคติ ดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นกระแสที่ถ้าใครไม่เข้าร่วมจะกลายเป็นพวกล้าหลังไปเสีย” บาเร็กกล่าว แต่แล้วเขาก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะถามอย่างลังเล “เช่นนั้น อาจารย์… ท่านคงได้ฟังสัมภาษณ์จากลาร์คแล้วใช่ไหมขอรับ”
“แล้ว?” บรูกหันกลับมามองลูกศิษย์ตน
บาเร็กพยายามรวบรวมความกล้า “…ข้ากังวล… เรื่องผลการทดลองขอรับ”
“เข้าประเด็น” บรูกบอกด้วยท่าทีสงบนิ่ง เมื่อเป็นเรื่องของอาร์คานาศาสตร์ เขาชอบให้พูดกันอย่างตรงไปตรงมามากกว่า
บาเร็กช่างใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้าเคยทำการทดลองมาแล้วสองสามครั้ง และผลลัพธ์ทั้งหมดก็เอื้อให้กับข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงมากกว่า ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกได้ ข้าเกรงว่าผลการทดลองที่แม่นยำอาจจะไม่ได้เอื้อให้กับทฤษฎีคลื่นขอรับ ดังนั้น อาจารย์… ข้าหวังว่าในตอนที่ท่านทำการทดลอง ท่านจะทิ้งความเชื่อของท่านไปก่อน ทฤษฎีคลื่นยังมีโอกาสอีกมาก… เรายังมีการเลี้ยวเบนของภาพและทฤษฎีทั้งชุดอยู่อีก…”
ดวงตาสีเขียวดุจหยกเบื้องหลังแว่นตากรอบทองของบรูกตวัดมองบาเร็กอย่างสนใจ ท้ายที่สุด เมื่อบาเร็กเริ่มหลั่งเหงื่อเย็นเล็กน้อย บรูกก็เบนสายตากลับไปมองหน้าต่างอีกครา มันดูเหมือนว่าดวงตาสีเขียวของเขาจะสามารถมองทะลุมิติพิเศษออกไปเห็นอัลลินในยามเย็นย่ำช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิได้
“ฝนกำลังจะตก” บรูกพึมพำ
…
ภายในสำนักงานใหญ่เมืองอัลลิน บนชั้นที่สามสิบเอ็ด ซึ่งเป็นชั้นพิเศษสำหรับสถานีวิทยุสกาย
ในช่วงเที่ยงคืน ‘ความจริงของโลก’ เพิ่งจบรายการลง ส่วน ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ จบไปก่อนหน้านี้แล้ว บนชั้นนั้นจึงเงียบสงัด
หลังจากดื่มน้ำยาสำหรับป้องกันการอักเสบของลำคอ ซาแมนธา ผู้ใช้นามแฝงว่าลาร์คสำหรับรายการวิทยุ ก็เดินออกมาจากห้องพักส่วนกลางอย่างอารมณ์ดีและเตรียมตัวจะกลับบ้าน
ทันทีที่นางก้าวออกมา นางก็เห็นว่าลูเซียน อีวานส์ กำลังทักทายจอมเวทที่เหลือที่ยังทำงานให้กับรายการ ‘ความจริงของโลก’ นางยังคงมีสีหน้าจริงจังไร้ความรู้สึก แต่กลับถามอย่างสงสัยด้วยเสียงหวานไพเราะของตน
“อีวานส์ เหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่เล่า”
ขณะนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว นับแต่ที่ทั้งสองรายการเริ่มดำเนินไปอย่างราบลื่น ลูเซียนก็ไม่เคยมาที่นี่ในช่วงเที่ยงคืนอีกเลย คืนนี้เกิดอะไรขึ้น หรือเป็นเพราะการทดลองของท่านบรูกและลอเร็นกันนะ
“เพิ่งเสร็จการทดลองที่สถาบันน่ะขอรับ ข้ารู้ว่าทุกคนยังอยู่ที่นี่ จึงตัดสินใจแวะมาหา” ลูเซียนตอบสั้นๆ
“การทดลองงั้นหรือ เกี่ยวกับปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกหรือไม่” ซาแมนธายิ่งอยากรู้กว่าเดิม
ลูเซียนส่ายหน้า “เปล่าขอรับ การทดลองของท่านเฟอร์นันโดทำให้ข้าเกิดแรงบันดาลใจ ข้าก็เลยใช้ลำแสงฮีเลียมขนาดเท่าอะตอมในการระดมยิงใส่ก๊าซบางประเภทเพื่อดูว่าข้าจะค้นพบอะไรได้บ้าง แล้วก็ ข้ายังใช้กระแสอิเล็กตรอนระดมยิงใส่แผ่นทองคำด้วย”
“เจ้าบอกละเอียดเกินไปแล้ว รู้ไหม ข้าอาจขโมยความคิดเจ้าได้นะ” ซาแมนธาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
ลูเซียนแย้มยิ้ม “มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ข้าต้องนั่งจ้องจุดแสงวูบวาบอยู่นานมากเพื่อมองหาเบาะแสของอะไรสักอย่าง โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าจะค้นพบอะไรหรือไม่ ถ้ามันมีให้ค้นพบนะขอรับ”
“หืมม… ข้ารู้สึกว่าที่เจ้าพูดเสียละเอียดเช่นนี้เป็นเพราะเจ้าค้นพบบางอย่างแล้วแน่ๆ” ซาแมนธาเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
ลูเซียนส่ายศีรษะอีกครั้งพลางหัวเราะ “ท่านไม่ยอมเชื่อคำพูดข้าเลย ว่าแต่ว่า รายการวิทยุประสบความสำเร็จอย่างมาก ท่านกับหลุยส์กลายเป็นท่านหญิงในฝันของเหล่าจอมเวทรุ่นเยาว์ไปแล้ว แต่การต้องอยู่จนดึกดื่นอยู่ตลอดไม่ใช่เรื่องดีเลย”
“ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก ข้าเป็นนักโหราศาสตร์ และข้าก็คุ้นชินกับการอยู่จนดึกเพื่อสังเกตดวงดาว ตอนนี้รายการต้องอัดช่วงกลางคืน เพื่อที่จะได้ออกอากาศในวันถัดไป…” ซาแมนธาตอบ แต่กลับเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเหลือบไปเห็นวงแหวนหกวงบนเหรียญที่ลูเซียนติดไว้บนอก “…ดึกแล้วล่ะ เราออกไปหาอะไรกินสักนิดดีหรือไม่ เจ้าจะได้ทำการทดลองต่อได้อย่างราบรื่น”
ลูเซียนตอบ “ขอบคุณขอรับ แต่ข้าจำเป็นต้องกลับแล้วตอนนี้ เมื่อไหร่ที่หอคอยเวทมนตร์ของข้าพร้อม ข้าจะเชิญทุกคนไปร่วมมื้อค่ำเพื่อขอบคุณสำหรับความทุ่มเทเพื่อดำเนินรายการ”
ลูเซียนหมุนกายจากไป เมื่อร่างของเขาหายลับไปตรงมุม ซาแมนธาก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
เมื่อกลับมาถึงสถาบัน ลูเซียนก็เดินตรงกลับไปที่ห้องทดลอง เปิดการใช้งานวงแหวนเวทด้านข้างอุปกรณ์แปรธาตุช่วยจับภาพเพื่อทำการทดลองต่อ และจดบันทึกข้อมูล
ทางด้านขวามือของเขาเป็นโต๊ะปฏิบัติการณ์ ที่มีกองกระดาษวางทิ้งไว้มุมหนึ่ง กระดาษเหล่านั้นแทบจะถูกของอื่นๆ บนโต๊ะทับจนมิด แต่ที่ด้านใต้สุด มีประโยคหนึ่งที่มองเห็นได้ลางๆ
‘เนื้อหาข้างต้นคือข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำจากการทดลองปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและภาพของมัน’
………………………………
[1] เป็นปรากฏการณ์ที่อิเล็กตรอนหลุดออกจากสสาร (หรือโฟโตอีมิสสีฟ) เมื่อสสารนั้นสัมผัสกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูง (ความยาวคลื่นต่ำ พลังงานสูง เช่น รังสีอัลตราไวโอเล็ต) และเรียกอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาว่าโฟโตอิเล็กตรอน